![](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2020/03/IMG_6200.png)
๑๒๒ ปี แห่งการเดินทางของพระบรมสารีริกธาตุจากกรุงกบิลพัสดุ์ สู่สยามประเทศ จากภาพยนต์การ์ตูนอิงประวัติศาสตร์ เรื่อง “ปาฏิหาริย์พระบรมสารีริกธาตุ ณ บรมบรรพต (ภูเขาทอง) วัดสระเกศ ” ตอนที่ ๒ “พลังแห่งพุทธานุภาพ ” โดย สำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และความมั่นคงแห่งสถาบันชาติ พระศาสนา พระมหากษัตริย์ วัดสระเกศ
![](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2020/03/IMG_6203.png)
ความเดิมจากตอนที่แล้ว
![](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2020/03/IMG_6204-2.png)
เย็นวันหนึ่งขณะที่เณรแกละและเณรจุกกำลังกวาดลานวัด เณรแกละก็ครุ่นคิดและสงสัยว่า “บนภูเขาทองมีอะไร”
![](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2020/03/IMG_6216-1.png)
จึงชวนเณรจุกไปถามหลวงพี่ในวัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร หลวงพี่จึงเริ่มต้นเล่าเรื่อง “ปาฏิหาริย์พระบรมสารีริกธาตุ ณ บรมบรรพต (ภูเขาทอง) วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร กรุงเทพฯ” ให้ฟัง
![](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2020/03/IMG_6218.png)
ครั้งหนึ่งในประเทศอินเดีย …
![](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2020/03/IMG_6198.png)
![](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2020/03/IMG_6187-1.png)
ในสมัยพุทธกาล หลังการเสด็จปรินิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในกรุงกุสินารา กษัตริย์และพราหมณ์ปกครองแว่นแคว้นต่างๆ เมื่อได้ทราบข่าว ต่างก็ส่งทูตมาเจรจาขอส่วนแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ เพื่อจะได้นำไปสักการบูชา โดยการบรรจุไว้ในสถูป ณ แว่นแคว้นของตน แต่เมื่อได้รับการปฏิเสธ บรรดากษัตริย์เหล่านั้น ต่างก็พากันยกทัพมาตั้งค่ายล้อมกรุงกุสินารา พร้อมกับยื่นคำขาดแก่กษัตริย์มัลละแห่งเมืองกุสินารา ว่าจะให้ส่วนแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ หรือจะรบ
![](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2020/03/IMG_6196.png)
โทนพราหมณ์ ซึ่งเป็นที่เคารพของเหล่ากษัตริย์ เมื่อทราบว่าเกิดการวิวาท จนอาจเป็นเหตุให้เกิดสงคราม จึงออกมมาห้ามและในที่สุดก็ได้รับการยอมรับให้เป็นผู้แบ่งพระบรมสารีริกธาตุ เพื่อแจกจ่ายให้กับแว่นแคว้นทั้ง ๘ ได้แก่
![](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2020/03/IMG_6193-1.png)
ซึ่งเมืองที่ ๘ คือ เมืองกบิลพัสดุ์ เมืองของพระบิดาของพระพุทธเจ้า
![](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2020/03/IMG_3189-77.jpg)
พุทธศักราช ๒๕๖๓ ผ่านไป ๑๒๒ ปี กับการเดินทางของ “พระบรมสารีริกธาตุที่บรรจุอยู่บนภูเขาทอง วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร ในปัจจุบัน
จากจดหมายเหตุรับพระบรมสารีริกธาตุ ร.ศ.๑๑๖
ในพ.ศ.๒๔๓๙ รศ.๑๑๕ มิสเตอร์ วิลเลียม แคลกซ์ตัน เปปเป ชาวอังกฤษ ซึ่งมีถิ่นพำนักอยู่ในประเทศอินเดีย ได้ขุดค้นซากปรักหักพังของสถูปโบราณซึ่งจมอยู่ภายใต้เนินดินที่ตำบลปิปราห์วะ ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองบัสติ อันเป็นที่ตั้งกรุงกบิลพัสดุ์ สมัยพุทธกาล ซึ่งบริเวณสถานที่ดังกล่าวอยู่ในการดูแลของตน โดยในครั้งแรกได้ขุดหลุมกว้าง ๑๐ ฟุต และลึก ๘ ฟุต (กว้างราว ๖ ศอก ลึกราว ๕ ศอก จนกระทั่งทะลุถึงถ้ำ ซึ่งก่อด้วยอิฐ จึงเกิดความมั่นใจว่า เนินดินนี้จะต้องเป็นสถูปในพระพุทธศาสนาอย่างแน่นอน จึงหยุดการขุดสำรวจไว้ก่อน และได้ขอคำปรึกษาไปยังนักโบราณคดี
![](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2020/03/IMG_6225-1.png)
