สุดทางจงกรม : สมาธิเบื้องต้นสำหรับลงมือปฏิบัติ (มหาสติปัฏฐาน ๔) บทที่ ๕๓ จงมีลมหายใจเป็นวิหารธรรม ประพันธ์โดย พระราชกิจจาภรณ์ (พระมหาเทอด ญาณวชิโร) “ญาณวชิระ”
บทที่ ๕๓ จงมีลมหายใจเป็นวิหารธรรม
สุดท้ายแล้วไม่ว่าจะปฏิบัติธรรมในรูปแบบไหน ก็ให้มีลมหายใจเป็นวิหารธรรม ไม่ว่าชีวิตในแต่ละวันจะหมุนไปในรูปแบบใด จะทำการทำงานอะไรอยู่ จะยุ่งเหยิงเพียงใดก็ให้มีลมหายใจเป็นเครื่องอยู่ ให้มีลมหายใจเป็นเครื่องระลึกถึง ให้อยู่กับลมหายใจ ให้ระลึกรู้อยู่เสมอว่าการรู้ลมหายใจเป็นหน้าที่อย่างหนึ่ง
ลมหายใจสั้น ลมหายใจยาว ลมหายใจหยาบ ลมหายใจละเอียด ลมหายใจปรากฏ ลมหายใจหดสั้นเข้า ลมหายใจหายไป
การมีลมหายใจเป็นเครื่องอยู่เช่นนี้ เรียกว่า “มีลมหายใจเป็นวิหารธรรม”
ถึงแม้จะสาละวนทำการทำงานอะไรอยู่ก็แอบชำเลืองดูลมหายใจไปด้วย ก็เป็นกรรมฐานเหมือนกัน ให้ทำความรู้สึกเหมือนแม่บ้านที่มีลูกน้อย ถึงแม้แม่จะสาละวนทำการทำงานอะไรอยู่ก็ตาม แม่ก็จะคอยชำเลืองดูลูกน้อยอยู่เสมอ กลัวลูกจะเกิดอันตราย เหมือนโคแม่ลูกอ่อนเล็มกินหญ้า แต่ก็จะคอยชำเลืองเหลียวดูลูกวัวไปด้วย เพราะกลัวลูกจะพลัดหลงจากแม่
การดูลมหายใจในชีวิตประจำวันก็แบบเดียวกัน ให้มีความรู้เนื้อรู้ตัวคอยชำเลืองดูลมหายใจอยู่อย่างนี้ แม้จะทำงานอะไรอยู่ก็ตาม พอมีสติระลึกรู้ เกิดความรู้เนื้อรู้ตัวขึ้นมาก็ชำเลืองดูลมหายใจ ลมหายใจก็จะเด่นดวงขึ้นมา
เห็นลมหายใจออก ลมหายใจเข้า ลมหายใจสั้น ลมหายใจยาว ลมหายใจละเอียด หายใจหยาบ ลมหายใจปรากฏ ลมหายใจหายไป
ความสำคัญของการปฏิบัติสมาธิอยู่ที่การฝึกให้มีความรู้ตัวตัวพร้อม และการรู้เนื้อรู้ตัวอยู่เสมอนั่นแหละคือความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ให้รู้เนื้อรู้ตัวอยู่เสมอ รู้เนื้อรู้ตัวเมื่อไหร่ก็ดูลมหายใจเมื่อนั้น รู้เนื้อรู้ตัวเมื่อไหร่ก็ดูความเป็นไปของกายเมื่อนั้น สั่งสมความรู้สึกตัวทั่วพร้อมอยู่อย่างนี้เป็นการสั่งสมอุปนิสัยแห่งสมาธิ เมื่อสั่งสมความรู้เนื้อรู้ตัวบ่อยเข้า เวลานั่งสมาธิก็จะเกิดสมาธิได้ง่าย
จิตนี้มันออกจะแปลกอยู่ เวลานั่งสมาธิมันชอบคิดโน่นคิดนี่ ชอบฟุ้งซ่าน คิดไปเรื่อยเปื่อย วิธีปฏิบัติสำหรับคนชอบคิด บางทีก็ปล่อยมันคิดไป เมื่อกำกับมันไม่ได้ อยากจะคิดก็ปล่อยมันคิด พอนั่งไปจนเกิดอาการเจ็บปวดตามแข้งตามขา มันจะหยุดคิดของมันไปเอง จิตจะมาเกาะแน่นอยู่กับความเจ็บปวด ตอนนั้นจิตที่คิดจะหายไปทันที มันจะหยุดคิดมารวมดวงอยู่ที่ความเจ็บปวด
