
ชวนอ่าน หนังสือ “สุดทางจงกรม”
สุดทางจงกรม
สมาธิเบื้องต้นสำหรับการลงมือปฏิบัติ (สติปัฏฐาน ๔ )
เรียบเรียงโดย พระราชกิจจาภรณ์ (เทอด ญาณวชิโร,วงศ์ชะอุ่ม)
“ญาณวชิระ” ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๖๑- ๒๕๖๒
เผยแพร่ในรูปแบบ e-book โดย สถาบันพัฒนาพระวิทยากร เมื่อ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๘
ท่านสามารถโหลดหนังสือ “สุดทางจงกรม”
สมาธิเบื้องต้นสำหรับการลงมือปฏิบัติ (สติปัฏฐาน ๔ ) กดลิ้งค์เพื่ออ่านได้ที่
สุดทางจงกรม

คำนำหนังสือ :
สุดทางจงกรม เป็นหนังสือเกี่ยวกับการปฏิบัติสมาธิในเบื้องต้น โดยอาศัยหลักสติปัฏฐาน ๔ เป็นแนวทาง เป็นภาคต่อจากเล่ม “สมาธิเบื้องต้นสำหรับชาวบ้าน ภาค ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสมาธิ” ที่ได้พิมพ์ไปแล้ว เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๒
เนื้อหาในหนังสือเป็นการหยิบเอาข้อคิดจากการปฏิบัติมารวบรวมไว้ เพื่อเป็นแนวทางสำหรับผู้เริ่มสนใจในทางปฏิบัติเหมือนการทำแผนที่สภาวะอารมณ์ที่เกิดขึ้นขณะปฏิบัติสมาธิ แล้วทำเครื่องหมายตรงจุดที่สำคัญเป็นสัญลักษณ์เอาไว้ ผู้เขียนใช้เวลาเรียบเรียงขณะถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๒ เป็นผลมาจากความผันผวนของเหตุบ้านการเมืองและการคณะสงฆ์ไทยในห้วงขณะนั้น รวมระยะเวลาที่ถูกขุมขัง ๔๕๐ วัน

ช่วงเวลานั้น เหมือนกำลังลอยคออยู่กลางทะเลลึก ทั้งยังต้องเผชิญกับคลื่นมหาสมุทรของพายุร้ายที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน ท่ามกลางค่ำคืนที่มืดมิดไม่เห็นฝั่ง
“ความหวัง คือ แสงสว่างเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่
แม้มองไม่เห็นฝั่งก็จะไปให้ถึงฝั่ง”

ในระหว่างนั้น ได้ใช้สมาธิภาวนาเป็นเครื่องดำรงอยู่ เพื่อเตรียมจิตให้พร้อมในการเผชิญหน้ากับความทุกข์เข็ญใด ๆ บรรดามี ซึ่งกำลังรออยู่ข้างหน้า หลังออกจากการนั่งสมาธิในแต่ละวัน ได้บันทึกสภาวะจิตขณะนั้น ๆ เอาไว้ แล้วนำมาเรียบเรียงเป็นหนังสือ ชุด สมาธิเบื้องต้นสำหรับชาวบ้าน จนเสร็จสิ้นบริบูรณ์ อันเป็นการพลิกวิกฤติให้กลับเป็นโอกาสได้สานงานต่อ
เนื่องจากมีข้อจำกัดหลายอย่าง จึงทำให้การจดบันทึกและการเรียบเรียงหนังสือเป็นไปด้วยความยากลำบาก ต้องใช้วิธีจดบันทึกใส่ใบคำถามเกี่ยวกับปัญหาในทางคดีที่ทนายสอบถามเข้ามาบ้าง จดบันทึกใส่กระดาษสำนวนคดีบ้าง จดบันทึกใส่กระดาษใบนำส่งอาหารที่ญาติโยมส่งเข้ามาถวายบ้าง ตามแต่จะนึกอะไรขึ้นมาได้ และหยิบฉวยสิ่งใดทัน
ภาษาจึงดูกระท่อนกระแท่น กระโดดไปกระโดดมา ตามสภาวการณ์ที่เป็นไปในขณะนั้น
เมื่อนำมาเรียบเรียงเพื่อจัดพิมพ์เป็นหนังสือได้ปรับปรุงถ้อยคำและขยายความให้ชัดขึ้น แต่ก็พยายามคงสำนวนดั้งเดิมตามที่จดบันทึกเอาไว้ เพื่อรักษาร่องรอยความจริงแห่งธรรมที่เกิดขึ้นในภาวะขณะนั้น
หลายปีมาแล้ว ขณะเริ่มเข้ามาสนองงานพระอุปัชฌาย์ ผู้เขียนมีหน้าที่เป็นพระพี่เลี้ยงดูแลพระนวกะของสำนักวัดสระเกศ (ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๔๐ ) ต้องนำอ่านบทแห่งพระบาลีซ้อมคำขานนาคให้คล่องปาก ต้องโกนผมให้นาค ต้องนำประทักษิณเวียนรอบพระอุโบสถ ต้องนำวันทาสีมาและนำเข้าสู่มณฑลแห่งการอุปสมบทท่ามกลางหมู่สงฆ์จนสำเร็จเป็นพระภิกษุนวกะ ต้องนำพินทุ นำอธิษฐานจีวรบาตรบริขารเครื่องใช้สำหรับพระภิกษุ ต้องนำออกบิณฑบาตเช้าแรก ฉันภัตตาหารมื้อแรก และนำลงโบสถ์ทำวัตรสวดมนต์ตามกิจสงฆ์
หลังทำวัตรค่ำช่วงสามทุ่ม เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) จะนำพระภิกษุสามเณรในสำนัก ตลอดจนญาติโยมที่มาร่วมทำวัตรสวดมนต์ นั่งสมาธิเจริญภาวนาเป็นประจำทุกคืน สิ่งหนึ่งที่ได้พบเห็นในการทำหน้าที่พระพี่เลี้ยง ซึ่งต้องอยู่ใกล้ชิดกับพระนวกะตั้งแต่วันอุปสมบทจนถึงวันลาสิกขา คือ พระนวกะจะให้ความสนใจกับการนั่งสมาธิเป็นพิเศษ
ในช่วงเวลานั้นสังคมไทยได้เกิดประเด็นปัญหาเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติสมาธิซึ่งมีความเห็นไม่ตรงกันหลายประการ โดยพุ่งเป้าไปที่การสอนสมาธิไม่ตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
ต่อมา เจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้ออกประกาศให้มีการจัดตั้งสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดขึ้นทุกจังหวัดทั่วประเทศ ให้มีการจัดทำหลักสูตรสมาธิโดยยึดตามหลักสติปัฏฐาน ๔ ผู้ที่เป็นเจ้าสำนักปฏิบัติธรรม สามารถถูกเสนอชื่อเข้าสอบความรู้เป็นพระอุปัชฌาย์ได้เป็นกรณีพิเศษ จะได้ดูแล อบรม ตักเตือน สั่งสอนสัทธิวิหาริกในสำนักของตนได้โดยตรง จากเดิมผู้ที่จะเป็นพระอุปัชฌาย์ต้องมีตำแหน่งทางการปกครองตั้งแต่เจ้าคณะตำบลขึ้นไป
