“วิชาเรียนรู้ชีวิต ใกล้ชิดความตาย”

ปริญญาที่พาเข้าถึงและรู้ซึ้งในสัจธรรม

โดย พระมหาประสิทธิ์ ญาณปฺปทีโป

มีโอกาสได้ร่วมฟังการสะท้อนคิดของนิสิต ภาควิชาจิตวิทยาชีวิตและความตาย เป็นหลักสูตรระดับปริญญาโท ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ทั้งที่จบไปแล้วตั้งแต่รุ่นแรกกระทั่งรุ่นปัจจุบัน ซึ่งเปิดเทอมสองเป็นวันแรก ที่วัดมหาธาตุฯ ท่าพระจันทร์ กรุงเทพฯ เริ่มต้นจากรุ่นพี่ที่มาแบ่งปันประสบการณ์ถึงการเรียน และรุ่นปัจจุบันแบ่งปันความเปลี่ยนแปลงของตนเองที่ได้มาเรียนหนึ่งเทอมผ่านไปแล้ว

จับประเด็นได้ว่า  ทั้งรุ่นพี่และรุ่นปัจจุบัน สะท้อนสิ่งที่เหมือนกันคือ การมาเรียนภาควิชานี้ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากภายใน หลายคนสัมผัสได้ถึงสภาพจิตใจตนเองที่เกิดการเติบโตขึ้นนำไปสู่พฤติกรรมที่อ่อนโยนและสงบเย็น สุขุมมากขึ้น

เห็นตนเองชัดขึ้นและเห็นคุณค่าในตนเองมากขึ้น

การมาเรียนกระบวนการต่างๆ ในวิชา ทำให้มีทักษะในการรับฟังทั้งตนเอง และคนอื่นมากขึ้น ทำให้ได้สัมผัสกับความรู้สึกของตนเองที่แท้จริง พร้อมทั้งเห็นความงอกงามที่ค่อยๆ เบ่งบานแทนความเขลาขลาด และฉลาดในการคิด เพื่อไม่ให้ตนเองทุกข์ กระทั่งความทุกข์ไม่อาจจะทำให้เกิดความหม่นหมองได้

วางใจเป็นเพราะเห็นทุกข์ชัด

ภาควิชานี้ดูเหมือนจะทำให้กิจในอริยสัจเด่นเห็นเป็นรูปธรรมมากที่สุด เพราะกิจในทุกขังอริสัจจัง ก็คือ ปริญญา ไม่ใช่ใบปริญญา แต่ปริญญา แปลว่ารอบรู้ทุกข์อย่างแท้จริง พูดง่ายๆ คือ เห็นทุกข์ทั้งของตนเองและคนอื่นชัดเจนมาก เมื่อเห็นทุกข์ชัด ก็จะสามารถบริหารจัดการอารมณ์ได้เป็นอย่างดี มีทักษะในการวางใจอย่างไรไม่ให้ตกอยู่ในอำนาจทุกข์ นั่นจึงทำให้หลายคนที่จบไปแล้วสามารถที่จะกล้าก้าวไปสู่การทำงานเพื่อช่วยเหลือคนอื่นให้พ้นทุกข์และมีคุณค่าของความสุขที่ธรรมดาในชีวิต

ปริญญา ที่ไม่ใช่แค่ใบปริญญา

ทุกคนที่สำเร็จการศึกษาตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า มาเรียนที่นี่ทำให้เห็นและเข้าใจในความทุกข์ชัดมากขึ้น ทักษะและประสบการณ์ที่ได้นำไปสู่การต่อยอดในหน้าที่การงาน ให้การทำงานมีความสุขและเห็นคุณค่าในงานที่ทำมากขึ้น พร้อมทั้งพัฒนาทักษะในการทำงานเพื่อช่วยเหลือมนุษย์ได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มพยาบาล ได้นำไปปรับใช้กับการดูแลผู้ป่วยที่รักษาทั้งทางการและเยียวยาจิตใจ กระทั่งส่งจิตสุดท้ายสู่สุคติ

