หลังจากจบภารกิจการเป็นพระวิทยากรในโครงการสามเณรปลูกปัญญาธรรมที่สวนโมกข์ : พระครูสมุห์สุพัฒน์  อนาลโย
หลังจากจบภารกิจการเป็นพระวิทยากรในโครงการสามเณรปลูกปัญญาธรรมที่สวนโมกข์ : พระครูสมุห์สุพัฒน์ อนาลโย

เรียนรู้ ดูจิตใจ ระหว่างการเดินทางกลับวัดบ้านเกิด

ธุดงค์ช่วงสั้นๆ กับการฝึกตน

กับ พระครูสมุห์สุพัฒน์  อนาลโย

หลังจากจบภารกิจการเป็นพระอาจารย์ พระวิทยากร ให้กับ โครงการสามเณรปลูกปัญญาธรรม ปีที่ ๘ ที่สวนโมกขพลาราม จังหวัดสุราษฎร์ธานี

พระอาจารย์จ๊อดส์ ก็นั่งรถทัวร์บขส.กลับไปยังจังหวัดของแก่น และลงรถในเมืองพล จากนั้นท่านก็ตัั้งสัจจะบารมีที่จะเดิน…กลับวัดบ้านเกิด ระยะทางเดิน​ประมาณ​ ๑๔​ กิโลเมตร​ ใช้เวลาเดิน ๕ ​ ชั่วโมง

เดินกลับบ้าน…บนเส้นทางธรรม โดย พระอาจารย์จ๊อดส์

ระหว่างนั้น ท่านพบอะไรบ้าง …

เดิน..กลับวัดบ้านเกิด บนเส้นทางธรรม

โดย พระครูสมุห์สุพัฒน์  อนาลโย

หลายท่านเคยได้เห็นได้ยินข่าวตามสื่อออนไลน์ว่ามีพระรูปหนึ่งมือขวาถือกลด มือซ้ายสะพายย่าม มีอัฏฐบริขารของใช้สอยพระสงฆ์ และสวมใส่รองเท้าแตะเดินตากแดดรินถนนไม่รับตังค์และไม่ขึ้นรถระหว่างเดินทางจนกว่าจะถึงเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ที่เรียกว่า​ “สัจจะบารมี”​

เมื่อได้ยินข่าวแบบนี้มาหลายครั้ง ทำให้ฉุกคิดขึ้นในใจตนเองว่า ครั้งหนึ่งในชีวิตเราบวชมาเป็นพระแล้วอยากลองดูบ้างสักครั้ง​ (เรื่องที่จะเล่านี้ไม่ได้โอ้อวดแต่ประการใด)​  เพียงแค่แบ่งปันประสบการณ์ที่ได้พบเจอระหว่างทางมาเล่าให้ฟัง

วันนี้มีโอกาสได้กลับมาบ้านเกิดตนเองในจังหวัดขอนแก่น หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจ “โครงการบวชสามเณรปลูกปัญญาธรรม ปีที่ ๘​” ซึ่งจัดขึ้นที่สวนโมกขพลาราม​  อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี​ 

ขอขอบคุณภาพจาก fb พระอาจารย์จ๊อดส์ “โครงการสามเณรปลูกปัญญาธรรม

ขากลับ ได้นั่งรถทัวร์มาก่อนถึงเมืองพล ความคิดนี้ผุดขึ้นมาว่าจะลองเดินจาก​สถานีขนส่ง (บขส.) ​เมืองพลให้ถึงบ้านตนเอง​ ซึ่งเป็นเวลาและโอกาสอันเหมาะสม รถทัวร์มาถึง​เวลาตอนบ่าย​ ๓​ โมงพอดี​ ก้าวขาลงเหยียบพื้นได้ห่มผ้าจีวรเรียบร้อยสะพายย่าม​  จึงตัดสินใจเดิน

ในระหว่างนั้น…ก็มีโยมขับรถวินมอเตอร์ไซค์และสามล้อเครื่องที่บขส.