อีกทั้ง เจ้าประคุณสมเด็จฯ ยังผลักดันให้พระภิกษุชาวต่างชาติทำหน้าที่พระอุปัชฌาย์สามารถบรรพชาอุปสมบทกุลบุตรชาวต่างชาติได้เช่นเดียวกับพระสงฆ์ไทย เพื่อให้พระพุทธศาสนาหยั่งรากลึกลงในชนชาตินั้น ๆ โดยมีพระสุเมโธภิกษุ ปัจจุบัน ดำรงสมณศักดิ์ ที่ พระพรหมวชิรญาณ (โรเบิร์ต สุเมโธ) ลูกศิษย์หลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง เป็นพระอุปัชฌาย์ชาวต่างชาติรูปแรก และเจ้าประคุณสมเด็จฯ เป็นผู้ลงนามในหนังสือรับรองความเป็นพระอุปัชฌาย์ด้วยตัวท่านเอง
การประกาศจัดตั้งสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดขึ้นทุกจังหวัดทั่วประเทศ โดยยึดตามหลักสติปัฏฐาน ๔ ก็เป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาดังกล่าวข้างต้นด้วย
อาศัยเหตุที่ในเวลานั้น ผู้เขียนเกี่ยวข้องใกล้ชิดอยู่กับพระนวกะของสำนักวัดสระเกศ ต้องคอยตอบคำถามคลี่คลายข้อสงสัยทางพระพุทธศาสนาให้กับพระนวกะอยู่เสมอ ซึ่งก็หนีไม่พ้นหัวข้อเกี่ยวกับการนั่งสมาธิดังกล่าวนี้ด้วย จึงตั้งใจเขียนหนังสือเกี่ยวกับสมาธิ เพื่อเป็นความรู้เบื้องต้นสำหรับพระนวกะที่สนใจในทางปฏิบัติ โดยแบ่งหนังสือออกเป็น ๓ ภาค เพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ ดังนี้
๑. สมาธิเบื้องต้นสำหรับชาวบ้าน ภาค ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสมาธิ
๒. สมาธิเบื้องต้นสำหรับการลงมือปฏิบัติ ภาค ปฏิบัติ (มหาสติปัฏฐานสูตร)
๓. สมาธิเบื้องต้นสำหรับตรวจสอบผลของสมาธิ ภาค ตรวจสอบผลของการปฏิบัติ (สามัญผลสูตร)
เนื้อหาของหนังสือได้นำเอาความรู้จากครูบาอาจารย์และสภาวะที่เกิดจากการปฏิบัติมาเรียบเรียงออกเป็นตัวหนังสือ ให้ใกล้เคียงกับสภาวะอารมณ์ที่เกิดขึ้นขณะปฏิบัติให้มากที่สุด เท่าที่ภาษาตัวหนังสือจะสามารถถ่ายทอดออกมาได้ โดยได้นำเอามหาสติปัฏฐานสูตรซึ่งเป็นพระสูตรว่าด้วยวิธีปฏิบัติสมาธิ และสามัญญผลสูตรซึ่งเป็นพระสูตรว่าด้วยผลของความเป็นสมณะมาวางไว้เป็นหลักด้วย พระนวกะจะได้มีหลักในการตรวจสอบด้วยตัวเองว่า ส่วนไหนเป็นขั้นตอนการลงมือปฏิบัติ ส่วนไหนเป็นสภาวะที่เกิดขึ้นขณะปฏิบัติ และส่วนไหนเป็นคำอธิบายเพื่อให้เกิดความรู้เกี่ยวกับสภาวะ

เมื่อเขียนสมาธิเบื้องต้นสำหรับชาวบ้านเสร็จลงในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ คุณธนิต วิริยะรังสฤษฏ์ ซึ่งเข้ามาอุปสมบทเป็นพระนวกะอยู่คณะ ๗ วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร ในเวลานั้น ได้นำไปจัดพิมพ์เผยแพร่ หลังจากนั้นผู้เขียนก็มีงานอย่างอื่นแทรกเข้ามา ด้วยเจ้าประคุณสมเด็จฯ ให้ไปช่วยดูแลงานในสำนักงานส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรม และความมั่นคงแห่งสถาบันชาติ พระศาสนา พระมหากษัตริย์ ซึ่งเริ่มจัดตั้งขึ้นในปลายปี พ.ศ. ๒๕๕๑ จนล่วงเลยมาร่วม ๑๐ ปี จึงมีโอกาสเรียบเรียงหนังสือสมาธิเบื้องต้นสำหรับการลงมือปฏิบัติ และสมาธิเบื้องต้นสำหรับตรวจสอบผลของสมาธิตามที่ตั้งใจเอาไว้ โดยอาศัยช่วงเวลาที่ถูกคุมขังเป็นเวลาปีเศษดังกล่าว นั้น
บัดนี้ หนังสือสมาธิเบื้องต้นสำหรับชาวบ้านทั้ง ๓ ภาค ได้สำเร็จลงโดยบริบูรณ์สมดังมโนปณิธานแล้ว ขอพระสัทธรรมแห่งพระบรมศาสดาจงแผ่ไพศาลไปเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่มวลมนุษย์ เหมือนฝนใน วสันตกาลหลั่งลงสู่พื้นแผ่นดินเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่มวลสรรพชีวิตนั้น เทอญ“

สุดทางจงกรม
ข้อมูลหนังสือ : สุดทางจงกรม
สมาธิเบื้องต้นสำหรับการลงมือปฏิบัติ (สติปัฏฐาน ๔ )
ผู้เขียน : พระราชกิจจาภรณ์ (เทอด ญาณวชิโร, วงศ์ชะอุ่ม)
“ญาณวชิระ”
ปีที่เผยแพร่ : สิงหาคม ๒๕๖๘
ออกแบบปก และรูปเล่ม : พระมหาวรไกร กุญชนะรงค์
ภาพเขียนประกอบ : ทวิช สังข์อยู่
จำนวนหน้า : ๒๔๐ หน้า
ISBN : E-BOOK 978-616-93378-9-8
เผยแพร่โดย : สถาบันพัฒนาพระวิทยากร อาคารสันติวัคคีย์
วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร เลขที่ ๓๔๔ แขวงบ้านบาตร
เขตป้อมปราบ กรุงเทพมหานคร ๑๐๑๐๐

อ่านเนื้อหาหนังสือบางตอน
สุดทางจงกรม
ขณะเดินจงกรม
ให้เท้าเป็นศูนย์กลางการรับรู้
ในการเดินจงกรมให้เท้าเป็นศูนย์กลางการรับรู้ของจิต ขณะที่เท้าเคลื่อนไปข้างหน้า ดูอาการเท้ากระทบพื้น ถ้าเส้นทางจงกรมมีพื้นที่พอเดินได้ระยะประมาณ ๓๐-๕๐ ก้าว หรือประมาณ ๒๐-๓๐ ก้าว ก็จะทำให้สามารถเดินแบบเร็วและดูการเคลื่อนที่ไปของเท้าได้ดี ถ้าพื้นที่มีจำกัด มีระยะเดินได้ ๑๐-๒๐ ก้าวก็เดินแบบช้า ให้เห็นทุกระยะของเท้า เห็นอาการขณะที่ส้นเท้ากำลังยกขึ้นจากพื้น กำลังเคลื่อนไปข้างหน้า กำลังกระทบพื้น รู้อาการที่เท้ากระทบพื้นว่า พื้นเย็น ร้อน อ่อนแข็ง อ่อนอย่างไร

