
กำหนดการ
พิธีทำบุญตักบาตรเทโวโรหณะ เนื่องในเทศการออกพรรษา
วันพุธที่ ๘ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ เวลา ๐๗.๐๐ น.

ณ บริเวณถนนโดยรอบบรมบรรพต (ภูเขาทอง) วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร
แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร

ภาคเช้า เวลา ๐๖.๐๐ น.
– พุทธศาสนิกชนเตรียมข้าวสารอาหารแห้ง เตรียมพร้อมใส่บาตร ณ ถนนโดยรอบบรมบรรพต (ภูเขาทอง)
เวลา ๐๖.๐๐ น.
พระภิกษุสามเณรภายในพระอารามวัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร (๑๐๘ รูป) ขึ้นไปบนบรมบรรพต (ภูเขาทอง)
เวลา ๐๗.๐๐ น.
– พระเดชพระคุณ พระพรหมสิทธิ กรรมการมหาเถรสมาคม, เจ้าคณะภาค ๑๑ และเจ้าอาวาสวัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร จุดธูป เทียน บูชาพระพุทธรูปปางเปิดโลก ณ ลานน้ำตกเชิงบันไดทางขึ้นบรมบรรพต (ภูเขาทอง)

จากนั้น -ขบวนกลองยาว เริ่มบรรเลง
-ขบวนเทวดา นางฟ้า นางรำ เริ่มเคลื่อนขบวน
– อัญเชิญพระพุทธรูปปางเปิดโลกขึ้นประดิษฐานบนรถบุษบก พร้อมบาตรพระพุทธเจ้า เคลื่อนขบวนไปโดยรอบบรมบรรพต (ภูเขาทอง)
-พระสงฆ์เดินแถวลงจากบรมบรรพต (ภูเขาทอง) ตามรถบุษบก รับบาตรจากบรรดาพุทธศาสนิกชนไปโดยรอบบรมบรรพต (ภูเขาทอง) จนครบรอบบรมบรรพต (ภูเขาทอง)
– เป็นอันเสร็จพิธี –


หมายเหตุ : นับแต่วันออกพรรษานี้ เป็นต้นไป ขอเชิญชวนท่านพุทธศาสนิกชน ได้เขียนชื่อ – นามสกุล บนผ้าแดงเพื่อจะอัญเชิญขึ้นห่มบูชาพระบรมสารีริกธาตุ ณ พระเจดีย์บรมบรรพต ภูเขาทอง ในวันพุธที่ ๒๙ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๑๒) เนื่องในงานเทศกาลประจำปี อันจะมีขึ้นระหว่างวันที่ ๑ – ๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ นี้


พระธรรมวินัย ว่าด้วย ออกพรรษา
จากหนังสือ ลูกผู้ชายต้องบวช เรียบเรียงโดย พระราชกิจจาภรณ์ (เทอด ญาณวชิโร) นามปากกา “ญาณวชิระ”

ในวันสิ้นสุดการจำพรรษา มีพระบรมพุทธานุญาตให้ภิกษุผู้อยู่จำพรรษาครบ ๓ เดือนแล้วทำปวารณาต่อกันและกัน เป็นการบอกให้โอกาสแก่พระภิกษุทั้งหลาย เพื่อปวารณาว่ากล่าวตักเตือนตนเองได้ โดยไม่ให้ถือโทษโกรธเคืองกัน ใครมีข้อขัดข้องหมองใจสิ่งใดในการอยู่ร่วมกันมาตลอดพรรษา ๓ เดือน ก็ให้ว่ากล่าวกันได้ในวันนั้น
ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดการจำพรรษาของพระภิกษุที่อยู่จำพรรษาครบ ๓ เดือน วันนั้นงดสวดปาติโมกข์ แต่จะมีการสวดปวารณาแทน