อยู่ก็สุข จากก็สงบ

จากที่ฟังการสะท้อนจนครบวงสานเสวนา ทำให้จับประเด็นได้ว่า ภาควิชานี้ ทำให้ผู้เรียนได้ทักษะในการดำเนินชีวิตให้มีความสุขมากขึ้น ก้าวหน้าทั้งการทำงานภายนอกคือวิชาชีพ และการทำงานภายในคือวิชาชีวิตก็มีการเติบโตไปด้วยได้ พร้อมกันนั้นทุกคนดูจะใกล้ชิดความตายกระทั่งเห็นว่ามีคุณค่าดุจกัลยาณมิตรผู้ซื่อตรง สามารถที่จะส่งคนอื่นให้จากไปอย่างสงบได้ หลายคนก็กำลังเตรียมตัว ก่อนจะก้าวไปหาความตาย แต่จะตายอย่างสงบ

ขณะที่หลายคนกำลังแสวงหาวิชาที่จะเอาไปทำมาหาเลี้ยงตนและสั่งสมทรัพย์  จากกระแสข่าวการขาดทุนจนปิดตัวของมหาวิทยาลัยต่างประเทศ กระทั่งผลกระทบของมหาวิทยาลัยไทย ที่มีภาวะเสี่ยงต่อการปิดตัว คณาจารย์เจ้าหน้าที่อาจจะพากันตกงาน เพราะไม่ใช่แค่นักศึกษาเข้าเรียนน้อย การหางานทำของบัณฑิตจบใหม่ก็ยากขึ้นด้วย  แนวโน้มเหมือนกำลังจะดิ่งลง

วิชาจิตวิทยาชีวิตและความตาย ดูจะสวนกระแส ทั้งกระแสสังคมที่การเรียนมุ่งไปเพื่อไปทำงานรับใช้องค์กร หรือภาคธุรกิจ  บางคนล้อว่า “จบแล้วไปเป็นสัปเหร่อ”  เพราะแต่ละวิชาไม่ได้ตอบโจทย์การทำมาหากินเลย  แต่กลับเป็นการแสวงหาตัวตนที่แท้จริงและชั่วโมงแห่งการเรียนรู้ทุกข์สู่การมีชีวิตอยู่อย่างรู้คุณค่าและเตรียมตัวจากลาอย่างสงบ เพราะพบคำตอบของตนเองแล้ว น่าจะเรียกได้ว่า เป็นวิชาเรียนรู้ชีวิต ใกล้ชิดความตาย

เมื่อคนเรานั้นเข้าใจว่าชีวิตคืออะไร  ชีวิตควรเป็นไปอย่างไร ก็จะเห็นคุณค่าในชีวิตของตนเองและผู้อื่น เมื่อเข้าใจความตาย คุ้นเคยกับความตาย ก็จะไม่มีความกลัว หรือเมื่อต้องเผชิญกับการพลัดพราก ก็สามารถที่จะประคองใจไม่ให้หลงจนหวาดหวั่นได้ สามารถที่จะรับมือกับการลาจากได้

การเรียนวิชานี้เป้าหมายจึงไม่ใช่แค่ใบปริญญา แต่คือปริญญาเข้าถึงและรู้ซึ้งถึงสัจธรรมแห่งชีวิต

“วิชาเรียนรู้ชีวิต ใกล้ชิดความตาย”

ปริญญาที่พาเข้าถึงและรู้ซึ้งในสัจธรรม

โดย พระมหาประสิทธิ์ ญาณปฺปทีโป

จากคอลัมน์ โชคดีที่มีพระ (หน้าพระไตรสรณคมน์ นสพ. คมชัดลึก วันพฤหัสบดีที่ ๒๘ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๖๒)

ขอขอบคุณ ภาพจากสำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และความมั่นคงแห่งสถาบันชาติ พระศาสนา พระมหากษัตริย์ วัดสระเกศ
ขอขอบคุณ ภาพจากสำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และความมั่นคง
แห่งสถาบันชาติ พระศาสนา พระมหากษัตริย์ วัดสระเกศ

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here