พอเดินไปจนสุดทางเดิน ให้ยืนพิจารณารายละเอียดสรรพสิ่งที่อยู่รอบตัว พิจารณาอากาศ เสียงสิงสาราสัตว์ มองลึกเข้าไปในธรรมชาติของสิ่งที่อยู่รอบตัว มองลึกเข้าไปในอาการที่ลมพัดใบไม้ไหว ในสีของใบไม้แห้ง ในนกที่กำลังส่งเสียงร้องขับขาน ในขบวนมดที่กำลังช่วยกันขนอาหาร ในเสียงปลวกที่กำลังส่งเสียงสัญญาณบอกกันถึงตำแหน่งที่มีอาหาร
เราจะเห็นทุกสรรพสิ่งรอบตัวร้อยเรียงเชื่อมโยงเป็นปัจจัยซึ่งอาศัยซึ่งกันและกัน ในรูปการเกิดดับ
การเกิดดับของสิ่งหนึ่งเป็นผลต่อการเกิดดับของอีกสิ่งหนึ่ง และเราจะเห็นความมหัศจรรย์ของสรรพสิ่งอยู่ในรูปการเกิดดับ ให้ยืนนิ่งๆ ครู่หนึ่ง เหมือนยืนเฉยๆ ในความว่างเปล่า ไร้ตัวตน ไร้ชีวิต ไร้จิตใจ แต่มีกระแสความคิดไหลเวียน เพ่งพินิจความเป็นไปของธรรมชาติ ที่กำลังดำเนินไป
ขณะยืน ให้เท้าซึ่งปักหลักมั่นอยู่ที่พื้น เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้การยืน ให้ทำความรู้สึกตัวในการยืน อาจลองโยกตัวไปมาทิ้งน้ำหนักลงไปที่เท้า ซ้าย-ขวา-หน้าหลัง เพื่อดูจุดถ่วงน้ำหนักของกายในอิริยาบถยืน ให้สังเกตการโยก และน้ำหนักที่ถ่วงยึดเท้าไว้กับพื้น จะเห็นกายในรูปยืนชัดเหมือนตุ๊กตาล้มลุก ความรู้สึกตัวในท่ายืนจะปรากฏเด่นชัดขึ้น
ให้เท้าเป็นศูนย์กลางของการรับรู้จิต ขณะยืน และให้อิริยาบถเป็นศูนย์กลางการรับรู้จิต ขณะเคลื่อนไหวร่างกาย เหมือนให้ลมหายใจเป็นศูนย์กลางการรับรู้จิต ขณะนั่งสมาธิ
ให้เท้าที่สัมผัสพื้นในจังหวะการก้าวเดิน และให้การเคลื่อนไหวอวัยวะทุกส่วนในขณะเดินเป็นศูนย์กลางการรับรู้
ในขณะเดินไม่จำเป็นต้องมีคำบริกรรมใดๆ ก็ได้ เพราะเมื่อบริกรรมไปด้วยจะทำให้คำบริกรรมติดพ่วงมากับจิต ทำให้จิตมีภาระเพิ่มขึ้น การรับรู้การเคลื่อนไหวของเท้าก็ไม่ชัด จิตจะไม่จดจ่อสนใจอยู่กับความเคลื่อนไหวของเท้า จะพะว้าพะวงอยู่กับคำบริกรรม จึงไม่รู้อาการที่เป็นปัจจุบันขณะ ให้เดินแบบสบายๆ ตามธรรมชาติการเดินของแต่ละบุคคล เหมือนกำลังเดินเล่นไปเรื่อยตามท้องไร่ ท้องนา ตามป่าเขาลำเนาไพร ตามชายหาดทะเล หรือ ตามสวนสาธารณะ แต่กำหนดรู้การเคลื่อนตัวอยู่ตลอด
อย่าเดินแบบเกร็งๆ แข็งทื่อ เหมือนบังคับจังหวะการเดิน ไม่ต้องบังคับจังหวะการเดิน ให้เดินไปตามธรรมชาติของแต่ละบุคคล จะเร็วก็เร็วแบบสม่ำเสมอ และรู้อาการเร็ว เห็นอาการเร็วชัด จะช้าก็ช้าแบบสม่ำเสมอ และรู้อาการช้า เห็นอาการช้าชัด จะเร่งฝีเท้าเร็วหรือช้าก็ให้เร็วหรือช้าแบบสม่ำเสมอ เป็นไปตามจังหวะการเดินขณะนั้น
ข้อสำคัญให้การเดินเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้จิตขณะเดิน
ความสำคัญของการเดินไม่ได้อยู่ที่คำบริกรรม แต่อยู่ที่มีความรู้สึกตัวในการเดิน ถ้าเรียกตามศัพท์ทางธรรมก็ว่ามีสติสัมปชัญญะในการเดิน ให้เดินเฉยๆ เหมือนคนเดินไปตามปกติ เดินก็รู้สึกว่าเดิน พอเดินไปจนสุดทางจงกรมด้านหนึ่งก็ให้ยืนอยู่ก่อน ยืนทำความรู้สึกตัวจนเห็นท่ายืนปรากฏเด่นชัดขึ้นมาจึงค่อยหมุนตัวกลับ พอหมุนตัวกลับแล้วก็ยืนอยู่อีก ทำความรู้สึกตัวจนเห็นท่ายืนปรากฏเด่นชัดขึ้นมาจากนั้นจึงเดินต่อไป เดินเฉยๆ เหมือนการเดินตามปกติ เหมือนเดินเที่ยวเล่น เหมือนเดินในชีวิตประจำวัน เพียงแต่ต่างกันที่ให้ทำความรู้สึกตัวว่าเดิน
เมื่อจิตหลุดออกจากเส้นทางจงกรม เลื่อนลอยหม่นเหม่อก็ไม่เป็นไร ให้เรียนรู้ความหม่นเหม่อเลื่อนลอยนั้น ค่อยๆ ตะล่อมจิตให้กลับเข้าสู่เส้นทางจงกรมอีกครั้ง ด้วยความเข้าอกเข้าใจจิต ให้มีความเมตตาต่อจิต และวางท่าทีเมตตาเอื้ออาทรต่อจิต เหมือนมารดาเอื้ออาทรต่อลูกน้อย ดุบ้าง ปลอบบ้าง อย่าตวาดจิต เดี๋ยวจิตจะเตลิด ให้ทำเหมือนคนเลี้ยงควาย ค่อยๆ ต้อนควาย เข้าสู่เส้นทางกลับเข้าคอก
แม้จะหลุดลอยออกนอกเส้นทางจงกรมไปกี่ครั้ง ก็สอนจิตว่า “ไม่เป็นไร เอาใหม่อีกครั้ง” แม้จิตจะหลุดลอยไป ก็ให้เริ่มต้นใหม่ทุกครั้ง ทุกครั้งที่ดึงจิตกลับมา จะเกิดการเรียนรู้ใหม่ๆ แล้วจะเกิดประสบการณ์ในการพลิกขณะจิตสู่เส้นทางจงกรมด้วยตัวเอง
อย่าเหนื่อยที่จะเรียกสติกลับมาสู่เส้นทางจงกรม อย่าเหนื่อยที่จะเปลี่ยนความคิดพลิกขณะจิตให้เกิดความรู้ตัวอยู่เสมอ
ขณะเดินจงกรม จิตเกิดความสงบ มีความรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่กับการเคลื่อนไหวของเท้าที่กำลังก้าวไป บางครั้งจิตจะผุดความคิดขึ้นมา ก็ให้พิจารณา บางครั้งก็ผุดขึ้นมาเป็นคำถาม บางครั้งก็ผุดขึ้นมาเป็นคำตอบ บางครั้งก็ถามก็ตอบกันเองอยู่ภายในเป็นคู่ๆ สลับกันถามสลับกันตอบ บางครั้งก็ยกขึ้นมาเป็นการวิจัย วิเคราะห์ วิจารณ์ ขบคิด ตึกตรอง ว่า “สิ่งนี้น่าจะเป็นสิ่งนี้ สิ่งนั้นน่าจะเป็นสิ่งนั้น เป็นการตั้งคำถามเข้ามาที่กายใจ”