ถามพระว่า “พระอาจารย์จะไปวัดไหนหรือครับ​ เหมารถไปไหมครับ”

พระตอบ​ว่า​  “เจริญพร… ไม่เป็นไร​  พระจะเดินไปเอง”

หลังนั้นสะพายย่ามต่อ และเดินลัดเซาะเลาะซ้ายขวาไปมาจนออกมาถึงถนนใหญ่ที่รถประจำทางวิ่งเป็นประจำสายเมืองพล-ชัยภูมิ​ และข้ามทางรถไฟไป

ในระหว่างนั้นเริ่มรู้สึกตัวว่าตอนที่อยู่ในเมืองนั้นมันหนักตัวอึดอัดใจเพราะมีผู้คนมากมายสอดส่องมองมาที่เรา ​แก้ด้วยการให้ความรู้สึกไปอยู่ที่เท้าในการเดินสลับไปดูที่ลมหายใจ​ 

ระยะทางประมาณ​ ๒๐๐​ เมตรแรกจะถึงโรงเรียนประจำอำเภอพล นักเรียนเลิกเรียนพอดี​ มีผู้ปกครองที่อยู่ใกล้ก็มารอรับลูกกลับบ้าน​ ส่วนใครที่อยู่ไกลหน่อยจะมีรถบัสมารับส่งนักเรียนกลับบ้านมีหลายคันจอดเรียงรายกันไปสุดลูกตา

อาตมาเดินตามริมฟุตบาททางขวามือ ค่อยๆ เดินกำหนดรู้สึกตัว ก้มหน้าผ่านโรงเรียนไป​ นักเรียนบางคนยกมือไหว้​ และตะโกนบอกเพื่อนว่าหลีกทางให้พระหน่อย​

จากจุดนี้ได้เห็นธรรมคือความอ่อนน้อมถ่อมตัวจากนักเรียน​ ซึ่งอาจจะเป็นผลมาจากครูอาจารย์และพระอาจารย์เป็นครูสอนศีลธรรมในโรงเรียนได้สอนเรื่องศีลธรรมให้แก่นักเรียนหรือไม่ก็จากผู้ปกครองพาลูกเข้าวัดบ่อยครั้งก็เป็นไปได้​ 

“สาระสำคัญคือตัวนักเรียนเองเป็นผู้รับรู้ธรรมะและปฏิบัติธรรมเอง​ ต่อให้พ่อแม่ครูพระอาจารย์สอนดีสักปานใด​ แต่เด็กไม่ทำตามก็ไม่เกิดผลอะไรเลย”

พอเดินผ่านนักเรียนไปอาการเดินก็มีสิ่งที่ทดสอบจิตใจเรา​นั้นคือ​

“ย่ามเริ่มหนัก​ เท้าขาและน่องเริ่มปวดขึ้น​ ระยะทางก็เริ่มห่างไกลเรื่อยๆ​ จิตใจก็สนุกคิดไปหาย่ามบ้าง​ เท้าขาและน่องบ้าง​ ไปอยู่กับความเจ็บปวดบ้าง​   เรามาเดินให้เจ็บเท้าทำไม​  จิตหนึ่งก็บอกว่าเรามาเดินเพื่อปฏิบัติธรรมดูใจตนเอง​ เพื่อเจริญจิตตภาวนาทำให้สติเข้มแข็งขึ้น​”

ย้อนกลับมาอยู่กับปัจจุบันคือ​ ฐานกายด้วยดูลมหายใจเข้าออก​และการเดิน  บางครั้งนึกถึงอดีตเราเดินมาไกลหรือยัง​  บางครั้งนึกถึงอนาคตว่าอยากไปให้ถึงวัดเร็วๆ จะได้พักผ่อนให้หายเหนื่อยหายร้อนฉันน้ำเย็นๆ​ สักแก้วแล้วก็ดึงสติกลับมาดูอาการการเดินที่เท้า

ขณะที่เดินตามเส้นทางนั้นเหนื่อยก็หยุดพักบ้าง​ เมื่อหายเหนื่อยก็เดินต่อไป​ 

บางเวลาสะพายย่ามด้านซ้ายหนักก็เปลี่ยนมาทางด้านขวาบ้าง​

ในระหว่างที่เปลี่ยนย่ามสลับซ้ายขวานั้น​

ความคิดเกิดขึ้นว่า​  สะพายย่ามด้านซ้ายขวามันหนักมันเจ็บปวดไหล่ด้วย​

เปรียบตัวเราแบกขันธ์ห้าของตน  ไหล่ซ้ายขวาคือความสุขความทุกข์​  ความทุกข์คืออาการเจ็บปวดที่ไหล่​  มันอดทนได้ยาก​  เมื่อเราเปลี่ยนจากด้านซ้ายมาด้านขวาก็เบาสบายคือความพอใจสุขใจ​ ไม่พอใจก็ทุกข์ใจ​  