![](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2020/03/IMG_6286-e1585065823858.jpg)
ในเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๔๓๙ ร.ศ.๑๑๕ มิสเตอร์ วินเซนต์ สมิท ได้เข้ามาตรวจสอบสถูปดังกล่าวอีกครั้ง ได้แนะนำมิสเตอร์เปปเปว่า พระสถูปทางพระพุทธศาสนาแห่งนี้น่าจะเป็นพระสถูปโบราณที่มีความสำคัญยิ่ง และหากมีสิ่งใดบรรจุไว้ในพระสถูปนี้ คงจะอยู่ในช่องตรงกลางลึกต่ำลงไปเสมอพื้นดิน จากคำแนะนำดังกล่าว จึงเป็นแรงจูงใจให้มิสเตอร์เปปเป ทำการขุดสำรวจสถูปโบราณนั้นต่อไป
วันที่ ๒๐ เดือนมกราคม พ.ศ.๒๔๔๐ (ร.ศ.๑๑๖) เมื่อมิสเตอร์ เปปเป ขุดรื้อสำรวจพบพระสถูปโบราณจากตรงกลางยอดลึกลงไป ๑๐ ฟุต ได้พบท่อกลมก่อด้วยอิฐปากกว้างราว ๒ คืบ จึงขุดตามท่อกลมนั้นลงไปได้พบหีบศิลาสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ทำจากหินทราย ๑ หีบ ภายในหีบศิลามีผอบศิลา ๓ ผอบ กับหม้อแก้ว ๑ หม้อ เต็มไปด้วยข้าวของ เงิน ทอง เพชร พลอย และเครื่องประดับต่างๆ มากมาย เช่น รูปเครื่องหมายพระรัตนตรัย ใบไม้ และนก นอกจากนั้น ยังมีแผ่นทองคำตีตราเป็นสัญลักษณ์ต่างๆ ด้วย
แต่สิ่งที่ทำให้มิสเตอร์เปปเปเกิดความตื่นเต้นมากที่สุด คือ ภายในหีบศิลาหินทรายมีผอบบรรจุอัฐิธาตุ ประมาณสักฟายมือหนึ่ง (ONE HANDFUL) และที่ผอบใบที่บรรจุอัฐิธาตุนั้น มีข้อความจารึก ด้วยอักษรพราหมมีโบราณ เป็นภาษาที่ใช้มาก่อนพุทธกาล
![](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2020/03/IMG_6295222-Copy.png)
จากการตรวจสอบจารึกพบว่า เป็นอักษรโบราณมีอายุมากกว่า ๓๐๐ ปีก่อนคริสต์ศักราช คือ เป็นภาษาที่จารึกมาแล้วประมาณ ๒,๑๙๘ ปี ก่อนการขุดพบ ซึ่งเก่ากว่าภาษาที่ใช้จารึกเสาอโศก ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ที่เคยขุดพบมาแล้ว นักภาษาศาสตร์เชื่อว่า น่าจะเป็นภาษาที่ใช้ในสมัยที่พระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ หรือหลังจากนั้นก็ไม่น่าจะเกินพุทธศตวรรษที่ ๒-๔ ข้อความจารึกที่ผอบบรรจุพระบรมสารีริกธาตุแปลได้ความว่า
![](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2020/03/IMG_6296222-Copy.png)
“ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้านี้ เป็นของตระกูลศากยราช ผู้มีเกียรติงาม กับพระภาตา พร้อมทั้งพระภคินี พระโอรส และพระชายา สร้างขึ้นอุทิศถวายไว้”
จากจารึกและข้อสรุปของนักภาษาศาสตร์นั้น ทำให้มิสเตอร์เปปเปมั่นใจได้ว่า อัฐิธาตุที่บรรจุอยู่ภายในผอบนี้ เป็นพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็น ๑ ใน ๘ ส่วนที่เจ้าศากยะได้รับไปในคราวแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ หลังการถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน
![](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2020/03/IMG_6298-1.png)
![](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2020/03/IMG_6297.png)
มิสเตอร์เปปเปจึงมีหนังสือแจ้งไปยังเจ้าพนักงานภาษี เมืองบัสติ เจ้าพนักงานได้ส่งสำเนาหนังสือของมิสเตอร์เปปเปต่อไปยังดอกเตอร์วิลเลียม โฮย ข้าหลวงแขวงเมืองโครักขปุระ ดอกเตอร์โฮยได้ยื่นเรื่องต่อไปยังสมุหเลขานุการ รัฐบาลหัวเมืองอินเดียตะวันตกเฉียงเหนือและเมืองโอธ แจ้งว่า มิสเตอร์เปปเปได้ขุดสำรวจสถูปโบราณพบโบราณวัตถุและสิ่งของที่้ล้ำค่า มีความยินดีจะยกให้พิพิธภัณฑ์อินเดีย และมอบให้รัฐบาลเป็นผู้จัดการตามเห็นสมควร โดยตนขอเก็บสิ่งของบางอย่างเป็นที่ระลึก
ข่าวคราวที่มิสเตอร์เปปเปขุดค้นพบุพระบรมสารีริกธาตุได้รับการตีพิมพ์ทางหน้าหนังสือพิมพ์และได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง
ในการนี้ ดอกเตอร์โฮย ได้เขียนบทความเกี่ยวกับการขุดค้นพบพระบรมสารีริกธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมทั้งคำอ่าน และคำแปลอักษรโบราณซึ่งจารึกที่ผอบ ลงในหนังสือพิมพ์ชื่อว่า ไพโอเนีย ฉบับวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ร.ศ.๑๑๖ โดยระบุว่า เป็นการค้นพบครั้งประวัติศาสตร์ครั้งหนึ่งของโลก
ต่อมา นายมารควิส เคอร์ชัน ผู้ดำรงตำแหน่งอุปราชครองประเทศอินเดีย ซึ่งเคยเข้ามารับราชการอยู่ในกรุงเทพฯ และมีความคุ้นเคยกับรัชกาลที่ ๕ มาก่อน เห็นว่า พระบรมสารีริกธาตุนั้นเป็นสมบัติของชาวพุทธ และนายมารควิส เคอร์ชันเห็นว่า
พระมหากษัตริย์ที่ทรงนับถือพระพุทธศาสนาสมัยนั้น ก็มีแต่พระเจ้ากรุงสยามเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น
รัฐบาลอินเดียจึงมีความประสงค์ที่จะทูลเกล้าฯ ถวายพระบรมสารีริกธาตุแด่รัชกาลที่ ๕ พร้อมให้ฝ่ายไทยส่งผู้แทนเป็นคณะราชทูตไปรับ และขอให้รัชกาลที่ ๕ แบ่งพระบรมสารีริกธาตุแก่ประเทศต่างๆ ที่นับถือพระพุทธศาสนาเช่นเดียวกัน
พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ ขณะทรงผนวชที่ศรีลังกาได้เป็นผู้ประสานงานในการรับพระบรมสารีริกธาตุ ระหว่างรัฐบาลอินเดียกับสยาม
![](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2020/03/IMG_624622-Copy.png)
โดยในพ.ศ.๒๔๔๑ (ร.ศ.๑๑๗) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยาสุขุมนัยวินิต (ปั้น สุขุม) ข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราช เป็นผู้ออกไปรับพระบรมสารีริกธาตุ ณ ประเทศอินเดีย
โดยออกเดินทางจากกรุงเทพ ฯ เมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ.๒๔๔๑ (ร.ศ.๑๑๗) ถึงเมืองสิงคโปร์วันที่ ๒๐ มกราคม พักอยู่ที่สิงคโปร์ ๓ วัน เพื่อคอยเรือเมล์ที่จะออกไปกัลกตา จากนั้น เดินทางต่อไปจนถึงอินเดียในวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ร.ศ.๑๑๗
![](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2020/03/IMG_6242.png)
![](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2020/03/IMG_6244-1024x577.png)
![](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2020/03/IMG_6243.png)
![](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2020/03/IMG_6245-1.png)
![](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2020/03/IMG_6249.png)
วันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๔๑ (ร.ศ.๑๑๗) ทำพิธีมอบพระบรมสารีริกธาตุ พระยาสุขุมนัยวินิต (ปั้น สุขุม) พร้อมด้วยหลวงพินิจอักษร อัญเชิญพระเจดีย์กาไหล่ทองคำ ซึ่งพระราชทานจากกรุงเทพ เข้าสู่มณฑลพิธี ดอกเตอร์โฮย ข้าหลวงแขวงเมืองโครักขปุระ ตัวแทนฝ่ายอินเดีย อ่านคำมอบพระบรมสารีริกธาตุท่ามกลางข้าราชการ ทั้งพวกผู้ดีชายหญิงซึ่งมาประชุมกันเป็นจำนวนมาก โดยมีทหารยืนเป็นกองเกียรติยศ ๒๔ คน ต่อจากนั้น พระยาสุขุมนัยวินิต ตัวแทนจากสยามกล่าวขอบคุณ
![](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2020/03/IMG_64961111.png)
![](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2020/03/IMG_64972222.png)
![](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2020/03/IMG_6236.png)
หลังจาก พระยาสุขุมนัยวินิต (ปั้น สุขุม) รับมอบพระบรมสารีริกธาตุจากรัฐบาลอังกฤษในประเทศอินเดียแล้ว ก็ออกเดินทางเรือ ในระหว่างการเดินทางนั้นเอง ก็เกิดพายุไต้ฝุ่นลูกใหญ่มาข้างหน้าอย่างรุนแรง จนกับตันเรือคิดว่าคงจะไม่รอดแน่ๆ แต่พระยาสุขุมนัยวินิตก็บอกว่า อย่าเพิ่งหมดหวัง
![](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2020/03/IMG_649911.png)
![](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2020/03/IMG_650022.png)