เมื่อเดินจงกรมไป บางครั้งก็จะมีธรรมบางอย่างผุดขึ้นมาให้พิจารณา การผุดความคิดเช่นนี้ ไม่ใช่ความฟุ้งซ่าน แต่เป็นลักษณะของการตรึกตรองธรรมอยู่ภายใน เป็นการยกธรรม คือ ความคิดขึ้นมาพิจารณา เมื่อความคิดเกิดขึ้นมา แค่เรารู้ว่าคิด จิตก็จะหยุดคิดทันที เพราะจิตถูกรู้แล้ว ถ้ายังไม่รู้ว่าคิด จิตก็คิดฟุ้ง เลื่อนลอยต่อไป
จำไว้ว่า ธรรมชาติของจิตจะคิด หรือปรุงแต่งอยู่ตลอด ถ้าจิตถูกรู้เสียแล้ว จิตก็จะหยุดคิดไปตามธรรมชาติของการถูกรู้ ถ้าจิตยังไม่ถูกรู้ก็จะคิด ถ้ารู้ทุกขณะจิตก็รู้ปัจจุบันขณะ สติก็บริบูรณ์
คิดแบบเลื่อนลอยกับคิดแบบพิจารณา เป็นคนละอย่างกัน
คิดแบบเลื่อนลอยเป็นความคิดแบบฟุ้งๆ เป็นความคิดต่อความคิด แม้คิดวนๆ ซ้ำๆ ก็ไม่รู้ว่าตัวเองคิด และความคิดนั้นก็จะเพิ่มอัตราความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นการก่อตัวของภูเขาความคิด ถ้าเพียงแค่ชั่วขณะที่เราตั้งใจว่าจะรู้ความคิด ภูเขาความคิดที่กำลังก่อตัวขยายอัตราความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็วก็จะทะลายลง และจางหายไปทันที ต้องพลิกกลับความคิดแบบเลื่อนลอยมาเป็นความคิดแบบพิจารณา เมื่อรู้ตัวว่าคิดก็กลับความคิดแบบเลื่อนลอยมาเป็นความคิดแบบพิจารณา คือ เมื่อรู้ตัวว่าคิดอะไร คิดทำไมก็ยกความคิดนั้นขึ้นมาพิจารณา เรียกว่า “ยกธรรมคือจิตขึ้นมาพิจารณา” จิตมีธรรมชาติคิด คิดสิ่งใด สิ่งนั้นก็จะดับ
ก่อนก้าวเดินให้ยืน ณ ที่สุดทางจงกรมด้านใดด้านหนึ่ง ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยเข้ามาที่กายที่ใจ ระลึกถึงคุณครูบาอาจารย์ที่เคารพนับถือ ระลึกคุณบิดามารดาที่ให้เลือดเนื้อร่างกายมีชีวิตได้มาปฏิบัติธรรม สูดลมหายใจลึกๆ ให้เต็มปอดแล้วปล่อยออกมาจนสุดลมหายใจ สักสองสามครั้ง แล้วตั้งสติไว้ที่ฝ่าเท้าเก้าเดินออกไป

จงกรม เดินนานแค่ไหน
การเดินจงกรมมีคุณต่อการนั่งสมาธิ ยิ่งเดินนานก็ยิ่งทำให้นั่งสมาธิได้นาน ยิ่งเดินนานสมาธิก็ตั้งอยู่ได้นาน ส่วนการเดินจงกรมควรใช้เวลาเดินนานแค่ไหนนั้น ก็ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย ความอดทน ความสงบและความพอดีของแต่ละบุคคล
หากเดินจนเกิดความสงบแล้ว ไม่มีความพอดี เดินแล้วเดินอีกต่อเนื่องทั้งวันทั้งคืน ไม่ปล่อยให้จิตเปลี่ยนไปรับรู้อารมณ์อื่นบ้างก็เกินพอดี เรียกว่าหนักไปทางจงกรม จิตจะติดสุขในการเดิน ไม่อยากเปลี่ยนไปทำอย่างอื่น จิตจะแข็งทื่อ ไม่อ่อนนุ่ม ในที่สุดก็กลายเป็นเกร็งเคร่งเครียด ไม่เบิกบานจากภายใน หน้าตาก็ดูตึงๆ เครียดๆ อยู่ตลอด ต้องปรับให้จิตอ่อนนุ่ม เหมาะที่จะให้สมาธิเจริญงอกงาม เหมือนจะปลูกต้นไม้ก็ต้องพรวนดินให้ดินอ่อนนุ่ม ไม่แข้งกระด้าง เหมาะที่จะให้ต้นไม้ซึ่งยังเป็นเบี้ยเจริญงอกงาม
วิธีแก้การเดินเกินพอดี ให้ปรับไปนั่งสมาธิ หรือเปลี่ยนไปใช้อิริยาบถอื่นบ้าง เป็นการปรับสภาวะให้เกิดความพอดี จะเรียกว่าให้อิริยาบถสม่ำเสมอก็ได้ เมื่ออิริยาบถสม่ำเสมอก็จะเอื้อให้สมาธิเจริญอย่างสม่ำเสมอด้วย เหมือนดินแน่นดินแข็งเกินไปก็ทำให้ต้นไม้เจริญงอกงามได้ยาก เมื่อต้นไม้ไม่เจริญงอกงามก็ไม่ออกดอกออกผลตามที่ควรจะเป็นไปตามธรรมชาติ
แล้วนานแค่ไหนจึงจะเรียกว่าพอดี ?
ความพอดีของแต่ละบุคคลไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและสภาวะจิตของแต่ละบุคคล สภาพร่างกายของบางคนมีความพร้อม ทั้งสภาพจิตใจมีความอดทนสูงก็เดินได้ทน
แต่ถ้าบางคนสภาพร่างกายและจิตใจไม่พร้อม ทำให้ความอดทนต่ำก็เดินได้ไม่ทน บางที ในวันนั้น อาจมีความลิงโลดใจ ดีใจจนเกินเหตุ ข่มความดีใจไม่ได้ จิตก็งุ่นง่าน พลุ่งพล่าน ไม่อยู่ในสภาวะพร้อมที่จะทำให้สมาธิได้เติบโต หรือวันนั้นไปหงุดหงิดใครมาก็มีความเดือดดานอยู่ข้างใน สมาธิก็ไม่ตั้งมั่น เวลานั่งสมาธิ ความดีใจเสียใจจึงติดพ่วงมากับจิต ทำให้ความอดทนต่ำก็เดินได้ไม่ทน
บางคนก็เกิดสมาธิเร็ว บางคนก็เกิดสมาธิช้า
แต่ไม่ว่าสมาธิจะเกิดเร็วหรือช้า ทั้งหมดก็เป็นธรรมดาของการปฏิบัติสมาธิ
สำหรับผู้ที่เริ่มฝึกเดินจงกรมจะใช้เวลาน้อยหรือมาก ก็ควรให้ได้ครั้งละไม่น้อยกว่า ๓๐ นาทีเป็นอย่างน้อย เพราะจะเป็นเวลาที่เริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากการเดิน และเริ่มสังเกตเห็นการเคลื่อนตัวของเท้าแจ่มชัดขึ้น เรียกว่า “รูป” ก็ชัด “นาม” ปรากฏ เพราะเริ่มมีอาการเมื่อยล้า เอ็นร้อยหวายรัดส้นเท้า กำลังเกร็งตัว มือและแขนที่จับยึดกันไว้ทางด้านหน้าหรือด้านหลัง กำลังยึดรัดแน่น
