วันนี้วันพระ วันที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ.๒๕๖๒ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๕
“พระลูกชายโชคดีที่ได้ทำหน้าที่ของลูก”
โดย พระครูสมุห์สุพัฒน์ อนาลโย เรื่อง และ ภาพ
คุณเคยภูมิใจในตนเองบ้างไหม…
แน่นอนบางคนก็พูดอยู่ในใจว่า เคยและไม่เคย ส่วนอาตมามีความภาคภูมิใจครั้งหนึ่งในชีวิตล่าสุดนี้เอง
หลังจากที่แม่ได้เสียชีวิตไปแล้ว จากฝันร้ายมาเยือนมันผ่านไป ความสุขย่างก้าวเข้ามาแทนที่ ในร้ายยังมีดีอยู่
เมื่อแม่จากลูกไปอย่างไม่มีวันหันกลับมาอีก ในวินาทีที่แม่ป่วยอาตมาได้ไปดูแลท่านเดือนหนึ่งกับน้องสาวและหลานช่วงสุดท้ายของชีวิตท่าน เป็นครั้งแรกที่ตนได้ใกล้ชิดกับความตายมากที่สุด แต่ก่อนก็เคยเห็นครอบครัวคนอื่นที่มีญาติเสียชีวิตจากเขาไป
พอเวลานั้นมาถึงเราจริงๆ ทำให้ได้เรียนรู้เกี่ยวกับความตายรู้สึกเสียใจ รู้สึกอ้างว้าง โดดเดี่ยว ทุกข์ใจ ไม่อยากให้ท่านจากเราไปเลย แต่ก็ฝืนกฎของธรรมชาติไม่ได้ ต้องจำใจ ทำใจ ปล่อยวาง แต่ไม่ปล่อยทิ้ง ความรัก ความทรงจำของแม่ยังอยู่ในใจลูกๆ เสมอตลอดไป
นั่นจึงเป็นเหตุให้อาตมาไปปฏิบัติธรรม พร้อมจำพรรษากับองค์หลวงตาสุริยา มหาปัญโญ ที่วัดป่าโสมพนัส จังหวัดสกลนคร ด้วยความเมตตาที่มีต่อลูกศิษย์ ท่านสอนให้เจริญสติแบบการเคลื่อนไหวตามแนวทางหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ ปรมาจารย์แห่งการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวรูปแรกในเมืองไทย
หลวงตาถามว่า รู้จักคำว่ารู้สึกตัวไหม?
ก็ตอบท่านว่า ไม่รู้ครับ
ท่านบอกว่า ให้รู้สึกตัว รู้ซื่อๆ แค่นี้หละ
อาตมาได้มีโอกาสปฏิบัติธรรมสัปดาห์แรก ทั้งเดินจงกรม และ นั่งสร้างจังหวะ๑๔ จังหวะ ระหว่างนั้นก็ได้ฝึกฝืนต่อสู้กับความง่วง ความคิด ผ่านความคิดก็คิดสั้นลง มี “สติ” หรือ “ความรู้สึกตัว รู้เนื้อรู้ตัว ”มากขึ้น
ครั้งหนึ่งที่หลวงตาเทศน์เรื่อง “ความทุกข์” และ “ความรัก” ก็เก็บนำไปคิดพิจารณาต่อยอด คืนนั้นก็นอนสร้างจังหวะจนหลับไป ตื่นเช้าขึ้นมา เรื่องความทุกข์กับความรักผุดขึ้นมาให้เราได้ย้อนรอยความทุกข์ใจ ได้เห็นอาการดีใจ การรอคอย รอยยิ้มเสียงหัวเราะ ความพอใจไม่พอใจ สมหวังผิดหวัง ร้องไห้ และการทรมานใจ
เห็นการเปลี่ยนแปลงของคนที่เรารักไม่สามารถบังคับบัญชาได้ (ใจเราใจเขา) ก็ทำให้เราหลงจมปักกับเรื่องราวต่างๆ ของความรัก อดีตที่ผ่านมา ๒๐ ปี เหมือนดูหนังเป็นเรื่องๆ ไปจนจบตอน ทำให้เข้าใจคำว่า “ทุกข์” ตัวนี้เองที่ขังเราอยู่กับอดีตมามากกว่า๒๐ ปี