ปวารณา (๓) คือ การบอกเพื่อให้โอกาสแก่พระภิกษุทั้งหลาย เพื่อว่ากล่าวตักเตือนตนได้
การที่พระพุทธเจ้าให้พระภิกษุที่อยู่จำพรรษาครบ ๓ เดือนแล้ว ให้ปวารณาต่อกันได้ เนื่องจากพระภิกษุอยู่ร่วมกันหลายรูป อาจมีปัญหาข้อขัดแย้งกันบ้างตามธรรมดาของการอยู่ร่วมกัน เมื่อออกพรรษาไปแล้ว อาจไม่มีโอกาสพบกันอีก เพราะต่างคนก็ต่างจาริกไปในที่ต่างกัน ปัญหาข้อขัดแย้งที่ยังไม่ได้แก้ไข ก็จะเป็นเรื่องค้างคาใจตลอดไป

ปวารณาออกพรรษา
เมื่อพระภิกษุประชุมพร้อมกันตามเวลาที่ทางวัดกำหนดไว้แล้ว พระเถระผู้เป็นประธานจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย แล้วนำพระภิกษุทั้งนั้นกราบ ๓ หน แล้วนำสวดบททำวัตรพระตามแบบที่ใช้ก่อนลงอุโบสถ จากนั้นพระภิกษุล้อมวงกันเข้าเหมือนฟังสวดปาฏิโมกข์ พระภิกษุผู้ได้รับมอบหมายเป็นผู้สวดตั้งญัตติปวารณกรรม

การปวารณาออกพรรษา
จากนั้น พระภิกษุออกมานั่งตามลำดับพรรษา แล้วกล่าวคำปวารณาไปตามลำดับพรรษา จากผู้มีพรรษามากสุดไปหาพรรษาน้อยสุด
คำปวารณาออกพรรษา
(สำหรับพระภิกษุสงฆ์ทุกรูป)
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะฯ
(ว่า ๓ หน)
สังฆัมภันเต ปะวาเรมิ ทิฏเฐนะ วา สุเตนะ วา ปะริสังกายะ วา วะทันตุ มัง อายัสมันโต อะนุกัมปัง อุปาทาย, ปัสสันโต ปะฏิกกะริสสามิฯ
ทุติยัมปิ ภันเต สังฆัง ปะวาเรมิ ทิฏเฐนะ วา สุเตนะ วา ปะริสังกายะ วา วะทันตุ มัง อายัสมันโต อะนุกัมปัง อุปาทาย, ปัสสันโต ปะฏิกกะริสสามิฯ
ตะติยัมปิ ภันเต สังฆัง ปะวาเรมิ ทิฏเฐนะ วา สุเตนะ วา ปะริสังกายะ วา วะทันตุ มัง อายัสมันโต อะนุกัมปัง อุปาทายะ, ปัสสันโต ปะฏิกกะริสสามิฯ
คำแปล
ท่านขอรับ กระผมปวารณาต่อสงฆ์ ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้
ฟังก็ดี ด้วยสงสัยก็ดี ขอท่านทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าว
กระผม กระผมเห็นอยู่จักทำคืน กระผมจะปวารณาต่อสงฆ์ฯ
ครั้งที่สอง ท่านขอรับ กระผมปวารณาต่อสงฆ์ ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟังก็ดี ด้วยสงสัยก็ดี ขอท่านทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าว กระผม กระผมเห็นอยู่จักทำคืน กระผมจะปวารณาต่อสงฆ์ฯ
ครั้งที่สาม ท่านขอรับ กระผมปวารณาต่อสงฆ์ ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟังก็ดี ด้วยสงสัยก็ดี ขอท่านทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวกระผม กระผมเห็นอยู่จักทำคืน กระผมจะปวารณาต่อสงฆ์ฯ
จบพิธีปวารณาออกพรรษา

การตักบาตรเทโวโรหณะ
รุ่งขึ้นอีกวันหลังพระสงฆ์ปวารณาออกพรรษา มีประเพณีอย่างหนึ่งที่ชาวไทยผู้นับถือพระพุทธศาสนา ยึดถือและปฏิบัติสืบมา ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับวันออกพรรษา คือ การตักบาตรเทโวโรหณะ หมายถึง การตักบาตรเนื่องในโอกาสที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากจำพรรษาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