![](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2020/03/IMG_650233.png)
![](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2020/03/IMG_650122.png)
![](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2020/03/IMG_6273-11.png)
ในเวลาวิกฤตินั้นเอง พระยาสุขุมนัยวินิต กราบนมัสการพระบรมสารีริกธาตุที่อัญเชิญมา ตั้งอธิษฐานจิตว่า
ขอให้องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า คุ้มครองเหล่าลูกช้างในการเดินทางครั้งนี้ด้วยเทอญ
![](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2020/03/IMG_6509-111.png)
เพื่อที่ลูกช้างจะได้นำพระบรมสารีริกธาตุ ไปประทับที่กรุงสยาม ให้เป็นที่สักการะของชาวพุทธโดยทั่วกัน
หลังจากกล่าวคำอธิษฐานจบลงก็เกิดแสงสว่างโชติช่วงจากพระบรมสารีริกธาตุ จากนั้นพายุไต้ฝุ่นก็สงบลง
![](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2020/03/IMG_651222.png)
![](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2020/03/IMG_65132.png)
วันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ.๒๔๔๑ (ร.ศ.๑๑๗) เวลาบ่าย ๕ โมง คณะอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุจากสยามประเทศ ได้ออกเดินทางกลับถึงเมือตรัง ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุขึ้นบุษบกแห่ผ่านเมือง ตรัง พัทลุง สงขลา แต่ละเมืองที่ผ่านมามีประชาชนเข้าร่วมขบวนแห่พระบรมสารีริกธาตุ และสักการบูชา ด้วยดอกไม้ธูปเทียน แก้วแหวน เงินทองมากมาย แสดงให้เห็นถึงความเลื่อมใสศรัทธาของประชาชนในแต่ละเมืองได้เป็นอย่างดี จากนั้นได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุลงเรือหลวงต่อไปยังเมืองสมุทรปราการ
วันที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ.๒๔๔๑ (ร.ศ.๑๑๗) คณะอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุถึงเมืองสมุทรปราการ รัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าฯ ให้นำพระบรมสารีริกธาตุไปประดิษฐานในพระวิหาร เกาะพระสมุทรเจดีย์ ทำการเฉลิมฉลองเป็นเวลา ๓ วัน ๓ คืน แล้วจัดขบวนอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ เดินทางมากรุงเทพมหานคร
![](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2020/03/431.jpg)
พ.ศ.๒๔๔๒ (ร.ศ.๑๑๘ ) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่เจดีย์บรมบรรพต ภูเขาทอง วัดสระเกศ ในวันอาทิตย์ที่ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๔๒ (ร.ศ.๑๑๘) โดยกำหนดฤกษ์ตามวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
![](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2020/03/FullSizeRender-2020-03-16T134000.334.jpg)
พ.ศ.๒๔๔๒ (ร.ศ.๑๑๘) ทรงแบ่งพระบรมสารีริกธาตุแก่ประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาต่างๆ เช่น พม่า ลาว ลังกา ญี่ปุ่น ไซบีเรีย เป็นต้น ตามความประสงค์ของรัฐบาลอินเดีย
ฝ่ายรัฐบาลญี่ปุ่นนั้น ได้คัดเลือกตัวแทนคณะสงฆ์ญี่ปุ่นจากพุทธนิกายต่างๆ ไปยังสยามประเทศ เพื่ออัญเชิญ พระบรมสารีริกธาตุมายังประเทศญี่ปุ่น โดยได้ประกอบพิธีพระราชทานที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๔๓ คณะสมณทูตญี่ปุ่นได้กราบบังคมทูลว่า มีความประสงค์จะสร้างเจดีย์และวัดขึ้นใหม่เป็นการเฉพาะ เพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ และเพื่อเป็นสัญลักษณ์การรวมนิกายต่างๆ ของคณะสงฆ์ญี่ปุ่น
พระองค์ได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ เพื่อสร้างพระเจดีย์และวัดใหม่ตามความประสงค์ของคณะสงฆ์ญี่ปุ่นนั้นด้วย ในการนี้ พระองค์ยังได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระพุทธรูปโบราณไปด้วย
(โปรดติดตามตอนต่อไป )