“เราอย่ามัวแต่ถามหาความผิดทั้งของตนเองและคนอื่นมากจนเกินไป เพราะส่วนใหญ่สิ่งที่เราชี้ผิดชี้ถูกกันส่วนใหญ่มันมักจะเป็นแค่ค่านิยมตามสมัย ไม่ใช่อะไรที่เป็นแก่นสาร”
รู้” อะไรแท้ อะไรเทียมก็จะพบทางออก
โดย พระมหาประสิทธิ์ ญาณปฺปทีโป
มีคนมาสะท้อนให้ฟังว่า ได้ทบทวนตัวเองเหมือนอย่างที่ได้บอกไป แต่พบว่า มีเรื่องผิดหวังมากจนทำให้รู้สึกท้อแท้ใจ เหมือนสิ่งที่เคยพลาดมาตอกย้ำความผิดให้จิตพลอยรู้สึกตกต่ำลงไปอีก เป็นไปได้ไหมที่เราจะไม่คิดถึงอดีต ขอก้าวไปข้างหน้าต่อไปโดยที่ไม่สนใจว่า ที่ผ่านมาจะเป็นอย่างไรก็ตาม
ฟังแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ เพราะแท้จริง นั่นคือสิ่งที่เขาได้จากการทบทวน และค้นพบด้วยตนเองแล้วว่า อดีตไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากไปกว่าเป็นบทเรียน สิ่งสำคัญคือก้าวปัจจุบันต่างหากที่จะนำไปสู่อนาคต เพราะฉะนั้นแล้ว การทบทวนเพื่อการเรียนรู้ ไม่ใช่ว่าจะต้องได้อะไร แต่สิ่งที่เราได้นั่นแหละคือคำตอบ ไม่ว่ามันจะคืออะไรก็ตาม เพราะมันเป็นสิ่งที่เราได้ตระหนักรู้ด้วยตนเอง นั่นแหละคือเป้าหมายของการเรียนรู้ เมื่อไหร่ที่เกิดกระบวนการคิดด้วยตนเอง (cognitive) หรือภาษาพระเรียกว่า “โยนิโสมนสิการ” เมื่อคิดอย่างแยบคายจนค้นพบแล้วว่าจะไปอย่างไรต่อ ก็ถือว่าใช้ได้แล้ว
สิ่งที่ทำได้ก็คือ ให้กำลังใจ และขอให้ทำสิ่งที่ตั้งใจไว้ให้สำเร็จต่อไป
เราอย่ามัวแต่ถามหาความผิดทั้งของตนเองและคนอื่นมากจนเกินไป เพราะส่วนใหญ่สิ่งที่เราชี้ผิดชี้ถูกกันส่วนใหญ่มันมักจะเป็นแค่ค่านิยมตามสมัย ไม่ใช่อะไรที่เป็นแก่นสารแท้จริงสักเท่าไหร่ สิ่งที่เคยถูกไม่นานมันก็ผิด สิ่งที่เคยผิดก็อาจจะกลายเป็นความนิยมขึ้นมาก็ได้ ดูอย่างในโทรทัศน์ สมัยก่อนคำหลายๆ คำ ถือว่าเป็นคำหยาบพูดออกสื่อแม้เพียงพลาดก็อาจจะถูกสังคมประณามกันจนแทบจะตกงาน แต่มายุคนี้เรากลับได้ยินคำเหล่านั้นแทบจะทุกช่องทุกรายการ และบางทีเรื่องที่ด่าๆ กันในสื่อเมื่อดูแล้วก็ยังงงๆ ว่า เพื่ออะไร? บางทีเราอาจจะไม่ไปจับประเด็นที่ความถูกผิด เราลองมองด้วยหลักคุณค่าแท้คุณค่าเทียม
๑. คุณค่าแท้ ไม่ต้องมองว่าถูกหรือผิด แต่มองว่า คุณค่าแท้ของมันคืออะไร เช่น กระเป๋าหรู กับถุงผ้า คุณค่าของมันก็คือการใช้ใส่ของเท่าที่จำเป็น ต่อให้ราคาต่างกันแค่ไหนมันก็ใช้ใส่ของเหมือนกัน
๒. คุณค่าเทียม เมื่อเข้าใจคุณค่าแท้แล้วก็มองให้เห็นคุณค่าเทียม ซึ่งก็มีความจำเป็นเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าเทียมแล้วไม่ใส่ใจ เหมือนหีบห่อต่อให้สวยแค่ไหนก็ไม่สำคัญเท่าคุณภาพด้านใน แต่ว่าถ้าของดีแต่หีบห่อที่บรรจุเชยๆ คนก็อาจจะมองข้ามได้