การตักบาตรเทโวโรหณะมีประวัติความเป็นมา ดังนี้
หลังจากพระพุทธเจ้าแสดงยมกปาฏิหาริย์แล้ว ได้เสด็จไปจำพรรษาในภพดาวดึงส์ เพื่อแสดงพระอภิธรรมโปรดพระพุทธมารดา
เมื่อพระองค์ประทับนั่งที่ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ รัศมีของพระองค์รุ่งเรืองสดใสกว่ารัศมีของเทพยดาทั้งปวง พระพุทธมารดาเสด็จมาจากสวรรค์ชั้นดุสิต
ส่วนประชาชนที่มาเพื่อเฝ้าพระพุทธเจ้า เมื่อไม่เห็นต่างก็คร่ำครวญกัน ถามท่านพระโมคคัลลานะว่า พระบรมศาสดาเสด็จไปที่ใด พระโมคคัลลานะบอกให้ไปถามพระอนุรุทธะเถระ
พระอนุรุทธะตอบว่า พระพุทธองค์เสด็จขึ้นไปจำพรรษา ในภพดาวดึงส์ เพื่อแสดงธรรมโปรดพระพุทธมารดา
ประชาชนเรียนถามว่า พระองค์ท่านจักเสด็จลงมาเมื่อใดพระอนุรุทธะตอบว่า พระองค์จักเสด็จลงมาในวันมหาปวารณา ประชาชนต่างพูดกันว่า หากไม่ได้พบพระบรมศาสดาจะไม่กลับ จึงช่วยกันทำที่พักอยู่ ณ ที่นั้นเอง บริเวณนั้นจึงเต็มไปด้วยประชาชนที่มาเฝ้ารอการเสด็จกลับของพระพระพุทธองค์
พระมหาโมคคัลลานะได้ทำหน้าที่แสดงธรรมแก่ประชาชนส่วนจุลอนาถบิณฑิกะได้ช่วยจัดหาอาหารจนครบ ๓ เดือน
บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พระพุทธองค์ประทับนั่งท่ามกลางเหล่าเทพทรงปรารภพระมารดา เริ่มแสดงพระอภิธรรมเรื่อยไปตลอด ๓ เดือน ในเวลาภิกขาจารทรงเนรมิตพระพุทธนิรมิต แล้วอธิษฐานว่า ขอพุทธนิรมิตจงแสดงธรรมนี้จนกว่าเราจะกลับมา แล้วเสด็จไปยังหิมวันตประเทศ ทรงเคี้ยวไม้สีฟันชื่อนาคลดา บ้วนพระโอษฐ์ที่สระอโนดาต นำบิณฑบาตมาแต่อุตตรกุรุทวีป ประทับนั่งกระทำภัตกิจ โดยมีพระสารีบุตรไปคอยอุปัฏฐาก พระองค์ตรัสแก่พระสารีบุตรว่า วันนี้พระองค์ได้แสดงธรรมหัวข้อนี้แก่พระพุทธมารดา ให้พระสารีบุตรบอกธรรมนั้นแก่ภิกษุ ๕๐๐ ผู้เป็นลูกศิษย์ของพระสารีบุตร
แล้วจึงเสด็จกลับเทวโลก ทรงแสดงธรรมต่อจากที่พระพุทธนิรมิตแสดง พระสารีบุตรได้แสดงธรรมแก่ภิกษุผู้เป็นลูกศิษย์ ขณะที่พระบรมศาสดาประทับอยู่ในเทวโลก ภิกษุเหล่านั้นได้เป็นผู้ชำนาญในคัมภีร์อภิธรรมทั้ง ๗
มีเรื่องเล่าไว้ในคัมภีร์อรรถกถาธรรมบทว่า การที่พระภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูปนี้สนใจพระอภิธรรมเนื่องจากในอดีตชาติ สมัยพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ พระภิกษุ ๕๐๐ รูปนี้ เกิดเป็นค้างคาวอาศัยอยู่ที่เงื้อมผาแห่งหนึ่ง มีพระเถระ ๒ รูปปฏิบัติธรรมเดินจงกรมแล้วท่องพระอภิธรรมอยู่ ค้างคาวเหล่านั้นได้ยินเสียงพระภิกษุก็กำหนดนิมิตตามเสียง