โครงการบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อน “ศากยพุทธบุตร” เฉลิมพระเกียรติ รุ่นที่ ๑
ถวายเป็นพระราชกุศล
สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ
สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
๒ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
ณ พุทธสถานฮ่องธรรม (ฮ่องธรรม ฮ่องคำอิสาน)
“ฝึกฝนกาย พัฒนาจิตใจ สร้างบุญบารมี”
น้อมนำศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
ตำบลทุ่งไชย อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ
ตั้งแแต่วันที่ ๓๑ มีนาคม – ๑๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ จำนวน ๕๐ รูป
คณะสงฆ์ผู้จัดงาน
พระมหาติ่ง มหิสฺสโร,ดร.
ประธานสงฆ์ และ ประธานมูลนิธิบุญพระศาสนาสงเคราะห์
พระมหาสิทธิชัย สิทฺธิญาโณ วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร
และ พระบุรินทร์ ฐานสมฺปนฺโน สำนักสงฆ์ พุทธสถานฮ่องธรรม อีสาน
อนุโมทนาบุญกับ พลตำรวจเอก เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส
ประธานในพิธี โครงการบรรพชาสามเณรพุทธศากยบุตร รุ่นที่ ๑
“ฮ่องธรรม ฮ่องคำอิสาน”
“ฝึกฝนกาย พัฒนาจิตใจ สร้างบุญบารมี”
“การบวช” อาจกล่าวได้ว่า เป็นนวัตกรรมที่ล้ำยุคที่เหนือกาลเวลาของมนุษยชาติ ที่พระพุทธเจ้าค้นพบความลับในธรรมชาติจากการบำเพ็ญเพียรอย่างอุกฤษฏ์ในวันวิสาขบูชาเมื่อสองพันหกร้อยกว่าปีก่อนจนบรรลุสัจธรรม พบความจริงอันประเสริฐ คือ อริยสัจสี่ประการที่สามารถนำจิตเราออกจากสังสารวัฏอันเวียนวนได้ด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘ ประการ ที่สรุปย่อลงมาคือ ทาน ศีล ภาวนา
พระพุทธเจ้าเสด็จมาเพื่อบอกกับเราว่า มนุษย์พัฒนาได้ และไปถึงที่สุดของความเป็นมนุษย์ได้ คือไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดในสังสารววัฏอีก ทรงไขความลับของธรรมชาติให้เราค้นพบว่า ตัวเราคือความสืบเนื่องของกิเลส กรรม และวิบากไหลวนอยู่ในกระแสของชีวิตไม่จบสิ้น และเราจะลาออกจากวงจรแห่งการเกิดแก่เจ็บตายได้ ก็ด้วยเส้นทางแห่งการตื่นรู้อย่างแท้จริง คือ การบวชตามรอยพระพุทธเจ้าเข้าสู่การเรียนรู้ชีวิตด้านในอย่างถ่องแท้ว่า เราเกิดมาทำไม มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร และจะจากโลกนี้ไปอย่างไม่หวนคืนกลับมาอีกได้อย่างไร
ในธรรมนิพนธ์เรื่อง “ลูกผู้ชายต้องบวช” เรียบเรียงโดย ญาณวชิระ (พระมหาเทอด ญาณวชิโร อดีตพระราชกิจจาภรณ์) กล่าวถึง “สามเณรราหุล” สามเณรรูปแรกในพระพุทธศาสนา ไว้ในบรรพ์ที่ ๔ ตอนหนึ่งว่า
สามเณรราหุลเป็นสามเณรรูปแรกในพระพุทธศาสนา ท่านเกิดในวรรณะกษัตริย์ ตระกูลศากยราช เป็นพระโอรสของเจ้าชายสิทธัตถะกับพระนางยโสธรา หรือพิมพา เป็นพระราชนัดดาของพระเจ้าสุทโธทนะ กษัตริย์ผู้ครองเมืองกบิลพัสดุ์ ประสูติวันที่เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกผนวช
วันนั้น เจ้าชายสิทธัตถะทรงได้สดับข่าวพระโอรสประสูติ จึงออกพระโอษฐ์ว่า
“ราหุลัง ชาตัง ราหุลัง ชาตัง”
แปลว่า “บ่วงเกิดขึ้นแล้ว บ่วงเกิดขึ้นแล้ว เครื่องพันธนาการเกิดขึ้นแล้วแก่เรา”
ตั้งแต่นั้นมาพระราชกุมารจึงได้พระนามว่า “ราหุล” ท่านออกบรรพชาขณะมีอายุได้ ๗ ขวบ ภายหลังจากที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดพระญาติที่กรุงกบิลพัสดุ์ และเป็นผู้ที่ทำให้เกิดข้อกำหนดในการบวชว่า ผู้ที่จะบวชต้องได้รับอนุญาตจากบิดามารดาก่อน
