หากเราจะอาศัยวันนี้ เป็นวันแรกของการเข้าสู่กรรมฐานในการฝึกตนเพื่อลดเดินทางในสังสารวัฏให้สั้นลง มีจุดสิ้นสุดแน่นอน  “มรณานุสติ” ก็จะเป็นดั่งกัลยาณมิตรที่ซื่อสัตย์ที่พร้อมจะเคียงข้างเราไปตราบจนลมหายใจสุดท้ายมาเยือนอย่างไม่หวั่นไหว…    

วันนี้วันพระ

วันพฤหัสบดีที่ ๓ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๔ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๗ เป็นอีกหนึ่งวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา คือ วันอัฏฐมีบูชา เป็นวันที่ตรงกับวันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  

หลังจากที่พระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานใต้ต้นสาละ  ในคืนวันพระจันทร์เต็มดวง ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ได้ ๘ วัน ในปีพุทธศักราช ๑ หรือประมาณสองพันห้าร้อยหกสิบห้าปีก่อน (โดยในประเทศไทยจะนับพุทธศักราชแรกหลังจากพุทธปรินิพานไป ๑ ปี )  ก็มีการทำพิธี ณ มกุฏพันธนเจดีย์  เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ ประเทศอินเดีย

นอกจากนั้น วันนี้ยังเป็นวันคล้ายวันที่พระนางสิริมหามายา  พระพุทธมารดาของพระพุทธเจ้าสิ้นพระชนม์  หลังประสูติเจ้าชายสิทธัตถะได้ ๗ วัน และยังเป็นวันคล้ายวันที่พระพุทธองค์เสวยวิมุตติสุขตลอด ๗ วัน หลังการตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ อีกด้วย

มาถึงพุทธศักราช ๒๕๖๔ ในยุคโควิด – ๑๙ ระบาดไปทั่วโลก  ชีวิตของเราทุกวันนี้ ไม่ต่างจากสมัยพุทธกาล และในสมัยก่อนๆ สักเท่าใดนัก  ที่จะต้องประสบกับภัยพิบัติทุกรูปแบบอันคาดไม่ถึง หากเราน้อมจิตระลึกถึงความตายว่าไม่ช้าก็เร็ว  เราก็จะกลายเป็นเถ้ากระดูกอย่างแน่นอน ไม่มีใครหลีกหนีความตายไปได้ จิตใจเราก็จะเบาสบาย ไม่อาลัยในสังขารมากมายนัก หากทว่า เราจะมีสติระลึกรู้ความตายด้วยปัญญาแห่งการปล่อยวางได้อย่างไร  

วันอัฏฐมีบูชา เป็นอีกหนึ่งวันที่จะทำให้เราใคร่ครวญความเป็นมา และหากคิดว่า อริยสัจสี่ที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบนั้นเป็นประโยชน์กับชีวิตของเราจริงๆ ก็เริ่มต้นที่จะให้วันนี้เป็นวันแรกแห่งการเข้าสู่เส้นทางของการหลุดพ้นในสังสารวัฏ คืออริยมรรคมีองค์ ๘ อันมีสัมมาทิฏฐิเป็นเบื้องต้น ก็จักเป็นอนุสติแห่งสัจธรรมความจริงที่จะเตือนใจมิให้ประมาทในวันคืนล่วงไปๆ ได้อย่างดี   

มหาปรินิพพานวิหาร ภายในสาลวโนทยาน หรือป่าไม้สาละ ที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน ในเมืองกุสินารา แคว้นมัลละ  สาธารณรัฐอินเดีย : ขอขอบคุณ ภาพถ่ายจากโครงการ นวกะโพธิ รุ่นที่ ๖ สถาบันพัฒนาพระวิทยากร สำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมและความมั่นคงแห่งสถาบันชาติ พระศาสนา พระมหากษัตริย์ วัดสระเกศ