ส่วน “นาม” คือ ความรู้ที่รู้สึกนึกคิดในใจก็กำลังอ่อนล้า เราจะรับรู้อาการนั้นได้แจ่มชัด ความอยากหยุดหรืออยากเดินต่อ กำลังรบเร้าตั้งคำถามในใจ หากยกจิตขึ้นให้เบิกบานสว่างไสวอยู่ภายในก็จะสามารถเดินต่อไปได้ จนเท้าปรากฏหนักเหมือนเท้าช้าง สังเกตอาการหนักของเท้า อาการที่เท้ายกขึ้น และอาการที่เท้าวางราบกับพื้น สังเกตน้ำหนักของเท้าที่กดลงไปที่พื้น เดินจนเห็นเท้าบางเบาเหมือนปุยนุ่น ยิ่งเห็นอาการเหล่านี้ปรากฏแจ่มชัด ยิ่งเกิดความเบิกบานจากภายใน สว่างไสวอยู่ทุกก้าวย่างบนเส้นทางจงกรม
หากจมติดอยู่กับอาการนี้นานจนเกินไปก็จะทำให้ติดสุขในการเดิน ไม่อยากหยุดเดิน อยากจะเดินอยู่อย่างนั้นเรื่อยไป เช้า-สาย-บ่าย-เย็น จิตก็จะกระหวัดวนไปหาการเดินอยู่ตลอดเวลา
เรียกว่า “เดินเกินพอดี” ก็ปรับการเดินให้พอดี
ส่วนจะเดินนานแค่ไหนนั้นก็ให้เดินนานเท่าที่มีกำลังจะเดินได้ เมื่ออาการของเท้าปรากฏหนักเหมือนเท้าช้าง หรือปรากฏเหมือนเท้ามีอาการหนืดๆ เห็นความบางเบาของการเดินก็ระลึกไว้ในใจว่า “น่าจะพอดีแล้ว” ควรจะเตรียมตัวหยุด เพื่อปรับอิริยาบถเป็นนั่งสมาธิ ถ้าเดินแล้วเท้ายังไม่ปรากฏหนักเหมือนเท้าช้าง ก็ระลึกไว้ในใจว่า “ยังไม่พอดี” ก็เพิ่มความเพียรเข้าไป เดินต่อไป เร่งความเพียรขึ้นไปอีกจนถึงจุดพอดี
“จะนั่งก็นั่งให้พอดีๆ จะเดินก็เดินให้พอดีๆ”
จะเดินหรือนั่งแล้วให้จิตจมอยู่กับอารมณ์สงบเพียงอย่างเดียวไม่ได้ ต้องปล่อยให้จิตออกมารับรู้อารมณ์อย่างอื่นนอกจากความสงบบ้าง เพราะถ้าปล่อยให้จิตจมแช่นิ่งอยู่กับอารมณ์สงบเพียงอย่างเดียว สัญญาจะทรงจำไว้เพียงอารมณ์ความสงบ จิตก็จะรับรู้เฉพาะอารมณ์สงบเท่านั้น เมื่อต้องเจออารมณ์อย่างอื่น เช่น รัก ชอบ ชัง ฉุนเฉียว หงุดหงิด ขัดเคือง เป็นต้น ก็จะไม่รู้ ไม่คุ้นชิน เพราะไม่เคยรับรู้อารมณ์เช่นนี้มาก่อน ไม่เคยเพ่งพิจารณาอาการของอารมณ์นั้น ไม่เคยรู้การเกิด การเติบโต และการดับไปของอารมณ์นั้น
เมื่อต้องมาประสบอารมณ์แบบนี้เข้า รักชอบก็ปรุงแต่งจินตนาการหลงเตลิดไปอย่างแรง ไม่รู้ทัน
เกลียดชังก็ปรุงแต่งจินตนาการก็หลงไป ไม่รู้ทัน
จะยกตัวอย่างพอให้เห็นเป็นหลัก เหมือนเด็กถูกเลี้ยงดูอยู่แต่ในบ้าน จะไม่รู้โลกภายนอก วันหนึ่ง เมื่อต้องออกไปเผชิญโลกภายนอกก็กล้าๆ กลัวๆ ไม่องอาจที่จะเผชิญความจริงของโลก เพราะไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับโลกภายนอก ไม่มีข้อมูล ไม่มีองค์ความรู้ว่า ถนนสายไหนมุ่งไปไหน สิ่งนี้ คือ รถยนต์ รถไฟฟ้า สิ่งนี้ คือ เครื่องบิน จึงเกิดความกลัว
บางคนกล้าเกิน ไม่รู้ถูกรู้ผิด ไม่รู้สิ่งใดเป็นคุณเป็นโทษ หลงทดลองสิ่งไม่ควรทดลองก็ถูกอารมณ์ดึงหลงเตลิด กลายเป็นเสียผู้เสียคนไป
จิตก็เหมือนกัน เมื่อฝึกให้รู้เพียงอารมณ์เดียว คือ รู้อารมณ์สงบ หลังจากที่ปักหลักมั่นอยู่กับความสงบจนเกิดความชำนาญแล้วก็ต้องให้เรียนรู้อารมณ์ต่างๆ บ้าง ปล่อยให้จิตอยู่กับชีวิตประจำวัน ให้จิตกระทบอารมณ์ และสังเกตความเปลี่ยนแปลงของจิตขณะกระทบอารมณ์ มันชอบไหม มันชังไหม มันขัดเคือง หงุดหงิด เดือดดานไหม ดูความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ เป็นการดูเข้ามาที่กายใจ ชอบก็เห็นชัด ชังก็เห็นชัด โกรธ หงุดหงิด ขัดเคือง เดือดดานก็เห็นชัด
ด้วยความที่จิตถูกฝึกถูกขัดเกลาด้วยพระกรรมฐาน ทำให้จิตละเอียด จิตจึงเร็วต่อการรับอารมณ์ กระทบกับอารมณ์ใดก็จะปรากฏชัดเหมือนผ้าถูกซักจนขาวสะอาด เปื้อนฝุ่นแม้เพียงเล็กน้อยก็มองเห็นได้ง่าย
ข้อสำคัญ อย่าปล่อยให้จิตติดอยู่กับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง จนเป็นการปล่อยให้จิตแช่อยู่กับอารมณ์นั้นนานๆ จะหลงเสพติดอารมณ์เดิมจนจิตเคยตัว ต้องปล่อยให้จิตออกมากระทบอารมณ์ที่หลากหลายบ้าง เช่น เมื่อกระทบอารมณ์ขัดเคือง จิตก็จะปรุงแต่งไปทางหงุดหงิด ขัดเคือง ไม่ชอบใจ ขัดเคืองเรื่องใด สิ่งใด คนใดก็จะคิดปรุงแต่งวนๆ ซ้ำๆ ให้ฝึกรู้ความคิดนั้น อารมณ์นั้น เมื่อรู้แล้วจิตก็จะหยุดคิดปรุงแต่งไปทางขัดเคืองหงุดหงิด ให้ยกอารมณ์ขัดเคืองนั้นขึ้นพิจารณา ตั้งคำถามอยู่ข้างใน คิดทำไม หงุดหงิดทำไม อะไรทำให้หงุดหงิด เพื่อจะทำให้จิตได้เรียนรู้ว่า อารมณ์ขัดเคืองหงุดหงิดเป็นอย่างนี้ อารมณ์ไม่ถูกอกถูกใจ อารมณ์ชอบชังเป็นอย่างนี้
ถ้าเกิดขึ้นบ่อยๆ ก็ยกขึ้นพิจารณาบ่อยๆ ยิ่งพิจารณาบ่อยๆ ยิ่งทำให้จิตจดจำวิธีคิดแบบนี้ จากจดจำก็จะกลายเป็นความชำนาญในการเปลี่ยนความคิดแบบปรุงแต่ง มาเป็นความคิดแบบพิจารณา