ราหุลกุมารได้รับคำชี้แนะจากพระมารดา ให้ไปขอราชสมบัติจากพระพุทธเจ้า ขณะนั้นพระพุทธองค์พร้อมทั้งภิกษุสงฆ์จำนวนมากกำลังเสด็จออกบิณฑบาตอยู่ในพระนคร ราหุลกุมารได้ติดตามพระพุทธองค์ไปจนถึงนิโครธาราม วัดที่พระญาติสร้างถวายในโอกาสที่พระองค์เสด็จกลับพระนคร
พระพุทธเจ้าทรงเห็นว่า ราหุลกุมารขอทรัพย์สมบัติที่เป็นโลกิยะอันเป็นของชาวโลก จะต้องประสบกับความยากลำบากไม่มีสิ้นสุด พระองค์ประสงค์ที่จะให้พระราหุลได้ทรัพย์สมบัติที่เป็นโลกุตตระ ที่เที่ยงแท้ยั่งยืน จึงมอบให้พระสารีบุตรเป็นพระอุปัชฌาย์บรรพชาให้พระราหุลกุมาร
ธรรมนิพนธ์เรื่อง “ลูกผู้ชายต้องบวช” เรียบเรียงโดย ญาณวชิระ
(พระมหาเทอด ญาณวชิโร อดีตพระราชกิจจาภรณ์)
พระสารีบุตรบรรพชาให้พระราหุลกุมารด้วยวิธีติสรณคมนูปสัมปทา คือ ให้เปล่งวาจาขอถึงไตรสรณคมน์ว่าเป็นที่พึ่งที่ระลึก และได้ใช้เป็นรูปแบบการบรรพชาสามเณรมาจนถึงปัจจุบัน
นับตั้งแต่วันที่บวช สามเณรราหุลเป็นผู้สนใจในการศึกษา เป็นผู้ว่าง่ายอยู่ง่าย ไม่ถือตนเองเป็นโอรสของพระพุทธเจ้า มีความเคารพในพระสงฆ์เป็นอย่างมาก สามเณรราหุลลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ลงมากอบทรายเต็มกำมือ แล้วตั้งจิตอธิฐานว่า “วันนี้ขอให้เราได้ฟังคำแนะนำสั่งสอนจากพระพุทธเจ้าและพระอุปัชฌาย์มากเท่าเม็ดทรายในกำมือของเรานี้”
ความเป็นผู้ไม่ถือตัวว่าง่ายอยู่ง่ายของพระราหุล ปรากฏตามประวัติของท่านว่า ครั้งหนึ่งพระสงฆ์จากชนบทจำนวนหนึ่งมาพักที่วัดเชตวัน เพื่อเข้าเฝ้าฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า เนื่องจากพระวินัยห้ามพระภิกษุนอนในที่เดียวกันกับผู้ที่ไม่ใช่พระภิกษุ สามเณรราหุลไม่มีที่นอน จึงต้องหลบไปนอนในห้องส้วมของพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ไปพบเข้ากลางดึกจึงนำท่านกลับมาพักที่พระคันธกุฎีของพระองค์ และทรงลดหย่อนผ่อนปรนสิกขาบทข้อที่ว่า ห้ามพระภิกษุนอนในที่มุงบังเดียวกันกับผู้ที่ไม่ใช่พระภิกษุเกินหนึ่งคืน โดยทรงขยายเวลาออกไปเป็น ๓ คืน และพระพุทธเจ้าได้ให้โอวาทแก่สามเณรราหุล ให้เห็นโทษของการพูดเท็จ โดยพระองค์ทรงนำน้ำมาเป็นตัวอย่าง
พระองค์ทรงยกภาชนะสำหรับใส่น้ำล้างพระบาทขึ้น เทน้ำลงนิดหนึ่งแล้วตรัสถามว่า “เห็นน้ำที่เราเทลงนิดหนึ่งนี้ไหม ราหุล” สามเณรราหุลกราบทูลว่า “เห็นพระเจ้าข้า”
“ราหุล คนที่พูดเท็จทั้ง ๆ ที่รู้ ก็คือคนที่เทคุณความดีออกจากตนทีละนิด เหมือนเทน้ำออกจากภาชนะนี้”
ครั้นแล้วพระองค์ก็เทน้ำจนหมด แล้วตรัสถามอีกว่า “เห็นน้ำที่เราเทออกหมดนี้ไหม ราหุล”
สามเณรราหุลกราบทูลว่า “เห็นพระเจ้าข้า”
“ราหุล คนที่พูดเท็จทั้ง ๆ ที่รู้ ย่อมเทคุณความดีออกหมด เหมือนน้ำที่เราเทออกหมดนี้”
เสร็จแล้วทรงคว่ำภาชนะลง ตรัสว่า “ราหุล เห็นไหมภาชนะที่เราคว่ำลงนี้”
“เห็นพระเจ้าข้า” ราหุลกราบทูลพระพุทธเจ้า
“ราหุล คนที่พูดเท็จทั้งๆ ที่รู้ ย่อมคว่ำคุณธรรมของตนออกหมด เหมือนภาชนะคว่ำนี้” เสร็จแล้วทรงหงายภาชนะเปล่าขึ้น แล้วตรัสถามว่า “ราหุล เห็นไหม ภาชนะเปล่าที่เราหงายขึ้นนี้ ไม่มีน้ำเหลือเลย” “เห็นพระเจ้าข้า” “ราหุล คนที่พูดเท็จทั้ง ๆ ที่รู้ ย่อมไม่มีคุณความดีเหลืออยู่เลย ดุจภาชนะเปล่านี้”