๓. ทางออก คนส่วนใหญ่มักชี้ผิดหรือจี้ที่ปัญหา แต่น้อยคนจะมองปรากฏการณ์อย่างสร้างสรรค์ แล้วช่วยแนะทางออกด้วย ผู้เขียนโดนบ่อยมักจะมีคนมาช่วยชี้ที่ปัญหาจนบางครั้งต้องตอบกลับไปว่า “ปัญหาก็รู้แล้ว ทางออกล่ะอยู่ตรงไหน” แต่สิ่งที่สวนกลับมาคือ “ไม่ใช่ปัญหาของฉัน” เป็นงั้นไป
ดังนั้น เป็นบทสะท้อนว่า เวลาเรามองที่ปัญหามันง่ายมากที่จะชี้ช่องโหว่ และแนะว่า ทำไมไม่ทำแบบนั้นแบบนี้ และต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่พอหาอาสาคนช่วยทำกลับโบกมือบอกว่าไม่ใช่หน้าที่
ผู้เขียนก็เลยเก็บคำแนะนำเหล่านั้นไว้พิจารณาเอง ส่วนจะทำได้มากน้อยแค่ไหนก็ค่อยๆ เป็นไปตามเหตุปัจจัย เพราะบางครั้งทางออกมันมีอยู่แล้วเรา แค่ยังไปไม่ถึง มัวแต่ฟังคำคนข้างทางมากไปหน่อยเท่านั้นเอง
วิธีคิดในทางพระพุทธศาสนามีมาก อยากให้ลองฝึกใช้กันดู แต่ทั้งหมดนั้นก็เพื่อการศึกษาให้เราเข้าใจสัจจะ หรือความเป็นจริงของปรากฏการณ์ เท่านั้น ไม่ต้องไปเติมความถูกผิดให้กับมันมาก เรื่องบางเรื่องรู้แล้วก็วาง ใจของเราจึงจะว่างไม่วุ่นวายฟุ้งซ่าน โดยเฉพาะเรื่องของคนอื่น
เคยมีโยมศรัทธาซื้อรองเท้ามาถวายยี่ห้อดีสีดำ และวันถัดกันไปนั้นก็มีอีกท่านมาถวายของใช้ทั่วไปและในนั้นก็มีรองเท้าแตะสีดำด้วย ทั้งสองท่านก็ประสงค์ให้พระส่งรองเท้าของตัวเอง
วันที่ใส่รองเท้ายี่ห้อดัง ก็มีคนมาทักว่า “เดี๋ยวนี้หรูนะ ใส่ของแพงซะด้วย”
วันที่ใส่รองเท้าแตะธรรมดา ก็มีคนทักว่า “สมถะเกินไปไหม ดีกว่านี้ไม่มีใส่เหรอ”
ต้องมีคนเดาว่า ผู้เขียนจะถอดรองเท้าเดินแน่ๆ เลย
จริงๆ แล้ว ก็ใส่เท่าที่โอกาสจะอำนวยแค่นั้นแหละ ใส่ให้เหมาะสมกับพื้นที่การใช้งานและกาลเทศะ ไม่ได้ใส่ใจในคำพูดของคนอื่นมากนัก เพราะนี่มันเท้าของเราเอง คนอื่นอุตส่าห์ใส่ใจแค่นี้ก็ปลื้มแล้ว
เห็นไหมละว่า “รองเท้า” คุณค่าแท้ของมันก็แค่ รองเท้าใส่เวลาเดิน แต่คุณค่าเทียมของมันก็มีสีสันยี่ห้อและก็รูปแบบที่สร้างสรรค์จนน่าใส่ ส่วนทางออกเราก็ต้องพิจารณาด้วยตัวเองว่าจะใส่แบบไหน พระบางรูปใส่รองเท้าแตะแล้วรู้สึกสมถะ แต่บางรูปใส่ดีหน่อยเพื่อสุขภาพของเท้าเวลาเดินเมื่อใช้งาน ญาติโยมเองก็เช่นเดียวกัน รองเท้ามันเป็นแค่รองเท้าก็จริง แต่ถ้าเราเลือกใช้ให้เหมาะกับสุขลักษณะและการใช้งาน ถือเป็นเรื่องที่ดีแสดงว่าใช้ของอย่างมีสติปัญญา
ชีวิตเกาะติดกระแสก็เพื่อให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของสังคม แต่เราอย่าปล่อยให้ถูกกระแสพัดไปจนหวั่นไหวไขว้เขว ดำรงอยู่ให้ชีวิตเป็นไปได้อย่างปกติสุขในสังคม แต่ไม่ยึดติดจนปล่อยให้ตัวเองถูกเหลี่ยมเล่ห์ของสังคมทิ่มแทงเอาได้
เราเปลี่ยนสถานการณ์ไม่ได้ ก็พิจารณาดูว่าอันไหนคือคุณค่าแท้ คุณค่าเทียม และทางออกที่เหมาะสม อันไหนจะสร้างสรรค์มากกว่ากัน
ถ้ายังไม่พบทางออกที่ดีที่สุด ก็ออกทางที่มันออกได้ขณะนั้นก่อนก็แล้วกัน