“จิตตภาวนา” รักษาชีวิต

       บทความที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้ เขียนออกจากกายกับใจของผู้เขียน อารมณ์ของผู้เขียนก็ประหนึ่งว่ากำลังนั่งสอนกรรมฐานอยู่  อารมณ์ของผู้อ่านก็จะเป็นในอารมณ์ผู้เรียนกรรมฐานที่เรียกว่า  “จิตตานุปัสสนา” หรือ การ“ดูจิตในจิต” ไปตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ ยิ่งดูจิตจนเห็นสภาวะของจิตปัจจุบันได้ตรงตามความจริงเท่าไหร่ สภาพจิตก็พัฒนาไปสู่ความผ่องใส ฉะนั้น

ตัวหนังสือที่บอกเรื่องราวทั้งหมดก็เป็นเพียงเครื่องมือเจาะสภาวธรรมของผู้อ่านเท่านั้นการอ่านหนังสือก็เสมือนกำลังฝึกกรรมฐานให้ตัวเอง เพราะผู้เขียนเขียนขึ้นจากอารมณ์กรรมฐานล้วนๆ ด้วยการใช้จิตตัวรู้ดูสภาพจิตของตัวเอง ให้มองเห็นกิริยา และสภาวธรรมของจิตตัวเองที่ยังอาจไม่เคยสังเกตได้ด้วยตัวเองมาก่อน

เพราะจิตตัวรู้กิริยาของจิต ก็คือตัวปัญญา ฝึกดูจิตในจิตก็ฝึกเพิ่มพลังสติ  เพราะรู้อะไรไม่สู้รู้ใจตัวเอง ชนะอะไรก็ไม่น่าภูมิใจเท่ากับเอาชนะใจตนเอง 

ผู้เขียนเคยมีผลงานเขียนเมื่อปีพ.ศ. ๒๕๕๖ เรื่อง “ฝึกจิต ชีวิตเปลี่ยน” ซึ่งเขียนจากประสบการณ์ของตัวเอง ที่ผู้เขียนพยายามอย่างยิ่งยวดในการเยียวยาตัวเอง จากโรคซึมเศร้า จนสภาพจิตดีขึ้นมาก เพราะผู้เขียนเฝ้าสังเกตดูจิตใจจิตของตัวเองตลอดเวลา และผู้เขียนก็ไม่รู้สึกอับอายที่จะบอกเรื่องร้าวร้ายๆ ที่เคยเผชิญมาด้วยความไร้ประสบการณของผู้เขียนเอง ผู้เขียนตระหนักว่าถ้าเรายอมรับมันด้วยความกล้าหาญและหนักแน่นเพื่อรักษา ทุกๆ อย่างก็แก้ไขได้ ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ในโลกนี้

เหตุเพราะก่อนเข้าร่มกาสาวพัสตร์ ผู้เขียนมีความจำเป็นที่จะต้องใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงตัวคนเดียวเป็นระยะเวลานานหลายปี  การเช่าห้องอยู่คนเดียวจนได้ทำงาน ก็ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ตัวคนเดียว อยู่คนเดียวนานๆ เข้า จิตก็การเปลี่ยนแปลงไปโดยไม่รู้ตัว เกิดความกลัว ความเหงา หดหู่ ฟุ้งซ่านต่างๆ

ผู้เขียนผจญกับความรู้สึกเลวร้ายนี้หลายปี จนจิตตกจนคิดไปต่างๆ นานา ตามอารมณ์อกุศลที่เข้าสิงจิต ทำให้จิตฝ่ายกุศลค่อยหมดพลัง จึงได้ช่องมารทั้งหลายเข้าสิงจิตหลายๆ ปีเข้าถึงขั้นที่ไม่อยากออกไปเผชิญโลกภายนอก ถามว่าตอนนั้นเคยคิดฆ่าตัวตายไหม? บอกเลยว่าเคย!  ที่เป็นเช่นนี้เพราะในทางโลกผู้เขียนไม่เคยรู้จักการเจริญสติมาก่อนนั่นเอง

ตอนนั้นผู้เขียนหมดที่พึ่งจึงมาพักอยู่ต่างจังหวัดระยะหนึ่งแต่ความทุกข์ใจก็ยังคงอยู่จึงลองเข้าพึ่งร่มกาสาวพัสตร์ด้วยการอุปสมบท หันมาพึ่งธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดู เพราะความรู้สึกส่วนตัวผู้เขียนตอนนั้นเวลาเห็นพระสงฆ์เดิน ยืน นั่ง พูด ในทุกอิริยาบถ ด้วยอาการสงบแล้วใจรู้สึกสงบลงทันที!