ส่วนด้านซ้ายก็ทุกข์แทนด้านขวาสลับกันไม่รู้จักจบ​ จบได้ด้วยการปล่อยวางไม่เอาใจไปผูกมัดกับความทุกข์ที่ไหล่ซ้ายขวาทำใจให้เป็นกลาง มองไปข้างหน้าเดินด้วยความรู้สึกตัวกายใจจะเบาสบายระยะหนึ่ง​ 

เมื่อใจมันมาหาความเจ็บปวด​ เวทนาที่กายความไม่พอใจปรากฏ​  ความทุกข์ก็ตามมาอีกรอบ

เดินมาไกลโขแล้ว​ เหงื่อที่กายเริ่มเปียกปอนที่ผ้าจีวรไหลจากหัวลงมาที่หน้าผาก ไหลเข้าตารู้แสบตานิดหน่อยสักพักก็หายไป​ ริมฝีปากเริ่มแห้งเพราะการเสียเหงื่อจากแสงแดดที่ร้อนระอุทำให้เสียน้ำในร่างกายสิ่งที่ทำได้คือ​ เลียริมฝีปาก​ ไม่ได้เตรียมน้ำมาด้วย​

เพียงแค่คิดว่าอยากฉันน้ำสักจิบน่าจะมีพลังวังชาเดินต่อไป​  ด้วยเดชบุญอานิสงค์ของการเดินเจริญจิตตภาวนา​ มีเหตุการณ์ที่ประทับใจเกิดขึ้นในเส้นทางที่เดินตามถนนนั้น​ ก็มีรถปิ๊กอัพคันหนึ่งจอด​ได้เสียงเรียกแว่วๆ ดังขึ้นด้านหลัง​  มีโยมผู้ชายลงจากรถเดินมาอย่างสำรวมเข้ามาหาพระถามว่า​

“พระอาจารย์จะไปไหนครับ?”

พระตอบว่า “มาจากบขส.​เมืองพล​ จะกลับวัดที่บ้านเกิด”

โยมบอกว่า ​“เดี๋ยวผมไปส่งครับ”

พระตอบว่า “ไม่เป็นไร.. อาตมาจะเดินไปเอง​ เพื่อเป็นการปฏิบัติธรรม​ เจริญจิตตภาวนาดูใจตนเอง ขอบคุณโยมมากๆ ที่จะไปส่ง… อนุโมทนาด้วยนะ”

โยมไม่พูดได้แต่ยิ้มแล้วยกมืออนุโมทนาสาธุ

อาตมาเดินต่อไปเพื่อให้ถึงเป้าหมาย​  ส่วนโยมขับรถไปตามเส้นทางของตน

เหตุการณ์ที่สอง

เดินมาได้อีกสักกิโลเมตรหนึ่ง ก็มีโยมผู้ชายนั่งรถเก๋งสีขาวจอดเลนทางด้านซ้ายมือเปิดประตูถามว่า “พระจะไปไหน?”

พระตอบว่า “จะกลับวัดบ้านเกิดนะโยม”

โยมบอกว่า “มันเป็นทางผ่านที่ผมจะไปพอดีเลยนิมนต์ครับ”

พระตอบว่า “ไม่เป็นไรโยม​  อาตมาจะเดินกลับเอง​ เพื่อเป็นการปฏิบัติธรรม​ เจริญจิตตภาวนาดูใจตนเอง​”

โยมก็วิ่งมาหานั่งประนมมือพูด​  ในมือนั้นมีขวดน้ำด้วย

โยมบอกว่า​ “ผมเคยบวช​เรียนกับสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่แล้วและผมเป็นตำรวจทำงานที่อำเภอแวงน้อยนี้ครับ”

พระตอบว่า “อนุโมทนาบุญด้วยนะสาธุ”