การปล่อยให้จิตคิดก็เป็นวิธีปฏิบัติอีกแบบหนึ่ง สำหรับคนชอบคิด พอนั่งไปจนเจ็บปวด จิตจะรวมดวงเป็นหนึ่งอยู่ที่ความเจ็บปวดไปเอง โดยไม่ต้องไปทำอะไร
ขณะนั้น มันจะตัดความคิดทุกอย่างออกไป ความฟุ้งซ่านจะหายไปแล้วมารวมดวงอยู่ที่ความเจ็บ พอเจ็บปวดมากเข้า เรากัดฟันอดทนจนสุดกลั้นของความอดทน จิตมันจะบอกตัวเองว่า
“เจ็บจริงน้อเจ็บจริงหนอ ทุกข์จริงน้อทุกข์จริงหนอ”
พอเจ็บปวดมากเข้า มันจะเกิดคำถามขึ้นมาในใจเองว่า “ใครเป็นผู้ทุกข์ ใครเป็นผู้เจ็บ ใครเป็นผู้ปวด” ไม่ใช่เราตั้งคำถาม แต่ว่าจิตมันจะถามของมันเองว่าใครเป็นผู้ทุกข์ ใครเป็นผู้เจ็บ
เมื่อเจ็บมากปวดมากจนเหงื่อกาฬไหล จนฟ้าเหลือง สิ่งรอบตัวพร่าเหลืองเลือนลาง เหมือนธาตุขันธ์กำลังจะแตก ออกจากกัน บางทีจิตมันจะถามตัวเองว่า “หรือว่าจิตสุดท้ายของคนกำลังจะตายมันเป็นแบบนี้ หากจิตได้รับการฝึกมาดี มันจะหาที่พึ่งอันอุดม จะระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัย จะนึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงคุณงามความดีบุญกุศลที่เคยทำ แล้วจิตมันจะเบา จะปล่อยวางสิ่งที่เป็นพันธนาการทุกอย่าง ทั้งคนรักคนชัง ทรัพย์สิน ยศตำแหน่ง จะมองหาที่ไปในเบื้องหน้า สุดท้ายก็จะยึดโยงอยู่กับคุณของพระรัตนตรัย คุณของศีล คุณของทาน คุณที่ได้เลี้ยงดูบิดามารดาครูอาจารย์ สิ่งที่ควรทำก็ได้ทำแล้ว สิ่งที่ไม่ควรทำก็ไม่ได้ทำ
นี่คุณของการมีลมหายใจเป็นวิหารธรรม เป็นแบบนี้
การตรึกตรองธรรมอยู่ภายในอย่างนี้ก็เป็นวิตกวิจารได้ สามารถทำให้จิตรวมดวงเป็นเอกัคคตาได้ ยิ่งการได้ตรึกถึงชาติชราและมรณะยิ่งทำให้จิตรวมดวงได้ง่าย
การตรึกถึงชาติเป็นวิตกแล้วตรองต่อไปว่าการเกิดเป็นทุกข์ เป็นวิจาร นั่งคิดนั่งตรึกตรองอย่างธรรมดานี่แหละ การนั่งคิดนั่งตรึกตรองเช่นนี้ไม่ใช่ความฟุ้งซ่าน แต่เป็นการตรึกตรองพินิจพิจารณาอยู่ภายใน เมื่อตรึกตรองธรรมอยู่ภายในเช่นนี้ บางขณะจิตก็อาจเกิดปีติ สุข รวมดวงเป็นเอกัคคตาได้เช่นกัน
สำหรับคนชอบคิด แก้อย่างไรก็แก้ไม่ตก ก็ให้นั่งรู้ความคิดจนกว่ามันจะเลิกคิดไปเอง
ที่จริง เวลาเรานั่งสมาธิ จิตก็คิดอยู่ตามธรรมชาติเพราะความคิดเป็นจิตสังขาร จิตมันก็สังขารอยู่ของมันเอง แต่เราไม่เห็นเพราะเรามัวแต่คิดว่า ทำอย่างไรจิตมันจึงจะหยุดคิด
ถ้านั่งดูจิตเราจะเห็นความคิดชัดขึ้น
เมื่อเราฝึกสติมากเข้าจนสติแยกออกมาเป็นผู้เห็นความคิด เราก็จะเห็นความคิดที่คิดอยู่ตามธรรมชาติ สติก็รู้ความคิดอยู่อย่างนั้น