เพราะภัยพิบัติจากโรคร้ายไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นในวันนี้  หากมองย้อนประวัติศาสตร์ไปราวร้อยปีที่แล้ว  ชาวโลกก็ได้พบกับการระบาดไปทั่วโลกของไข้หวัดใหญ่ หรือที่เรียกกันว่า “ไข้หวัดสเปน”  ในปี ค.ศ. ๑๙๑๘- ค.ศ.๑๙๒๐ ( ราวปี พ.ศ.๒๔๖๒ – พ.ศ.๒๔๖๓ ) ซึ่งทำให้ผู้เสียชีวิตมากผิดปกติ และทำให้มีผู้ได้รับผลกระทบราว ๕๐๐ ล้านคนทั่วโลก  

*และหากย้อนไปไกลกว่านั้น ในสมัยพุทธกาล  อินเดียก็พบกับภัยพิบัติอย่างร้ายแรงสามประการมาแล้วเช่นกันที่เกิดกับชาวกรุงเวสาลี  คือ ๑. ข้าวยากหมากแพง (ทุพภิกภัย) ๒. ภูตผีปีศาจทำร้าย (อมนุสสภัย) และ ๓. เกิดโรคระบาดคร่าชีวิตคน (โรคภัยไข้เจ็บ)

ในครั้งนั้น  พระพุทธองค์ทรงแนะ “รัตนสูตร” ให้พระอานนท์เรียนกับพระองค์อย่างเร่งด่วน  ซึ่งเนื้อความในรัตนสูตร เป็นการน้อมรำลึกถึงคุณของพระรัตนตรัย คือ พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะ  ประกอบกับการทำ “สัจกริยา” เพื่อให้เกิดเป็นอานุภาพขจัดปัดเป่าภัยพิบัติทั้งหลาย

เมื่อพระอานนท์เรียนจบหลักสูตรเร่งด่วนจากพระพุทธเจ้าขณะประทับยืนที่หน้าประตูพระนครเวสาลีแล้ว พระอานนท์ก็เอาน้ำใส่บาตรของพระพุทธองค์เดินสวดรัตนสูตรพลางประพรมน้ำพระพุทธมนต์ไปทั่วพระนคร  (และนั่นคือจุดกำเนิดในการประพรมน้ำมนต์เป็นครั้งแรกในสมัยพุทธกาล)

พอพระอานนท์เถระขึ้นบท “ยังกิญจิ  วิตตัง ฯลฯ” พวกอมนุษย์ที่ยังไม่หนีไปไหนตั้งแต่แรกที่พระพุทธองค์เสด็จมา ได้แอบอยู่ตามที่ต่างๆ ก็ทนไม่ไหว  ชิงกันหนีออกทางประตูเมืองทั้ง ๔ ประตู  แน่นยัดเยียด บางพวกทนรอออกทางประตูไม่ไหว  ช่วยกันพังกำแพงเมืองหนีกระเจิงไปหมดสิ้น  พอพวกอมนุษย์ออกไป โรคในตัวมนุษย์ก็หาย (จากหนังสือ “พุทธานุภาพ : อานุภาพของพระพุทธองค์ เขียนโดย พระครูปลัดสุวัฒนธีรคุณ (เทอด ญาณวชิโร)

แต่ถึงที่สุดแล้ว มนุษย์เราและทุกชีวิตก็ไม่อาจหลีกหนีความตายไปได้ตามวาระของแต่ละคน  ไม่เว้นแม้แต่พระพุทธเจ้าผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐแก่มนุษยชาติมากว่าสองพันหกร้อยกว่าปี  พระองค์ทรงไม่หลีกหนีความตาย  หากแต่ความตาย คือหนึ่งในยมทูตทั้งสี่ ( เกิด แก่ เจ็บ และตาย) ที่พระพุทธเจ้าเมื่อครั้งยังเป็นเจ้าชายสิทธัตถะทรงท่องเที่ยวนอกเวียงวังและทรงพิจารณาเห็นว่า  ชีวิตทุกคนต้องพบกับสิ่งนี้หรือ  เกิด แก่ เจ็บ และตาย  แล้วพระองค์จะเอาชนะสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร

ยมทูตทั้งสี่ จึงมีคุณูปการยิ่งนักที่ทำให้พระองค์แสวงหาโมกขธรรมจนหลุดพ้นจากการเกิด แก่ เจ็บและตายได้ในที่สุด  โดยการเกิดครั้งนั้นเป็นครั้งสุดท้าย และพระองค์ก็ไม่กลับมาเกิดอีก  แล้วพระองค์ยังทรงมีพระเมตตาต่อชาวโลกมหาศาล โดยการฝากหลักธรรมสำคัญ คือ “อริยสัจสี่” ที่ช่วยให้มนุษยชาติรอดจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เช่นเดียวกับพระองค์ได้  หากบำเพ็ญเพียรตบะขัดเกลากิเลสบนหนทางอริยมรรคมีองค์ ๘ จนกว่าจะดวงจิตจะเกลี้ยงเกลาจากกิเลสทั้งปวง

“มรณานุสติ”  จึงเป็นหนึ่งในกรรมฐานสำคัญยิ่งที่จะทำให้หลุดพ้นจากความทุกข์ได้  หากเราปล่อยวางในกองสังขารเป็น  มีสัมมาทิฏฐิในการมองเห็นสัจธรรมตามความเป็นจริงว่าชีวิตเราล้วนอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา (ไม่มีตัวตนที่จะยึดไว้ได้) โดยจุดเริ่มต้นของการเจริญภาวนา “มรณานุสติ” นั้น พระพุทธเจ้าทรงปุจฉา-วิสัชนากับพระอานนท์จนเห็นว่าจะต้องระลึกถึง “ความตาย” ทุกลมหายใจเข้า-ออกเลยทีเดียว จึงจะหลุดพ้นจากความตายในครั้งสุดท้ายของสังสารวัฏตามรอยพระพุทธเจ้าไปได้

มหาปรินิพพานวิหาร ภายในสาลวโนทยาน หรือป่าไม้สาละ ที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน ในเมืองกุสินารา แคว้นมัลละ  สาธารณรัฐอินเดีย : ขอขอบคุณ ภาพถ่ายจากโครงการ นวกะโพธิ รุ่นที่ ๖ สถาบันพัฒนาพระวิทยากร สำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมและความมั่นคงแห่งสถาบันชาติ พระศาสนา พระมหากษัตริย์ วัดสระเกศ

ดังนั้น เมื่อระลึกถึงวันอัฏฐมีบูชา แล้วเราระลึกถึงมรณานุสติไปด้วย ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร กลับเป็นการดีเยี่ยมที่จะทำให้เราใกล้ชิดกับสัจธรรมมากขั้น และนั่นหมายความว่า เราก็จะใกล้ชิดพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์ คือ ใกล้ชิดพระรัตนตรัยไปด้วยพร้อมๆ กัน จิตที่หวั่นไหวง่ายกับอะไรมากมายที่มากระทบก็จะมั่นคงขึ้นๆ จนในที่สุดก็จะไม่มีอะไรที่ทำให้จิตเราหวั่นไหวได้อีกต่อไป แม้แต่ความตาย

และหากเราจะอาศัยวันนี้ เป็นวันแรกของการเข้าสู่กรรมฐานในการฝึกตนเพื่อเดินทางไกลในในสังสารวัฏ อันมีจุดสิ้นสุดแน่นอน  มรณานุสติ ก็จะเป็นดั่งกัลยาณมิตรที่ซื่อสัตย์ที่พร้อมจะเคียงข้างเราไปตราบจนลมหายใจสุดท้ายมาเยือนอย่างไม่หวั่นไหว…    

นอกจากนี้ เรายังได้ข้อคิดเรื่อง “ขันติและสามัคคีธรรม” เพื่อนำมาฝึกตน จากการศึกษาพุทธประวัติ “วันอัฏฐมีบูชา” อีกด้วย