เดินต่อไปอีกก็มีแม่ค้าท่านหนึ่งเปิดร้านขายอาหารตามสั่งได้ถือขวดน้ำเย็นๆ และเครื่องดื่มชูกำลังมาถวายพระ

แม่ค้าถามว่า “พระอาจารย์มาจากไหนและอยู่บ้านไหน”

พระตอบว่า “มาจากเมืองพลและจะไปบ้าน…นี้”

แม่ค้าถามว่า “ตัวดีมีบ่ค่ะ”

พระบอกว่า “ตัวดีคือ​ สิ่งที่โยมทำอยู่นี้หละ​  กะให้เฮ็ดเอาหลายๆ เด้อ​  ค้าขายเป็นอย่างไรบ้าง?”

แม่ค้าว่า “ดีอยู่ค่ะ”

พระบอกว่า “ขอให้ค้าขายดีๆ หม่านๆ เด้อ​ อนุโมทนาบุญนำเด้อ​ อยู่ดีมีแฮ็งเด้อโยม”

เหตุการณ์ที่​ สาม

อาตมาเดินมาได้สักประมาณร้อยเมตรมีรถที่ขับสวนทางมาชะลอจอดรถถามว่า

“ พระอาจารย์จะไปไหนครับ”

พระตอบว่า “จะกลับบ้าน… นี้”

โยมบอกว่า “เดี๋ยวผมไปส่งเองครับ นิมนต์มานั่งข้างหน้าครับ​  ผมเพิ่งออกมาจากบ้านคูขาดมื้อกี้นี้เอง​ เดี๋ยวผมไปส่งครับ”

พระตอบว่า “ขอบคุณ…​  ไม่เป็นไร​  อาตมาจะเดินไปถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรมด้ว​ย  ขอให้คุณโยมทั้งสองได้รับอานิสงค์ครั้งนี้ด้วย”

และเหตุการณ์สุดท้ายนี้

ระหว่างที่เดินต่อมาเหนื่อยพักฉันน้ำข้างริมถนน พอหายเหนื่อยก็เดินต่อจะพักบ่อยมากแรงเริ่มจะหมดแล้ว ก็อดทนกัดฟันสู้ๆ​ เพื่อวิริยะบารมีและขันติบารมี​  มีเหตุบังเอิญรถชนกันทางโค้ง รถปิ๊กอัพเสียหลักหักลงคลองน้ำ อาตมาเห็นแต่น้ำกระจาย โชคดีไม่มีใครเสียชีวิตที่ว่าบังเอิญคือรถที่ลงคลองนั้นเป็นคนบ้านเดียวกัน

เดินจากเหตุการณ์แย่ผ่านไป เหนื่อยก็ไปพักที่ศาลาริมทางของหมู่บ้านทุ่งน้อย​   โยมขับรถมอเตอร์ไซค์มาจอดแล้วเอานมกล่อง และน้ำเปล่ามาถวาย​ พอดีหมดพลัง จึงได้สังเกตว่าพักบ่อยๆ ขึ้น​  โยมผู้หญิงได้มาต่ออายุให้พระมีพละกำลังสู้อีกครั้​งในการเดินเส้นทางทางธรรม​

ขอขอบคุณอนุโมทนาบุญที่นำบุญมาต่อบุญ เหมือนโยมรู้ว่าพระหมดแรงนำมาถวายถูกจังหวะ ขอให้มีความสุขกายใจ ร่างกายแข็งแรงตลอดไป…สาธุ

ตอนนี้น่าจะหกโมงเย็นแล้ว​  ในเส้นทางเดินได้เห็นซากศพของสัตว์เล็กใหญ่หลายประเภทมีงู​ เต่า​ ปู ตายตามริมข้างถนนและกลางถนน​  ไม่ต่างจากคนที่เกิดในโลกนี้ย่อมการเกิด  แก่​ เจ็บ​ ตาย​ ตามวิถีของกฎธรรมชาติ​ไม่ว่าเด็กผู้ใหญ่ก็ตายด้วยกันทั้งนั้น​

