
บททดสอบ
ศักยภาพของมนุษย์ สะท้อนให้เห็น
ค่าแห่งคำอธิษฐาน


การตั้งความปรารถนาอย่างแน่วแน่
ที่จะทำเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้บรรลุเป้าหมาย
เป็นเรื่องของใจที่มุ่งมั่นจะทำเรื่องที่กำหนดไว้ให้สำเร็จ
จะสำเร็จได้หรือไม่นั้น อยู่ที่การลงมือทำด้วยตนเอง.





๑ คำอธิษฐานของสุเมธดาบส

ย้อนกลับไปเมื่อสักประมาณ ๔ อสงไขยกับอีกแสนกัป ก่อนพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน เมื่อครั้งที่พระองค์เสวยพระชาติเป็น “สุเมธดาบส”

วันหนึ่งในสมัยนั้น มีข่าวว่าพระทีปปังกรพุทธเจ้า (หมายถึง ผู้ยังแสงสว่างให้เกิดขึ้น) พระพุทธเจ้าองค์แรกเมื่อครั้งนั้น จะเสด็จผ่านหมู่บ้านหนึ่งที่สุเมธดาบสอาศัยอยู่พอดี แต่ด้วยความที่หมู่บ้านนั้นมีขวากหนามเต็มไปหมดในทางที่พระองค์จะเสด็จผ่าน ชาวบ้านจึงรีบมาทำความสะอาดนำขวากหนามออก เพื่อให้พระองค์พร้อมทั้งพระสาวกเดินทางอย่างสะดวก แต่ยังไม่ทันเสร็จ พระพุทธเจ้าพร้อมพระสาวกอีก ๔ แสนรูป ก็เสด็จมาถึงแล้ว พอดีว่ายังเหลือบ่อโคลนขวางหน้าอยู่ สุเมธดาบส จึงทำสิ่งที่น่าประทับใจอย่างยิ่ง โดยการนอนทอดตัวขวางบ่อโคลนนั้น และกราบทูลพระทีปังกรพุทธเจ้าว่า ขอให้พระองค์กับคณะสงฆ์เดินเหยียบไปบนตัวของข้าพระองค์ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเหยียบบ่อโคลนนั้น พร้อมอธิษฐานจิตว่า
“ เราปรารถนาจะเป็นอย่างพระทีปังกรพุทธเจ้า
บรรลุพระโพธิญาณ และพามหาชนข้ามวัฏสงสารไปด้วยกัน ”
หลังจากสุเมธดาบสกราบทูลแล้ว พระทีปังกรพุทธเจ้าก็เดินมาหยุดที่ศีรษะของสุเมธดาบส และทรงทราบโดยพระญาณว่า สุเมธดาบสได้บำเพ็ญบารมีมานานมากแล้ว บัดนี้เป็นผู้มีเสบียงธรรมพร้อม สามารถบรรลุธรรมได้ด้วยการฟังธรรมเพียง ๑ คาถาเท่านั้น แต่ทว่า สุเมธดาบสเป็นผู้แน่วแน่ไม่เปลี่ยนใจ ตั้งใจเป็นพระโพธิสัตว์พร้อมที่จะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต จึงตัดสินพระทัยไม่แสดงธรรม แต่ทรงให้พุทธพยากรณ์ไว้ว่า


“ท่านทั้งหลาย จงดูดาบสผู้มีตบะอันรุ่งเรืองนี้ ดาบสท่านนี้กระทำความปรารถนายิ่งใหญ่ เพื่อความหลุดพ้นจากความทุกข์ในวัฏสงสาร เป็นพระพุทธเจ้าในที่สุด ท่านสร้างสมพุทธการกระทำ คือธรรมที่จะทำให้เป็นพระพุทธเจ้ามาแล้วถึง ๑๖ อสงไขย ด้วยความอุตสาหะ สละชีวิตและเลือดเนื้อเพื่อโพธิญาณมาแล้วนับจำนวนครั้งไม่ได้ ความปรารถนาของท่านนั้นจักสำเร็จในที่สุดนับจาก ๔ อสงไขยกับเศษแสนกัปนี้ไป ท่านจักตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านามว่า “โคตมะ”

ในอัตภาพนั้นของท่าน จักประสูติในตระกูลศากยะเป็นเจ้าชาย มีนครนามว่า กบิลพัสดุ์ เป็นที่อยู่อาศัย พระมารดานามว่ามายา พระบิดานามว่าสุทโธทนะ
เมื่อท่านมีญาณแก่กล้าแล้วออกมหาภิเนษกรมณ์ เป็นการเสด็จออกบวชครั้งสุดท้าย ในภพนั้น พระองค์ตั้งจิตอธิษฐานอย่างใหญ่หลวง และมีความเพียรอย่างอุกฤษฏ์ รับข้าวปายาสที่โคนต้นไทร เสวยที่ฝั่งเเม่น้ำเนรัญชรา ขึ้นสู่โพธิมณฑล และจักตรัสรู้ที่โคนต้นอัสสัตถพฤกษ์

หลังตรัสรู้แล้ว นามว่า พระโคตมพุทธเจ้า ท่านจะมีพระอุปติสสะเป็นอัครสาวกเบื้องขวา พระโกลิตะเป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย พระเขมาได้รับยกย่องว่าเป็นผู้มีปัญญามาก พระอุบลวัณณาได้รับยกย่องว่าเป็นผู้มีฤทธิ์มาก พระอานนท์เป็นพุทธอุปัฏฐาก…”

ชาวเมืองเเละเทวดาทั้งหลายเมื่อได้ฟังคำพุทธพยากรณ์แล้ว ก็พร้อมกันเปล่งคำว่าสาธุกันจนลั่นฟ้าลั่นปฐพี
หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าพร้อมคณะสงฆ์ก็เสด็จผ่านบนร่างกายของสุเมธดาบสไป
จากนั้นสุเมธดาบสจึงกลับไปบำเพ็ญเพียรที่ป่าหิมพานต์ และได้สำเร็จอภิญญาสมาบัติ เมื่อสิ้นอายุขัย จึงได้ไปเกิดบนพรหมโลก และได้บำเพ็ญเพียรมาอีก ๔ อสงไขย จนได้มากำเนิดเป็นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน



หนังสืออ้างอิง จากพระไตรปิฎก
– อรรถกถา เอกกนิบาตชาดก อปัณณกวรรค
นิทานกถา ว่าด้วยทูเรนิทาน อวิทูเรนิทาน สันติเกนิทาน
อปัณณกชาดก ว่าด้วยการรู้ฐานะและมิใช่ฐานะ
หน้าต่างที่ ๒ / ๙.
ค่าแห่งคำอธิษฐาน ๑. คำอธิษฐานของสุเมธดาบส
เรียบเรียงโดย พระครูอมรโฆสิต (ปรีชา สาเส็ง)