หลังจากบวชแล้ว ผู้เขียนมุ่งฝึกจิตอย่างเดียว เพื่อฟื้นฟูสภาพจิตตัวเอง โดยในตอนแรกๆ ผู้เขียนใช้วิธี “แช่อิ่มอารมณ์” ของตัวเองให้ติดอยู่ในรสปีติ สุข ของฌานสมาธิ ให้เข้ามาแทรกแทนที่อารมณ์ที่เศร้าหมอง ด้วยการเริ่มต้นจากครั้งละห้านาทีสิบนาที เป็นครึ่งชั่วโมงบ้างทำทุกวัน เป็นเดือนๆ เป็นปี จนจิตคุ้นชินกับรสของสมาธิ แล้วขยายอารมณ์ของสมาธิให้กว้างออกไปให้มากที่สุด จนจิตผู้เขียนก็กลับมาผ่องใสขึ้นในระดับที่น่ายินดีได้อีกครั้งด้วยตัวเอง

           หลายปีมานี้ผู้เขียนได้ฝึกวิปัสสนากรรมฐานกับครูบาอาจารย์ จนผู้เขียนสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของสภาพจิตตัวเองในทางที่ดีขึ้น เมื่อผู้เขียนฝึกยกจิตขึ้นสู่ระดับวิปัสสนา ก็สัมผัสได้ถึงจิตที่เป็นอิสระจากความทุกข์อย่างสิ้นเชิง ทุกข์ที่เคยทำให้จิตใจเศร้าหมองก็หมดไป

สอนกรรมฐานให้พระ เณรภาคฤดูร้อน จังหวัดนครศรีธรรมราช โดย อรรถจาโร ภิกขุ
สอนกรรมฐานให้พระ เณรภาคฤดูร้อน จังหวัดนครศรีธรรมราช โดย อรรถจาโร ภิกขุ

ตอนนี้ผู้เขียนก็สอนวิปัสสนาแก่ผู้อื่นควบคู่ไปด้วย เพื่อเป็นการตอบแทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์ทุกท่าน  

การสอนทุกครั้ง ผู้เขียนจะบอกเรื่องพระนิพพานเท่าที่ผู้เขียนจะอธิบายได้ และตามโอกาสสติปัญญาเท่าที่มี คือ ผู้เขียนเป็นทั้งครู นักเรียนในเวลาเดียวกัน และเน้นเรียนและสอนเรื่อง “จิต” อย่างเดียว เพราะถ้าจิต คือศูนย์บัญชาการของชีวิตผ่องใสเป็นปกติแล้ว บริวารของจิต คือกาย วาจาก็ต้องดีตามไปด้วย เพราะผลที่ดีย่อมเกิดจากเหตุที่ดี เหตุที่ไม่ดีจะให้ผลดีคงเป็นไปไม่ได้

สอนกรรมฐานให้พระ เณรภาคฤดูร้อน จังหวัดนครศรีธรรมราช โดย อรรถจาโร ภิกขุ

 ผู้เขียนจึงอยากแบ่งปันธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ออกมาจากกาย ใจของผู้เขียน และชวนทุกท่านเจริญจิตตภาวนากันให้มากขึ้นเพื่อพัฒนารักษาจิตตัวเอง เพราะชีวิตคนนั้นสั้นเหมือนพยับแดด ชีวิตสั้นเหมือนฟองน้ำในกาที่เดือดปุดๆ ผุดขึ้นมาแล้วก็แตกสลายไป ทุกชีวิตในโลกนี้เป็นของไม่เที่ยง ใช้ธรรมะเป็นประทีปนำทางให้จิตมีปัญญา เห็นจิตในจิตเห็นให้ทะลุถึงความไม่มีตัวตน ใช้ชีวิตด้วยการละชั่วให้เด็ดขาด ทำดีเป็นกิจวัตรและไม่ติดดี อีกทั้งไม่ถือว่าตัวดีกว่าคนอื่น แล้วละแม้ความดีเพื่อเข้าสู่ความบริสุทธิ์

เมื่อเรามีจิตใจจึงต้องเห็นแจ่มแจ้งในจิตตัวเอง ด้วยการรู้แจ้งเห็นจริงในพฤติของจิต และอำนาจแห่งจิต จึงจะบริหารชีวิตให้ขึ้นสู่จุดสุขสูงสุดได้ เสมือนสร้างสรรค์ฟองสบู่เมื่อใช้ประโยชน์จนสุดกู่ แล้วสลายมลายวับไปกับตา

  หากท่านเห็นข้อบกพร่องที่ผู้เขียนได้เขียนขึ้นมา และท่านเป็นผู้มีจิตเมตตาเอื้อเฟื้อต่อผู้เขียนแล้วละก็ กรุณาติ ชมเพื่อเป็นธรรมทาน เป็นดวงประทีปให้กับผู้เขียนเป็นการส่วนตัว เพื่อจะได้พัฒนาตัวเองให้ดียิ่งๆขึ้นอีก ทุกคำแนะนำของท่านผู้เขียนขอน้อมรับและขอขอบใจอย่างสุดซึ้งมา ณ โอกาสนี้

เกี่ยวกับผู้เขียน

อรรถจาโร ภิกขุ เป็นฉายาของ พระอภินันท์ (อตถฺจาโร)ไชยปรปักษ์  แห่งสำนักสงฆ์เสาธงทอง อำเภอดอนสัก จังหวัดสุราษฎร์ธานี  เรียนจบปริญญาตรี คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง จากนั้นทำงานธนาคาร และบริษัทเอกชน (พ.ศ. ๒๕๓๗ – พ.ศ.๒๕๕๐ ) อุปสมบทเมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยมี พระเทพศิริโสภณ เป็นพระอุปัชฌาย์  การศึกษาทางธรรม จบนักธรรมตรี มีผลงานตีพิมพ์หนังสือพ็อกเก็ตบุ๊ค เรื่อง ”ฝึกจิต ชีวิตเปลี่ยน” เมื่อพ.ศ.๒๕๕๖ ช่องทางการสื่อสารธรรมะ เฟสบุ๊ค “อรรถจาโร ภิกขุ” , ID LINE : 062-4936807

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here