เมื่อมองลึกเข้าไปในพฤติกรรมของจิตก็จะเห็นความวุ่นวายของจิต คือ ถ้าจิตคิดโดยไม่รู้ตัวว่าคิด จิตจะคิดปรุงแต่งวนซ้ำๆ แต่พอมีสติรู้สึกตัวว่าคิด และตั้งคำถามกับจิตว่า กำลังคิดอะไร จิตจะหยุดคิดทันที ถึงจะบอกจิตว่า “ลองคิดเรื่องนี้อีกที” จิตก็เฉยๆ เสียแล้ว ไม่คิดต่อ แต่พอเผลอไปสักหน่อย จิตก็จะไปทำเรื่องอื่นอีกแล้ว
เวลาดูจิตให้ดูจากการไขว่คว้าหา ดูจากความชอบ ความว้าวุ่น ความอยากยึดครอง ความไม่อยากให้เปลี่ยนแปลงหลุดลอยไป ดูจากความหงุดหงิด ขัดเคืองใจ ความโกรธา ความผูกใจเจ็บ ความอยากผลักไสออกไป
ให้พิจารณาอารมณ์เหล่านี้ เวลาเกิดขึ้น ขณะดำรงอยู่ และดับไป หลังจากความคิดเหล่านี้หายไป ความรู้สึกเปลี่ยนไปอย่างไร
การเดินจงกรม แม้จะฝึกเดินด้วยคำบริกรรม เช่น ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ พุทโธ หรือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็ตาม แต่สุดท้าย เมื่อจิตรวมดวงมีอารมณ์เดียวอยู่กับก้าวย่าง ก็จะไม่มีคำบริกรรมใดๆ ติดพ่วงไปกับการเดิน ไม่มีตัวตนเราเขา จะมีแค่อาการเคลื่อนไหวเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่ปรากฏ
เมื่อไม่มีคำบริกรรมติดพ่วงมากับก้าวย่าง การเดินจึงเบาสบาย ไม่อึดอัด เพราะจิตไม่พะว้าพะวงไปกับบริกรรม
แม้ฝึกเดินตอนแรกอาจต้องอาศัยคำบริกรรมเพื่อหาที่ให้จิตยึด แต่พอฝึกเดินไปสักระยะ จนสามารถเดินได้โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยคำบริกรรมก็จะเห็นเพียงอาการที่เท้าก้าวเดิน จะเกิดความเบิกบาน สว่างไสวอยู่ภายใน เหมือนเด็กที่ถูกสอนให้หัดเดิน ในช่วงแรกๆ ต้องอาศัยเครื่องช่วยพยุงเดิน แต่พอเดินได้เอง และรู้วิธีเดินด้วยตัวเองก็ไม่ต้องพึ่งเครื่องช่วยพยุงเดินอีกต่อไป จะรู้สึกว่าเครื่องช่วยพยุงนั้นเป็นภาระ ไม่อยากใช้อีกต่อไป หลังจากนั้นก็จะเดินตัวปลิว โดยไม่ต้องอาศัยเครื่องช่วยพยุงเดิน รู้แค่ว่าเดินได้แล้ว
การเดินจงกรมก็เช่นเดียวกัน คำบริกรรมมีความจำเป็นตอนฝึกเดินใหม่ๆ แต่เมื่อเดินมากเข้าจนรู้วิธีการเดินแล้ว จะรู้สึกอึดอัดกับคำบริกรรมที่ติดพ่วงไปกับทุกก้าวย่างที่เคลื่อนไป อยากจะรู้แค่อาการเดินก้าวไปของเท้าอย่างเดียวเท่านั้น มันเบาสบาย ไม่อยากมีคำบริกรรมมาคอยเป็นภาระของการเดิน
ในที่สุดจิตก็จะเพ่งรู้แค่อาการของเท้าเท่านั้น จะเห็นพื้นเป็นพื้น ก้าวเป็นก้าว ความรู้สึกเป็นความรู้สึก ความคิดเป็นความคิด จะเห็นอาการที่เท้ากระทบพื้น แล้วเกิดการสั่นสะเทือนขึ้นมาจากฝ่าเท้าถึงบั้นเอว จนรู้สึกไหวถึงทรวงอก ยิ่งเดินมาก เดินนาน อาการเหล่านี้ก็ยิ่งปรากฏเด่นชัดขึ้น ในความรู้ตัวทั่วพร้อม
ให้เดินแล้วพิจารณาอาการนั้นๆ เรื่อยไป
เวลาเดินจงกรม แทนที่จะเห็นการก้าวเดินของเท้า แต่กลับเห็นภาพในอดีต ภาพในอนาคต เห็นภาพบ้าน ภาพรถ ภาพที่พอใจ ไม่พอใจ แสดงว่าไม่ได้อยู่กับการเดินอย่างเต็มที่ ทำอย่างไรจึงจะกลับมาอยู่กับการเดิน ทำอย่างไรกายกับใจจะมาอยู่ด้วยกัน
ที่จริง การเดินจงกรมท่านก็ไม่ได้บอกวิธีไว้ชัดเจนว่าต้องเดินแบบไหนอย่างไร ต้องใช้เวลานานเท่าใด บอกไว้แต่เพียงว่าให้เดินกลับไปกลับมา ไม่ส่งใจออกไปนอกเส้นทางจงกรม มีสติกำหนดไปที่เท้า ก้าวกลับไปกลับมา แล้วท่านก็บอกอานิสงส์ของการเดินจงกรมเอาไว้ว่า
การเดินจงกรมมากจะทำให้เดินทางไกลได้อึด ทำให้บำเพ็ญเพียรได้ทน ทำให้มีโรคน้อย อาหารที่กินเข้าไปก็ย่อยง่าย ทำให้นั่งสมาธิได้นาน และการเดินจงกรมยังเป็นวิธีแก้ง่วงได้ด้วย ตามที่พระพุทธเจ้าสอนพระโมคคัลลานะเอาไว้
ส่วนวิธีเดินจงกรมที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันก็มีหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นวิธีดูการก้าวไปของเท้าที่กำลังเคลื่อนไป วิธีใช้คำว่า “ซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอ ฯลฯ” และวิธีใช้คำว่า “พุทโธ” เป็นคำบริกรรมกำกับไปพร้อมกับการเดิน ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้กันอยู่โดยทั่วไป ขึ้นอยู่กับว่าครูบาอาจารย์ท่านให้ฝึกรูปแบบไหนวิธีใดแล้วได้ผลและตรงกับอัธยาศัยผู้ปฏิบัติก็เป็นอันใช้ได้ทุกวิธี
นอกจากนั้นยังมีอีกวิธีที่หลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจาย์(เกี่ยว อุปเสโณ) วัดสระเกศเคยแนะนำให้ลองนำไปฝึก คือ ใช้คำว่า “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” เป็นคำบริกรรมกำกับไปพร้อมกับการก้าวเดิน ปฏิบัติแล้วทำให้ความเบื่อหน่ายในสังขารปรากฏง่าย ท่านว่า เป็นวิธีที่คณะกุฏิฯ ใช้กันมาในสำนักวัดสระเกศ