แสงพระอาทิตย์คล้อยลงสู่พื้นดิน จากที่มองเห็นตนเอง เงานั้นได้ถูกกลืนกินไปตามกาลเวลาที่หนุนเวียนผ่านไปจนมืดมน​เหมือนดังตัวอวิชชาที่ทำให้หลงใหลในความไม่รู้​ ติดกับดักของ​มาร​ ให้เกิดความโลภ​ โกรธ​ หลง​ กาม​ กิน​ เกียรติ​ จึงเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น​

การใช้ชีวิตแบบสุขที่เจือด้วยความทุกข์สุขไม่แท้อยู่ร่ำไปยังห่างไกลจากเส้นทางธรรมคือความพ้นทุกข์และพระนิพพานคือความสุขสูงสุด

พระครูสมุห์สุพัฒน์ อนาลโย
พระครูสมุห์สุพัฒน์ อนาลโย

สุดท้ายเหลืออีกประมาณหนึ่งกิโลเมตรเส้นทางมันมืดก็เดินเข้ามาถึงเขตหมู่บ้านแล้ว​ สุนัขเห่าตามทางและยิ่งใกล้ถึงวัดแล้วก็หยุดพักยืนอยู่ในท่ามกลางความมืด

พอดีมีแสงไฟส่องมาสว่างที่ตา​จากรถ  ส่วนใจก็บอกว่าให้นั่งรถเข้าวัดได้แล้ว การเดินสิ้นสุดลงแบบไม่สมบูรณ์แต่ก็ได้ทำสุดความสามารถแล้วตอนนั้นเวลาก็หนึ่งทุ่มแล้ว​

โยมอ้นเป็นคนจังหวัดร้อยเอ็ด​ เป็นครูสอนที่โรงเรียนพล สอนวิชาดนตรี ได้ไปเล่นฟุตบอลที่บ้านเพื่อน​มาเจออาตมาก็เข้ามาถามว่าจะไปไหน​ครับ ก็บอกว่าจะวัดบ้านเกิดนี้​ โยมก็ขับรถมาส่งที่วัด​ ขออนุโมทนาให้เจริญๆ รุ่งเรืองเด้อ สาธุ

เดินกลับบ้าน…บนเส้นทางธรรม โดย พระอาจารย์จ๊อดส์

จากการเดินครั้งนี้ทำอาตมาเข้าใจพระท่านเดินธุดงค์ด้วยความบริสุทธิ์ใจ​  ได้เห็นผู้คนและมีเหตุการณ์ที่ประทับใจคือเรื่องดี และเรื่องที่ไม่ดีแตกต่างกัน​ เห็นน้ำใจของชาวพุทธที่มีต่อพระสงฆ์​  ระหว่างเดินทางก็ได้ปฏิบัติธรรม เข้าใจธรรม สนทนาธรรมกับตนเอง และญาติโยม​  เข้าใจเวทนาทางกาย ทางใจ ที่รู้สึกเจ็บปวด​ เห็นความพอใจและไม่พอใจ ​เหนื่อยหน่ายใจ เบื่อและสู้กับความคิดที่เป็นอดีตและอนาคต​

สุดท้าย​คือ​ ได้ปฏิบัติธรรมปฏิบัติตนให้มีสติความรู้สึกตัว ได้เรียนรู้กรรมฐาน เวลาเดิน​และดูลมหายใจเข้าออก​ สร้างความอดทนอดกลั้นเรียกว่าขันติบารมี​ เพิ่มเติมความพากเพียรอย่างไม่ท้อถอยเรียกว่า​ วิริยะบารมี​  เห็นใจตนเองตามทันความรู้คิดตน​ ใจสบาย​ โปล่งโล่ง​ เพราะการปล่อยวางกายใจออกจากทุกข์ได้ชีวิต ต้องเดินตามเส้นทางทางธรรมก็เพียงพอแล้ว

“พระจ๊อดส์” พระครูสมุห์สุพัฒน์  อนาลโย

๒๔​ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๒

การใช้ชีวิตแบบสุขที่เจือด้วยความทุกข์สุขไม่แท้อยู่ร่ำไป
ยังห่างไกลจากเส้นทางธรรม
คือความพ้นทุกข์และพระนิพพานคือความสุขสูงสุด “

เดินกลับบ้าน…บนเส้นทางธรรม โดย พระอาจารย์จ๊อดส์
พระครูสมุห์สุพัฒน์  อนาลโย

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here