แม้ไม่รู้ว่าหัวข้อธรรมเหล่านี้ชื่อว่าขันธ์ หัวข้อธรรมเหล่านี้ชื่อว่าธาตุ เมื่อตายจากภพค้างคาวนั้นได้ไปบังเกิดเป็นเทวดานานถึงพุทธันดรหนึ่ง จุติจากเทวโลกนั้นแล้วมาบังเกิดในตระกูลชาวกรุงสาวัตถี มีความเลื่อมใสในยมกปาฏิหาริย์ที่พระพุทธเจ้าแสดงก่อนเสด็จไปจำพรรษาในภพดาวดึงส์ จึงบวชในสำนักของพระสารีบุตรเถระได้เป็นผู้ชำนาญในพระอภิธรรมทั้ง ๗ ปกรณ์ ก่อนภิกษุทั้งปวง
พระบรมศาสดาก็ทรงแสดงพระอภิธรรมโดยทำนองนั้นตลอด ๓ เดือนแก่พระพุทธมารดา เมื่อจบเทศนา พระพุทธมารดา ได้บรรลุโสดาปัตติผล
ส่วนประชาชนที่เฝ้ารอพระพุทธองค์คิดกันว่า อีก ๗ วัน จะปวารณาออกพรรษา จึงไปถามพระโมคคัลลานะเถระถึงวันที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จลงสู่เมืองมนุษย์ ท่านพระมหาโมคคัลลานะจึงขึ้นไปทูลพระพุทธเจ้า
พระบรมศาสดาตรัสว่า ในวันมหาปวารณา อีก ๗ วันจากนี้ไป พระองค์จักลงที่ประตูเมืองสังกัสสะ ซึ่งเป็นเมืองที่พระสารีบุตรจำพรรษา
ครั้นถึงวันมหาปวารณา พระพุทธองค์ตรัสแก่ท้าวสักกะว่า จะกลับเมืองมุนษย์ ท้าวสักกะเนรมิตบันได ๓ ชนิด คือ บันไดทองคำ บันไดแก้วมณี บันไดเงิน ทอดจากภพดาวดึงส์ ลงมายังประตูเมืองสังกัสสะ โดยมีบันไดทองอยู่ทางเบื้องขวา สำหรับเหล่าเทวดา
บันไดเงินอยู่ทางเบื้องซ้าย สำหรับท้าวมหาพรหม บันไดแก้วมณี อยู่ตรงกลาง สำหรับพระพุทธเจ้า
พระพุทธองค์ประทับยืนเปล่งพระฉัพพรรณรังสี แล้วทอดพระเนตรไปข้างบน สถานที่พระองค์ทรงแลดูปรากฏเป็นอันเดียวกันจนถึงพรหมโลก ทรงแลดูข้างล่าง ก็ปรากฏเป็นอันเดียวกันจนถึงนรกอเวจี ทรงแลดูทิศต่างๆ ทั้งหลาย จักรวาลหลายแสนได้ปรากฏเป็นอันเดียวกัน พวกเทวดาและมนุษย์ต่างเห็นกันและกัน ประชาชนที่เห็นสิริของพระพุทธองค์แล้ว ไม่มีใครที่ไม่ต้องการที่จะเป็นพระพุทธเจ้า
ขณะพระพุทธองค์เสด็จลงมา ท้าวมหาพรหมกั้นฉัตร ท้าวสักกเทวราชถือบาตร ท้าวสุยามะพัดด้วยวาลวีชนีอันเป็นทิพย์ ปัญจสิขเทพบุตรบรรเลงดนตรีสวรรค์ด้วยพิณสีเหลือง ขับร้องบูชานำเสด็จลงมา มาตลิเทพบุตร ยืนด้านซ้าย ถือของหอมและดอกไม้อันเป็นทิพย์ บูชาตามเสด็จลงมา
นอกจากวันที่พระพุทธองค์เสด็จลงจากเทวโลกจะได้ชื่อว่า “วันเทโวโรหณะ” ยังถือว่าเป็นวัน “พระพุทธเจ้าเปิดโลก” เนื่องจากในวันนั้น โลกทั้ง ๓ คือ โลกมนุษย์ โลกสวรรค์ และโลกนรกต่างเห็นกันหมดปรากฏเป็นส่วนเดียวกัน
จาก ธรรมนิพนธ์ เรื่อง “ลูกผู้ชายต้องบวช” เรียบเรียงโดย “ญาณวชิระ” พระราชกิจจาภรณ์ (เทอด ญาณวชิโร)