สามเณรราหุลเป็นผู้กตัญญูรู้คุณยิ่ง
ครั้งหนึ่งสามเณรทราบว่า พระมารดาที่ออกบวชเป็นนางภิกษุณีประชวรโรคลม จะสงบระงับได้ด้วยการเสวยน้ำมะม่วงผสมน้ำตาลกรวด จึงรับอาสาหามาถวาย เข้าไปแจ้งพระสารีบุตร รุ่งเช้าพระสารีบุตรเข้าเฝ้าพระเจ้าปเสนทิโกศล โดยให้สามเณรรอที่โรงฉันแห่งหนึ่ง ก็ได้ตามความประสงค์โดยที่ไม่ต้องเอ่ยปากขอ
สามเณรราหุลมีความเคารพและความกตัญญูต่อพระสารีบุตร ผู้เป็นพระอุปัชฌาย์มาก นอกจากท่านจะถือมารดาพระสารีบุตรเหมือนญาติผู้ใหญ่ โดยเรียกขานโยมมารดาของพระสารีบุตรว่า โยมย่า แล้ว เมื่อทราบว่า พระสารีบุตร องค์อุปัชฌาย์อยู่ทางทิศไหน ท่านก็จะนอนหันศีรษะไปทางทิศนั้นด้วย
ในพรรษาที่ ๕ หลังการตรัสรู้ของพระพุทธองค์ วันหนึ่งพระเจ้าสุทโธทนมหาราช ประชวรหนัก ทรงปวดตลอดพระวรกาย จึงทรงระลึกถึงพระราชโอรส และพระราชนัดดา
ขณะพระบรมศาสดา นำพระนันทะ พระอานนท์ ตลอดจน พระอรหันต์ ๕๐๐ รูป เสด็จกลับกรุงกบิลพัสดุ์ สามเณรราหุลก็ได้ตามเสด็จด้วย พระพุทธเจ้าทรงลูบพระศิระเกล้า พระนันทะลูบพระสรีระกายข้างขวา พระอานนท์ลูบพระสรีระกายข้างซ้าย ส่วนสามเณรราหุลลูบพระปฤษฎางค์ เมื่อพระโรคาพาธทั้งปวงระงับสิ้น พระพุทธองค์จึงตรัสอนิจจาทิสังยุตต์ตลอดคืนโปรดพระพุทธบิดา จนบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์*
*”พระอรหันต์” นั้นหมายถึง ไม่มีอัตตาตัวตนอีกต่อไป เป็นผู้ไกลจากกิเลสโดยสิ้นเชิง กำจัดกิเลสได้หมดสิ้นไปจากใจ ลาออกจากสังสารวัฏแล้ว คือ ไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป เรียกว่า เรียนจบหลักสูตรชีวิตที่พระพุทธเจ้าค้นพบเพื่อไม่ต้องกลับมาทุกข์อีกอนันตกาล และเมื่อยังไม่ละสังขารก็อาศัยกายและใจที่หมดจด สะอาด สว่าง สงบ คอยบอกทาง แนะทางออกจากทุกข์ในสังสารวัฏตามรอยองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้มนุษย์ไปสู่ความพ้นทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิง
เมื่อสามเณรราหุลมีอายุได้ ๒๐ ปี ได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าพลางพิจารณาตามพลาง เมื่อจบพระธรรมเทศนาท่านก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์
และจุดเริ่มต้นของโครงการบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อน “ศากยพุทธบุตร” รุ่นที่ ๑ ถวายเป็นพระราชกุศล สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ณ พุทธสถานฮ่องธรรม จังหวัดศรีสะเกษ ก็เพื่อ การเรียนรู้เพื่อเพิ่มทักษะแห่งการใช้ชีวิตในกระแสของความสงบ
คือจุดเริ่มต้นที่ดีคือการ ควบคุมจิตใจของตนเองให้เป็นกุศล ไม่เบียดเบียนใคร ไม่คิดห่มเหงใคร และสิ่งสำคัญ ไม่ลดทอนความตั้งใจของใคร ตั้งมั่นในความเพียร สิ่งเหล่านี้เรียกว่า
“สร้างบุญ สร้างบารมี ฮ่มธรรม ฮ่องคำอิสาน”
—————
โครงการบรรพชาสามเณรพุทธศากยบุตร
“ฮ่องธรรม ฮ่องคำอิสาน”
“ฝึกฝนกาย พัฒนาจิตใจ สร้างบุญบารมี”
โครงการบรรพชาสามเณรฤดูร้อน
๓๑ มีนาคม – ๑๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
ณ พุทธสถานฮ่องธรรม ตำบลทุ่งไชย อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ
ติดต่อสอบถามได้ที่ พระมหาติ่ง มหิสฺสโร,ดร. ๐๘๓-๗๒๙-๘๒๙๗
ประธานสงฆ์ และ ประธานมูลนิธิ บุญพระศาสนาสงเคราะห์ จังหวัดศรีสะเกษ