เวลาเดินไปสุดปลายทางจงกรมด้านใดด้านหนึ่งก็หยุดยืนครุ่นคิดพิจารณาถึงความไม่เที่ยงของสังขารทั้งหลาย กายใจก็ไม่เที่ยง สรรพสิ่งรอบตัวก็ไม่เที่ยง ครุ่นคิดพิจารณาความไม่เที่ยงของสรรพสิ่งที่ถักทอเชื่อมโยงถึงกันซึ่งกำลังเกิดอยู่รอบตัว จากนั้น จึงก้าวเดินกลับไปกลับมาอีก แล้วหยุดยืนที่สุดปลายทางจงกรมด้านใดด้านหนึ่งครุ่นคิดพิจารณาถึงความไม่เที่ยงของสังขารทั้งหลาย จะทำให้ความรู้สึกตัวทั่วทั้งกายเด่นดวงลุกโพรงขึ้นได้ง่าย
วัดสระเกศมีคณะสำหรับปฏิบัติพระกรรมฐาน เรียกว่า “คณะกุฏิฯ” ภายในคณะจะมีกุฏิเป็นหลังๆ หลังละ ๑ ห้อง แต่ละกุฏิจะมีห้องเก็บกัปปิยภัณฑ์อยู่อีก ๑ ห้อง หลวงพ่อสมเด็จฯ บอกว่า เวลาเดินจงกรม ครูบาอาจารย์รุ่นเก่าในคณะกุฏิท่านจะบริกรรมว่า “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา”
เวลาเดินจงกรมจะทดลองใช้วิธีนี้ดูบ้างก็ได้

สุดทางจงกรม
จงมีลมหายใจเป็นวิหารธรรม
สุดท้ายแล้วไม่ว่าจะปฏิบัติธรรมในรูปแบบไหนก็ให้มีลมหายใจเป็นวิหารธรรม ไม่ว่าชีวิตในแต่ละวันจะหมุนไปในรูปแบบใด จะทำการทำงานอะไรอยู่ จะยุ่งเหยิงเพียงใดก็ให้มีลมหายใจเป็นเครื่องอยู่ ให้มีลมหายใจเป็นเครื่องระลึกถึง ให้อยู่กับลมหายใจ ให้ระลึกรู้อยู่เสมอว่าการรู้ลมหายใจเป็นหน้าที่อย่างหนึ่ง
ลมหายใจสั้น ลมหายใจยาว ลมหายใจหยาบ ลมหายใจละเอียด ลมหายใจปรากฏ ลมหายใจหดสั้นเข้า ลมหายใจหายไป
การมีลมหายใจเป็นเครื่องอยู่เช่นนี้ เรียกว่า “มีลมหายใจเป็นวิหารธรรม”
ถึงแม้จะสาละวนทำการทำงานอะไรอยู่ก็แอบชำเลืองดูลมหายใจไปด้วย ก็เป็นกรรมฐานเหมือนกัน ให้ทำความรู้สึกเหมือนแม่บ้านที่มีลูกน้อย ถึงแม้แม่จะสาละวนทำการทำงานอะไรอยู่ก็ตาม แม่ก็จะคอยชำเลืองดูลูกน้อยอยู่เสมอ กลัวลูกจะเกิดอันตราย เหมือนโคแม่ลูกอ่อนเล็มกินหญ้า แต่ก็จะคอยชำเลืองเหลียวดูลูกวัวไปด้วย เพราะกลัวลูกจะพลัดหลงจากแม่
การดูลมหายใจในชีวิตประจำวันก็แบบเดียวกัน ให้มีความรู้เนื้อรู้ตัวคอยชำเลืองดูลมหายใจอยู่อย่างนี้ แม้จะทำงานอะไรอยู่ก็ตาม พอมีสติระลึกรู้ เกิดความรู้เนื้อรู้ตัวขึ้นมาก็ชำเลืองดูลมหายใจ ลมหายใจก็จะเด่นดวงขึ้นมา
เห็นลมหายใจออก ลมหายใจเข้า ลมหายใจสั้น ลมหายใจยาว ลมหายใจละเอียด หายใจหยาบ ลมหายใจปรากฏ ลมหายใจหายไป
เห็นอาการกระเพื่อมไหวของหน้าท้อง เห็นอาการขยายพองออกและอาการหดตัวลงของซี่โครง
ความสำคัญของการปฏิบัติสมาธิอยู่ที่การฝึกให้มีความรู้ตัวทั่วพร้อม และการรู้เนื้อรู้ตัวอยู่เสมอนั่นแหละคือความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ให้รู้เนื้อรู้ตัวอยู่เสมอ รู้เนื้อรู้ตัวเมื่อไหร่ก็ให้มีสติกลับมาดูลมหายใจเมื่อนั้น รู้เนื้อรู้ตัวเมื่อไหร่ก็ดูความเป็นไปของกายเมื่อนั้น สั่งสมความรู้สึกตัวทั่วพร้อมอยู่อย่างนี้เป็นการสั่งสมอุปนิสัยแห่งสมาธิ เมื่อสั่งสมความรู้เนื้อรู้ตัวบ่อยเข้า เวลานั่งสมาธิก็จะเกิดสมาธิได้ง่าย
จิตนี้มันออกจะแปลกอยู่ เวลานั่งสมาธิมันชอบคิดโน่นคิดนี่ ชอบฟุ้งซ่าน คิดไปเรื่อยเปื่อย วิธีปฏิบัติสำหรับคนชอบคิด บางทีก็ปล่อยมันคิดไป เมื่อกำกับมันไม่ได้ อยากจะคิดก็ปล่อยมันคิด ปล่อยให้จิตนั่งคิดไปเรื่อย พอนั่งไปจนเกิดอาการเจ็บปวดตามแข้งตามขา มันจะหยุดคิดของมันไปเอง จิตจะมาเกาะแน่นอยู่กับความเจ็บปวด ตอนนั้นจิตที่คิดจะหายไปทันที มันจะหยุดคิดไปตามธรรมชาติมารวมดวงอยู่ที่ความเจ็บปวด
การปล่อยให้จิตคิดก็เป็นวิธีปฏิบัติอีกแบบหนึ่ง สำหรับคนชอบคิด พอนั่งไปจนเจ็บปวด จิตจะรวมดวงเป็นหนึ่งอยู่ที่ความเจ็บปวดไปเอง โดยไม่ต้องไปทำอะไร
ขณะนั้น มันจะตัดความคิดทุกอย่างออกไป ความฟุ้งซ่านจะหายไปแล้วมารวมดวงอยู่ที่ความเจ็บ พอเจ็บปวดมากเข้า เรากัดฟันอดทนจนสุดกลั้นของความอดทน จิตมันจะบอกตัวเองว่า
“เจ็บจริงน้อเจ็บจริงหนอ ทุกข์จริงน้อทุกข์จริงหนอ”
พอเจ็บปวดมากเข้า มันจะเกิดคำถามขึ้นมาในใจเองว่า “ใครเป็นผู้ทุกข์ ใครเป็นผู้เจ็บ ใครเป็นผู้ปวด” ไม่ใช่เราตั้งคำถาม แต่ว่าจิตมันจะถามของมันเองว่าใครเป็นผู้ทุกข์ ใครเป็นผู้เจ็บ
เมื่อเจ็บมากปวดมากจนเหงื่อกาฬไหล จนฟ้าเหลือง สิ่งรอบตัวพร่าเหลืองเลือนราง เหมือนธาตุขันธ์กำลังจะแตก ออกจากกัน บางทีจิตมันจะถามตัวเองว่า “หรือว่าจิตสุดท้ายของคนกำลังจะตายมันเป็นแบบนี้” หากจิตได้รับการฝึกมาดี มันจะหาที่พึ่งอันอุดม จะระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัย จะนึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงคุณงามความดีบุญกุศลที่เคยทำ แล้วจิตมันจะเบา จะปล่อยวางสิ่งที่เป็นพันธนาการทุกอย่าง ทั้งคนรักคนชัง ทรัพย์สิน ยศตำแหน่ง จะมองหาที่ไปในเบื้องหน้า สุดท้ายก็จะยึดโยงอยู่กับคุณของพระรัตนตรัย คุณของศีล คุณของทาน คุณที่ได้เลี้ยงดูบิดามารดาครูอาจารย์ คุณที่ได้ทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดสร้างสิ่งหนึ่งสิ่งใดบูชาคุณบิดามารดาครูอาจารย์ สิ่งที่ควรทำก็ได้ทำแล้ว สิ่งที่ไม่ควรทำก็ไม่ได้ทำ