ชวนเรียนรู้ความเป็นมา วันสำคัญในพระพุทธศาสนาด้วยหัวใจ…

ในพุทธประวัติเล่าว่า ในกาลนั้น เจ้ามัลลกษัตริย์ ได้จัดพิธีบูชาด้วยของหอม ดอกไม้ และเครื่องดนตรีทุกชนิด ที่มีอยู่ในเมืองกุสินาราตลอด ๗ วันเพื่อจัดเตรียมถวายพระเพลิงในวันแรม ๘ ค่ำเดือน ๖ ในสัปดาห์ต่อมาหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพาน โดยให้เจ้ามัลละระดับหัวหน้า ๘ คน สรงเกล้า นุ่งห่มผ้าใหม่ อัญเชิญพระสรีระไปทางทิศตะวันออกของพระนคร เพื่อถวายพระเพลิง

จากนั้น ก็ให้เจ้ามัลละระดับหัวหน้า ๔ คน พยายามจุดไฟที่เชิงตะกอน แต่ก็ไม่อาจทำให้ไฟติดได้ ทั้งที่ได้ทำตามคำของพระอานนท์เถระ ที่ให้ห่อพระสรีระพระพุทธเจ้าด้วยผ้าใหม่แล้วซับด้วยสำลี แล้วใช้ผ้าใหม่ห่อทับอีก ทำเช่นนี้จนหมดผ้า ๕๐๐ คู่ แล้วเชิญลงในรางเหล็กที่เติมด้วยน้ำมัน แล้วทำจิตกาธานด้วยดอกไม้จันทน์ และของหอมทุกชนิด

ในการนี้ พระอนุรุทธะ จึงแจ้งว่า “เพราะเทวดามีความประสงค์ให้รอพระมหากัสสปะ และภิกษุหมู่ใหญ่ ๕๐๐ รูป ผู้กำลังเดินทางมาเพื่อถวายบังคมพระบาทเสียก่อน ไฟก็จะลุกไหม้หลังจากนั้น ”

เนื่องจากเทวดากลุ่มนี้ เคยเป็นโยมอุปัฏฐากของพระเถระ และพระสาวกผู้ใหญ่มาก่อน จึงไม่ยินดีที่ไม่เห็นพระมหากัสสปะอยู่ในพิธี และเมื่อภิกษุหมู่ ๕๐๐ รูป โดยมีพระมหากัสสปะเป็นประธานเดินทางมาพร้อมกัน ณ ที่ถวายพระเพลิง แล้ว ไฟจึงลุกโชนขึ้นเองโดยไม่ต้องมีใครจุด

หลังจากที่ไฟเผาไหม้พระพุทธสรีระพระบรมศาสดาดับมอดลงแล้ว บรรดากษัตริย์มัลละทั้งหลายจึงได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุทั้งหมด ใส่ลงในหีบทองคำแล้วนำไปรักษาไว้ภายในนครกุสินารา ส่วนเครื่องบริขารต่าง ๆ ของพระพุทธเจ้าได้มีการอัญเชิญไปประดิษฐานตามที่ต่าง ๆ อาทิ

ผ้าไตรจีวร อัญเชิญไปประดิษฐานที่แคว้นคันธาระ

บาตร อัญเชิญไปประดิษฐานที่เมืองปาฏลีบุตร เป็นต้น

และเมื่อบรรดากษัตริย์จากแคว้นต่าง ๆ ได้ทราบว่าพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานที่นครกุสินารา จึงได้ส่งตัวแทนไปขอแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ เพื่อนำกลับมาสักการะยังแคว้นของตน แต่ก็ถูกกษัตริย์มัลละปฏิเสธ จึงทำให้ทั้งสองฝ่ายขัดแย้งและเตรียมทำสงครามกัน แต่ในสุดเหตุการณ์ก็มิได้บานปลาย เนื่องจาก “โทณพราหมณ์” ผู้เป็นบัณฑิต เป็นทิศาปาโมกข์อาจารย์ สอนไตรเภทแก่กษัตริย์ทั้งหลาย  ได้เข้ามาเป็นตัวกลางเจรจาไกล่เกลี่ย เพื่อยุติความขัดแย้งโดยประกาศว่า

ขอขอบคุณภาพ นวกะโพธิ รุ่นที่ ๗ โดยสถาบันพระวิทยากร วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร

“ข้าแต่ท่านผู้เป็นจอมเหนือเศียรเกล้าแห่งประชาราษฎร์ทั้งหลาย แท้จริงทุก ๆ ท่าน ก็มิใช่สักการะ เคารพ บูชา พระผู้มีพระภาคเจ้า โดยฐานที่พระองค์เป็นกษัตริย์ที่สูงโดยชาติ หรือสูงโดยเกียรติ ยศ ศักดิ์ และทรัพย์สมบัติแต่ประการใดเลย แต่เราทั้งหลายสักการะ เคารพบูชา พระผู้มีพระภาคเจ้า โดยธรรม ด้วยความเชื่อถือในธรรม ที่พระองค์ทรงประทานไว้ทั่วกัน ก็ธรรมทั้งหลายที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทานไว้นั้น

พระองค์ทรงสรรเสริญขันติ ความอดทน อหิงสา ความไม่เบียดเบียน

และสามัคคีความพร้อมเพรียงกัน

อันเป็นธรรมทรงคุณค่าอันสูง ควรที่คนทั้งหลายจะพึงปฏิบัติทั่วกัน

“เมื่อเป็นดังนั้นแล้ว เหตุอันใดเล่า เราจะพึงวิวาทกัน…ข้อนั้น ไม่เป็นการสมควรเลย เพราะฉะนั้น ขอท่านทั้งหลาย จงสามัคคีปรองดองกันเถิด ขอทุกท่านจงมีส่วนได้พระบรมสารีริกธาตุ ของพระผู้มีพระภาคเจ้าอัญเชิญไปสักการะจงทั่วกันเถิด ขอพระบรมสารีริกธาตุที่เคารพบูชาอันสูง จงแพร่หลายออกไปยังพระนครต่าง ๆ เพื่อเป็นที่สักการะ เคารพ บูชาของมหาชนทั้งปวงเถิด”

เมื่อโทณพราหมณ์ได้สดับ คำยินยอมพร้อมเพรียงของกษัตริย์ทั้งปวงเช่นนั้น ก็ให้เปิดประตูเมืองกุสินารา อัญเชิญกษัตริย์ทั้งปวงเข้ามาในภายใน แล้วให้อัญเชิญไปประชุม ณ ที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุให้กษัตริย์ทั้งปวงพร้อมกันถวายอภิวาทสมตามมโนรถ

ขณะนั้น พระบรมสารีริกธาตุ อันทรงพรรณพิลาศงามโอภาสด้วยรัศมี ซึ่งปรากฏอยู่ในพระหีบทอง เฉพาะพระพักตร์ ได้เตือนพระหฤทัยกษัตริย์ทั้งปวง ให้ระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระผู้มีพระภาค กษัตริย์ทั้งปวงจึงได้ทรงกรรแสงปริเทวนาการต่าง ๆ ครั้งนั้น โทณพราหมณ์เห็นกษัตริย์ทั้งหลายมัวแต่โศกศัลย์รันทดอยู่เช่นนั้น จึงได้หยิบพระทันตธาตุ คือ พระเขี้ยวแก้วขึ้นซ่อนไว้ในมวยผม แล้วจัดการตักตวงพระบรมสารีริกธาตุด้วยทะนานทอง ถวายกษัตริย์ทั้ง ๘ พระนคร ซึ่งประทับอยู่ ณ ที่นั้น ได้พระนครละ ๒ ทะนานเท่า ๆ กันพอดี รวมพระบรมธาตุทั้งสิ้นเป็น ๑๖ ทะนานด้วยกัน

ขณะที่โทณพราหมณ์กำลังตักตวงพระบรมธาตุถวายกษัตริย์ทั้งหลายอยู่นั้น ท้าวสักกะอมรินเทวราช ทราบด้วยทิพย์จักษุว่า โทณพราหมณ์ลอบหยิบเอาพระทันตธาตุเบื้องขวา หรือ พระเขี้ยวแก้วซ่อนไว้ในมวยผม (หรือ ผ้าโพกศีรษะ)  จึงทรงดำริว่า