ความรักกับความหลง การยึดมั่นถือมั่นในความรักนั้นก็ทำให้เกิดความหึงหวงใจขาดความอิสระก็เป็นทุกข์
จากนั้นก็ทำให้เข้าใจ ใจก็เบา ใจรู้สึกเป็นอิสระที่ออกจากเรื่องทุกขังนั้นได้ เหมือนเรายกของหนักออกจากอกได้ ใจเบาสบายโล่ง ทำงานก็ยังมีความสุขทุกครั้งที่นึกถึง ภูมิใจที่ผ่านมันไปได้ เหมือนเราชนะอะไรสักอย่างหนึ่ง เราก็ดีใจ นี่เป็นผลของการฝึกเจริญสติแบบเคลื่อนไหวนั่นเอง
ตั้งแต่อาตมาบวชมาในร่มโพธิ์ธรรมของพระพุทธศาสนา เมื่อโยมแม่ คุณแม่ปน พลรักษา สิ้นไปแล้วเสียดายที่ไม่มีโอกาสพาท่านไปปฏิบัติธรรมเลย ตอนนี้คงเหลือแต่โยมพ่อ คุณพ่อเคน พลรักษา ความคิดเกิดขึ้นในใจอยากให้พ่อไปปฏิบัติธรรม เป็นช่วงเวลาที่โยมพ่อไปเข้าวัดถือศีลกินเจและฟังเทศน์เกิดความซาบซึ้งในพระธรรมจึงน้ำตาไหล
เมื่อทราบว่าโยมพ่อซาบซึ้งในพระธรรมให้ทานรักษาศีลแล้วยังขาดการปฏิบัติเปรียบเสมือนโยมพ่อได้อ่านแค่ฉลากของธรรมะ แต่ยังไม่ได้ดื่มล้ำรสของพระธรรมอย่างแท้จริง จึงได้พูดกับโยมพ่อว่า ขอให้พระลูกชายได้ทำหน้าที่ของลูกที่ได้บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนาแล้ว ให้โยมพ่อไปปฏิบัติธรรมด้วยสัก ๗ วันก่อนได้ไหม หลังจากนั้น ก็แล้วแต่โยมพ่อจะไปก็ได้ไม่ไปก็ได้
ผลปรากฏว่าท่านรับปากว่า ไป
เมื่อได้ยินเพียงแค่นี้ก็ดีใจมากจนขนลุกเลยโดยทีเดียว ให้โยมพ่อไปชักชวนเพื่อนไปด้วย ถ้าได้คนเยอะจะเหมารถให้ อนิจจังไม่มีใครว่างเลย โยมพ่อได้มาปฏิบัติคนเดียว
พอมาปฏิบัติ ๓ วันแรกก็รู้สึกมีความเจ็บปวดขา ความคิด ความง่วงเกิดขึ้น ก็ไม่สู้ความพยายามความอดทนของคนได้ ในที่สุดผ่านไปด้วยดี
โยมพ่อเล่าว่า วันที่ ๔ – ๕ ก็มีอาการปวดขา ปวดหัวก็หาย รู้สึกเบาสบายหัว ความคิดน้อยลง เดินได้สบาย ไม่ปวดขาเบากายสบายใจ มีความสุข วันที่ ๗ ยิ่งเดินยิ่งเบาตัวความรู้สึกตัวมีสติเพิ่มขึ้น
พระลูกชายดีใจ ภูมิใจแล้ว ที่ได้ทำหน้าที่ของความเป็นลูกได้สมบูรณ์แบบสำหรับอาตมานะที่สามารถชักชวนนำโยมพ่อเข้ามาปฏิบัติธรรมสัมผัสธรรมด้วยตนเอง
“โยมพ่อไม่ได้เป็นแค่ผู้อ่านฉลากธรรมะเฉยๆ แล้ว แต่ท่านได้รู้จักวิธีการฝึกสติให้อยู่กับตัวและวิธีการดื่มลิ้มรสของพระธรรมอย่างแท้จริงด้วยตนเอง”
ชีวิตนี้ก็เพียงพอแล้วที่เราได้เข้ามาสู่ร่มโพธิ์ของพระพุทธศาสนาพร้อมเป็นสะพานบุญให้โยมพ่อมาปฏิบัติธรรมสัมผัสธรรมะอย่างแท้จริง ขอบุญกุศลที่อาตมาได้ทำนี้และที่โยมพ่อได้สะสมมาส่งผลไปถึงโยมแม่โยมพี่ชายด้วยเทอญฯ
บันทึกเมื่อ ๒๑ เมษายน พ.ศ.๒๕๖๒
พอ.จ๊อดส์