นี่คุณของการมีลมหายใจเป็นวิหารธรรม เป็นแบบนี้
การตรึกตรองธรรมอยู่ภายในอย่างนี้ก็เป็นวิตกวิจารได้ สามารถทำให้จิตรวมดวงเป็นเอกัคคตาได้ ยิ่งการได้ตรึกถึงชาติชราและมรณะยิ่งทำให้จิตรวมดวงได้ง่าย
การตรึกถึงชาติเป็นวิตกแล้วตรองต่อไปว่าการเกิดเป็นทุกข์ เป็นวิจาร นั่งคิดนั่งตรึกตรองอย่างธรรมดานี่แหละ การนั่งคิดนั่งตรึกตรองเช่นนี้ไม่ใช่ความฟุ้งซ่าน แต่เป็นการตรึกตรองพินิจพิจารณาอยู่ภายใน เมื่อตรึกตรองธรรมอยู่ภายในเช่นนี้ บางขณะจิตก็อาจเกิดปีติ สุข รวมดวงเป็นเอกัคคตาได้เช่นกัน
สำหรับคนชอบคิด แก้อย่างไรก็แก้ไม่ตก ก็ให้นั่งรู้ความคิดจนกว่ามันจะเลิกคิดไปเอง
ที่จริง เวลาเรานั่งสมาธิ จิตก็คิดอยู่ตามธรรมชาติเพราะความคิดเป็นจิตสังขาร จิตมันก็สังขารอยู่ของมันเอง แต่เราไม่เห็นเพราะเรามัวแต่คิดว่า ทำอย่างไรจิตมันจึงจะหยุดคิด
ถ้านั่งดูจิตเราจะเห็นความคิดชัดขึ้น
เมื่อเราฝึกสติมากเข้าจนสติแยกออกมาเป็นผู้เห็นความคิด เราก็จะเห็นความคิดที่คิดอยู่ตามธรรมชาติ สติก็รู้ความคิดอยู่อย่างนั้น
เรารับรู้ได้ถึงอาการเจ็บปวดทางกาย สติก็รู้ความเจ็บปวดอยู่อย่างนั้น โดยจะไม่มีคำถามใดๆ กับอาการเจ็บปวด จะไม่สงสัยว่าเรามานั่งให้เจ็บปวดอยู่ทำไม เพียงรับรู้ถึงความเป็นไปของอาการเจ็บปวดเท่านั้น
ครูบาอาจารย์ท่านเปรียบเทียบจิตที่ถูกฝึกจนสติแยกออกมาเห็นความคิดจะเป็นเช่นเดียวกับนกบินอยู่บนท้องฟ้ามองลงมาด้านล่าง มันจะเห็นทุกอย่างที่อยู่ด้านล่าง แต่ไม่ได้เป็นสิ่งใดทั้งนั้นที่อยู่ด้านล่าง นกเป็นแต่เพียงผู้สอดส่ายสายตามองดูแล้วเห็นทุกความเคลื่อนไหวเท่านั้น
ที่จริงสติกับความคิดก็คือจิตนั่นเอง แต่อยู่คนละฝ่ายกัน สติอยู่อีกฝ่ายหนึ่ง เป็นฝ่ายปัญญา ส่วนความคิดก็อยู่อีกฝ่ายหนึ่ง เป็นฝ่ายอวิชชา ขึ้นอยู่กับว่าขณะจิตนั้นจะพลิกไปฝ่ายไหน เหมือนมือข้างเดียวกันแต่มีสองด้าน พลิกด้านหนึ่งเป็นฝ่ามือ พอพลิกอีกด้านหนึ่งก็เป็นหลังมือ ที่จริงก็มือข้างเดียวกันนั่นแหละ แค่ชั่วขณะของการพลิกก็กลับเป็นหลังมือหรือฝ่ามือ
จิตก็จิตเดียวกัน แต่พอพลิกขณะจิตหนึ่งก็เป็นความคิด อีกขณะจิตหนึ่งก็เป็นผู้รู้ความคิด
การนั่งสมาธิ ไม่ต้องไปไล่หาชื่อ หาลำดับ อันนี้เรียกว่าอันนั้น อันนี้เป็นอันนั้น มันจะเป็นภาระให้กับจิต แต่ให้ดูอาการตามที่มันปรากฏ ปรากฏอะไรก็ดูอันนั้น การไล่เลียงหาชื่อเป็นเรื่องของการศึกษา แต่การปฏิบัติเป็นเรื่องของการดูอาการของจิต
การดูลมหายใจแรกๆ มันจะเห็นสองอย่างปนๆ กัน คือ เห็นลมหายใจกับเห็นความคิด บางทีก็เห็นความคิด บางทีก็เห็นลมหายใจ มันจะตีกันไปกันมา ปนเปกันอยู่ ลมหายใจจะยังไม่ชัด พอฝึกนานไปลมหายใจจะเริ่มชัดขึ้น
เมื่อลมหายใจละเอียดเข้าๆ จะรู้สึกเหมือนลมหายใจหดสั้นเข้า ตัวเราจะห่องุ้มลง ห่องุ้มลง เหมือนลมหายใจจะขาดตอน พอเราสูดลมหายใจเข้ายาวๆ ให้เต็มปอด เพื่อต่อลมหายใจ สติก็จะปรับตัวให้กลับมายืดตรงทีหนึ่ง พอมีสติกลับมาดูลมหายใจไปอีก เมื่อลมหายใจละเอียดเข้าๆ เหมือนลมหายใจหดสั้นเข้า ตัวเราจะห่องุ้มลง ห่องุ้มลงอีก พอเราสูดลมหายใจเข้ายาวๆ ให้เต็มปอด สติก็จะปรับตัวให้กลับมายืดตรงอีกทีหนึ่ง จะเป็นอย่างนี้อยู่ระยะหนึ่งอาการแบบนี้ก็จะหายไปเอง
เวลาลมหายใจหายไปหรือขาดจากลมหายใจ ตัวตนคนผู้นั่งจะแข็งทื่อเหมือนถูกสตัฟฟ์ไว้ เปรียบเหมือนหุ่นยนต์ไม่มีชีวิต ไม่มีลมหายใจ แต่ความรู้สึกยังมีอยู่ ยังมีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
ดูบ่อยๆ เข้า สั่งสมความรู้สึกตัวทั่วพร้อมบ่อยๆ เข้า จิตมันจะฉลาดขึ้น ฉลาดขึ้น จะเริ่มรู้ขึ้น รู้ขึ้นเรื่อยๆ ดูตอนแรกมันไม่ฉลาดต้องดูบ่อยๆ แล้วมันจะค่อยๆ ฉลาดขึ้น ค่อยๆ รู้ขึ้น ก็ใช้ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมที่เด่นดวงขึ้นมานั้นขบคิดอยู่ข้างใน ทางการปฏิบัติก็เป็นการคิดด้วยปัญญา หรือจะเรียกว่าวิปัสสนาก็ได้
ขอให้มีลมหายใจเป็นเครื่องอยู่ มีลมหายใจเป็นวิหารธรรม

สุดทางจงกรม
https://online.anyflip.com/oqiew/voaf/mobile/index.html

ชวนอ่าน หนังสือ “สุดทางจงกรม”
สุดทางจงกรม
สมาธิเบื้องต้นสำหรับการลงมือปฏิบัติ (สติปัฏฐาน ๔ )
เรียบเรียงโดย พระราชกิจจาภรณ์ (เทอด ญาณวชิโร,วงศ์ชะอุ่ม)
“ญาณวชิระ” ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๖๑- ๒๕๖๒
เผยแพร่ในรูปแบบ e-book โดย สถาบันพัฒนาพระวิทยากร เมื่อ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๘
ท่านสามารถโหลดหนังสือ “สุดทางจงกรม”
สมาธิเบื้องต้นสำหรับการลงมือปฏิบัติ (สติปัฏฐาน ๔ ) กดลิ้งค์เพื่ออ่านได้ที่
สุดทางจงกรม