ที่จริงสติกับความคิดก็คือจิตนั่นเอง แต่อยู่คนละฝ่ายกัน สติอยู่อีกฝ่ายหนึ่ง เป็นฝ่ายปัญญา ส่วนความคิดก็อยู่อีกฝ่ายหนึ่ง เป็นฝ่ายอวิชชา ขึ้นอยู่กับว่าขณะจิตนั้นจะพลิกไปฝ่ายไหน เหมือนมือข้างเดียวกันแต่มีสองด้าน พลิกด้านหนึ่งเป็นฝ่ามือ พอพลิกอีกด้านหนึ่งก็เป็นหลังมือ ที่จริงก็มือข้างเดียวกันนั่นแหละ แค่ชั่วขณะของการพลิกก็กลับเป็นหลังมือหรือฝ่ามือ
จิตก็จิตเดียวกัน แต่พอพลิกขณะจิตหนึ่งก็เป็นความคิด อีกขณะจิตหนึ่งก็เป็นผู้รู้ความคิด
การนั่งสมาธิ ไม่ต้องไปไล่หาชื่อ หาลำดับ อันนี้เรียกว่าอันนั้น อันนี้เป็นอันนั้น มันจะเป็นภาระให้กับจิต แต่ให้ดูอาการตามที่มันปรากฏ ปรากฏอะไรก็ดูอันนั้น การไล่เลียงหาชื่อเป็นเรื่องของการศึกษา แต่การปฎิบัติเป็นเรื่องของการดูอาการของจิต
การดูลมหายใจแรกๆ มันจะเห็นสองอย่างปนๆ กัน คือ เห็นลมหายใจกับเห็นความคิด บางทีก็เห็นความคิด บางทีก็เห็นลมหายใจ มันจะตีกันไปกันมา ปนเปกันอยู่ ลมหายใจจะยังไม่ชัด พอฝึกนานไปลมหายใจจะเริ่มชัดขึ้น
เมื่อลมหายใจละเอียดเข้าๆ จะรู้สึกเหมือนลมหายใจหดสั้นเข้า ตัวเราจะห่องุ้มลง ห่องุ้มลง เหมือนลมหายใจจะขาดตอน พอเราสูดลมหายใจเข้ายาวๆ ให้เต็มปอด เพื่อต่อลมหายใจ สติก็จะปรับตัวให้กลับมายืดตรงทีหนึ่ง พอมีสติกลับมาดูลมหายใจไปอีก เมื่อลมหายใจละเอียดเข้าๆ เหมือนลมหายใจหดสั้นเข้า ตัวเราจะห่องุ้มลง ห่องุ้มลงอีก พอเราสูดลมหายใจเข้ายาวๆ ให้เต็มปอด สติก็จะปรับตัวให้กลับมายืดตรงอีกทีหนึ่ง จะเป็นอย่างนี้อยู่ระยะหนึ่งอาการแบบนี้ก็จะหายไปเอง
เวลาลมหายใจหายไปหรือขาดจากลมหายใจ ตัวตนคนผู้นั่งจะแข็งทื่อเหมือนถูกสตัฟฟ์ไว้ เปรียบเหมือนหุ่นยนต์ไม่มีชีวิต ไม่มีลมหายใจ แต่ความรู้สึกยังมีอยู่ ยังมีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
ดูบ่อยๆ เข้า สั่งสมความรู้สึกตัวทั่วพร้อมบ่อยๆ เข้า จิตมันจะฉลาดขึ้น ฉลาดขึ้น จะเริ่มรู้ขึ้น รู้ขึ้นเรื่อยๆ ดูตอนแรกมันไม่ฉลาดต้องดูบ่อยๆ แล้วมันจะค่อยๆ ฉลาดขึ้น ค่อยๆ รู้ขึ้น ก็ใช้ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมที่เด่นดวงขึ้นมานั้นขบคิดอยู่ข้างใน ทางการปฏิบัติก็เป็นการคิดด้วยปัญญา หรือจะเรียกว่าวิปัสสนาก็ได้
ขอให้มีลมหายใจเป็นเครื่องอยู่ มีลมหายใจเป็นวิหารธรรม
สุดทางจงกรม : สมาธิเบื้องต้นสำหรับลงมือปฏิบัติ (มหาสติปัฏฐาน ๔) บทที่ ๕๓ จงมีลมหายใจเป็นวิหารธรรม ประพันธ์โดย พระราชกิจจาภรณ์ (พระมหาเทอด ญาณวชิโร) “ญาณวชิระ”