“กำลังโทณพราหมณ์ ไม่สามารถจะทำที่สักการบูชาเชิดชูพระบรมธาตุนั้นให้สมเกียรติอันสูงได้ สมควรจะเอาไปประดิษฐานไว้ยังเทวโลก ให้เทวดาและพรหมทั้งหลายสักการบูชาเถิด”

ครั้นดำริแล้วก็แฝงพระกายลงมาหยิบเอาพระทันตธาตุ เชิญลงสู่พระโกษทองน้อย ยกขึ้นทูลพระเศียรเกล้า อัญเชิญไปบรรจุไว้ที่ พระจุฬามณีเจดีย์ ณ สุราลัยเทวสถาน

( ในคัมภีร์สุมังคลวิลาสินียังระบุอีกว่า เหตุที่ท้าวสักกะมาหยิบพระทันตธาตุจากผ้าโพกผมของโทณพราหมณ์ไปนั้น ทรงมีพระดำริว่าพระเขี้ยวแก้วเบื้องขวานั้นเป็นปัจจัยแห่งการตรัสสอนอริยสัจ ๔ เพื่อตัดความสงสัยของบรรดาสัตว์โลก จึงทรงนำพระทันตธาตุจากผ้าโพก บรรจุไว้ในผอบทองคำ นำไปประดิษฐาน ณ พระจุฬามณีเจดีย์)

ส่วนในปรมัตถทีปนีกล่าวต่อมาว่า ท้าวสักกะศรัทธาพระเจดีย์องค์นี้อย่างมาก มักจะเสด็จบูชาเนืองๆ…

ฟัน จึงเป็นหนึ่งในมูลกรรมฐาน ๕ คือ  

ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง (เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ)

ที่พระพุทธเจ้าอนุญาตให้พระอุปัชฌาย์ใช้สอนพระบวชใหม่ให้พิจารณาเนืองๆ

หรือให้บริกรรมกลับไปกลับมา เพื่อให้จิตเพ่งอยู่กับคำบริกรรมข้างต้น เมื่อจิตผูกอยู่กับคำบริกรรมเป็นกระแสไม่ขาดสาย เรียกว่า วสี จิตก็ตัดความฟุ้งซ่านไปตามความคิดต่างๆ นานา ทำให้จิตมีที่อยู่อาศัย คือ มีสติอยู่กับกายนี้ พระพุทธเจ้าก็ให้พิจารณากายคตาสติในสติปัฏฐานสี่ ในหมวดกายให้เห็นกายในกาย เห็นกายเป็นอสุภกรรมฐานตั้งแต่ปลายผมลงไปจนถึงปลายเท้า และจากปลายเท้าขึ้นมาจนถึงศีรษะ มีหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบ เป็นสิ่งปฏิกูลทั้งสิ้น ไม่มีอะไรน่าเอาน่าเป็นเลยสักอย่างเดียว (จากหนังสือ “ลูกผู้ชายต้องบวช” โดย ญาณวชิระ : พระราชกิจจาภรณ์ (เทอด ญาณวชิโร) )

วันนี้จึงเป็นวันที่ควรรำลึกถึงพระพุทธคุณ ๓ ประการ คือ

ระปัญญาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระกรุณาธิคุณ

เป็นพุทธานุสสติ ธรรมานุสติและสังฆานุสติ ให้เราได้ตระหนักรู้ถึงวันเวลาที่เหลืออยู่จะทำสิ่งใดจึงจะเกิดประโยชน์สูงสุดกับชีวิตตนและเกื้อกูลผู้อื่นตามรอยบาทพระศาสดา

ดังที่พระบรมสารีริกธาตุของพระองค์ได้สอนธรรมอย่างเอกอุ หลังจากที่ไฟเผาไหม้พระพุทธสรีระพระบรมศาสดาดับมอดลงในวันนั้น

ขันติธรรมและสามัคคีธรรม นี้เองเป็นบรมธรรมอันยิ่งใหญ่ที่พระองค์ทรงสรรเสริญและปรารถนาให้ผู้คนได้ตระหนักถึงความอดทนทวนกระแสกิเลสในการฝึกตน ขณะเดียวกันก็ให้มีความสามัคคีในหมู่สงฆ์ ในสาราณียธรรม ๖ ประการ  เพื่อก้าวพ้นความทุกข์นานัปการ โดยมีสังฆะที่เกื้อกูลกันด้วยความรักและความเมตตา

ดังพุทธภาษิตว่า กัลยาณมิตรเป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์ฺ

หมายเหตุ : DHAMMA NOTE

สาราณียธรรม ๖ ประการ หมายถึง ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความระลึกถึงกัน ถือว่าเป็นธรรมที่เป็นพลังในการสร้างความสามัคคี มีอยู่ ๖ ข้อ ดังนี้

๑.  กายกรรม อันประกอบด้วยเมตตา คือ การกระทำทางกายที่ประกอบด้วยเมตตา เช่นการให้การอนุเคราะห์ช่วยเหลือและเอื้อเฟื้อต่อผู้อื่น ไม่รังแกทำร้ายผู้อื่น 

๒.  วจีกรรม  อันประกอบด้วยเมตตา คือ การมีวาจาที่ดี สุภาพ อ่อนหวาน พูดมีเหตุผล ไม่พูดให้ร้ายผู้อื่นทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน 

๓.  มโนกรรมอัน ประกอบด้วยเมตตา คือ ความคิดที่ประกอบด้วยเมตตาทั้งต่อหน้าและลับหลัง เป็นการคิดดีต่อกันไม่คิดอิจฉาริษยาหรือไม่คิดมุ่งร้ายพยาบาท หากทุกคนคิดแล้วปฏิบัติเหมือนกันความสามัคคีก็จะเกิดขึ้นในสังคม 

๔.  สาธารณโภคี คือ การรู้จักแบ่งสิ่งของให้กันและกันตามโอกาสอันควร เพื่อแสดงความรักความหวังดีของผู้ที่อยู่ในสังคมเดียวกัน 

๕.  สีลสามัญญตา คือ ความรักใคร่สามัคคี รักษาศีลอย่างเคร่งครัดเหมาะสมตามสถานะของตนมีความประพฤติสุจริตปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของหมู่คณะ ไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น 

๖.  ทิฏฐิสามัญญตา คือ การมีความเห็นร่วมกัน ไม่เห็นแก่ตัว รู้จักเคารพและรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นร่วมมือร่วมใจในการสร้างสรรค์สังคมให้เกิดความสงบ

ธรรม ๖ ประการ ที่ผู้ใดได้ประพฤติจะเกิดความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน  เกื้อกูลกันไม่ทะเลาะวิวาทกัน  อันจะเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความรักความสามัคคีกันตลอดไป    แม้แต่ฆราวาสก็นำมาปรับใช้ได้ในชีวิตประจำวัน ทั้งในครอบครัว กับเพื่อนฝูงและการทำงานเพื่อความรุ่งเรืองทั้งทางโลกและทางธรรม

กราบขอบพระคุณภาพถ่ายโดย พระอาจารย์พระมหาปฐมพงศ์ ญาาณวํโส จริยธรรมแชนแนล สำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และความมั่นคงแห่งสถาบันชาติ พระศาสนา พระมหากษัตริย์ วัดสระเกศ

ขอกราบขอบพระคุณภาพถ่ายที่งดงามจากสถาบันพระวิทยากร สำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และความมั่นคงแห่งสถาบันชาติ พระศาสนา พระมหากษัตริย์ วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร และข้อมูลเกี่ยวกับวันอัฏฐมีบูชาจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี และจากพระไตรปิฎก ที่ช่วยทำให้เห็นภาพรวมว่า พระพุทธองค์ทรงมีพระเมตตาต่อสรรพชีวิตเพียงใด ที่ทรงมอบหลักธรรมอันนำไปสู่ความพ้นทุกข์ใมสังสารวัฏได้จริง ด้วยการปฏิบัติที่จิตให้มีสติ สมาธิ และปัญญาอย่างมีทิศทางและเป้าหมายที่ชัดเจน

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here