
ชรัง อนตีโต
เมื่อความชรามาเยือน
๕๕ ความเรียง
ว่าด้วยบทสนทนาของพระลูกชายกับโยมพ่อผู้ชรา

ผู้เขียน
ญาณวชิระ
(พระมหาเทอด ญาณวชิโร,วงศ์ชะอุ่ม)
อดีต พระราชกิจจาภรณ์


ชรัง อนตีโต : เมื่อความชรามาเยือน ๕๒. “ เรื่องของหนองสะทัง ” ผู้เขียน ญาณวชิระ (พระมหาเทอด ญาณวชิโร,วงศ์ชะอุ่ม) อดีต พระราชกิจจาภรณ์

จากคำบอกเล่าของพ่อ ตอนขุดพระที่วัดป่านั้น มีการขุดสองครั้ง ตอนขุดครั้งแรก หลวงพ่อท่านจะรู้ด้วยวิธีใดพ่อเองก็ไม่รู้ ตอนพ่อไปยืนดูก็เห็นเอาพระล้างน้ำใส่ถาดผึ่งแดดไว้เป็นถาด ๆ แล้ว

พวกคนแก่คนเฒ่าที่พอจะรู้เรื่องก็ตายกันไปจะหมดแล้ว ส่วนพ่อไม่รู้รายละเอียด พวกที่รู้อยู่บ้างก็จะเป็นพวกได้บวชได้เรียน พ่อไม่ได้บวชไม่ได้เรียนจึงได้แต่ไปยืนดูเฉย ๆ ผู้ที่ช่วยหลวงพ่อขุดก็มีพ่อใหญ่เลิศ (ประสานพิมพ์) พ่อใหญ่เสริม(บุญเอื้อ) ผู้ใหญ่บ้านนำ (แสงสว่าง) ผู้ใหญ่บ้านภู (ชื่นบาน) และพวกกรรมการหมู่บ้าน

“แต่ก่อนเขาว่ามันมีแสงขึ้นใกล้วัดป่า อยู่หนองสะทัง อยู่นาอ้ายโสม อ้ายพรหม นาอ้ายพุด เขาว่ามันมีฆ้องใหญ่อยู่หนองฮั่น แต่กี้มันกะสิมีบาดว่านั่นล่ะ มันกะสิคือปู่น้ำคำแต่กี้ ล้อมฮั้วล้อมฮาวมันคือสิได้ ใผล้อมฮั้วผิดเอาแท้ ๆ เฮ็ดให้ซักแอนซักแงนเข้า ตายขอดตายคืนขึ้นมาปัจจุบันทันด่วนโลด”

“อีแม่ล้อมฮั้วนำไฮ่นำนากะต้องเฮ็ดสามง่ามเอาไว้ให้ปู่เพิ่นข้ามไปมาได้ ทุกมื้อนี้มันกะอยากจืดจางไปแล้วละ ไฮ่นาใผกะล้อมฮั้วเบิ่ด คือกับปู่ท่าน้ำคำ ตอนเฮ็ดหอปู่ใหม่ ๆ คนถืกเลขดีเบิ่งบ่เป็น ไผกะถืกเลข แต่ทุกมือนี้มิดสิหลี่”

“แต่กี้เพิ่นศักดิ์สิทธิ์อีหลีปู่ใหญ่เฮานั่น เป็นช้างเป็นม้ามาแล่นนำกลางบ้าน คันปู่ขึ้นมา เวลาทุ่มหนึ่ง สามทุ่ม สี่ทุ่ม ได้ยินเสียงกระดิ่งช้างกระดิ่งม้ากุ่งกิ่ง ๆ มาโลด หมานำเฮือนนำซานพากันเห่าพากันหอนเบิ่งบ่เป็น งัวอยู่ในคอกกะแตกตื่นบื้นบั้น ๆ ทั้งเต้นทั้งฮ้อง”

เมื่อนำคำบอกเล่าของพ่อเกี่ยวกับเรื่องการขุดพบหลวงพ่อเงินในช่วงปีพุทธศักราช ๒๕๑๕ มาสอบทานกับคำบอกเล่าของพ่อใหญ่เลิศ ประสานพิมพ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์จริงของวันดังกล่าว ก็ได้ข้อมูลที่แจ่มชัดขึ้น

“บุ่งสระพัง” ที่ชาวบ้านลงหาอยู่หากินจนเป็นที่มาของสร้อยนามหมู่บ้าน กับ “หนองสะทัง” ที่ลือกันว่ามีเสียงฆ้องทองคำดังขึ้นในวันพระใหญ่นั้นเป็นคนละแห่งกัน
“หนองสะทัง” ที่มักจะได้ยินเสียงฆ้องในวันพระใหญ่จะอยู่ตรงนาพ่อใหญ่เคน นาพ่อใหญ่โทน เป็นหนองน้ำไม่ใหญ่ เป็นฮ่อมเป็นคลองลงไป เเต่ก่อนเป็นหนองนํ้าเขียวลื่ม ๆ (น้ำสีเขียวมรกต) น่ากลัว อยู่ตรงบ้านพ่อใหญ่พุด เป็นนาเข็ดนาขวาง คนลงไม่ได้เลยเด็ดขาด

พอถึงวันศีลวันพร(วันพระ)จะมีเสียงฆ้องใหญ่ดังมาจากหนองสะทังนั้น พ่อใหญ่ศิลาเล่าว่าเคยเห็นฆ้อง เพราะนาพ่อใหญ่ศิลาอยู่ตรงนั้น คนที่เคยเห็นต่างก็บอกว่า เวลาฆ้องผุดขึ้นให้คนเห็น ดินยุบลงเหมือนเตาถ่านยุบ บางทีเวลาพลบค่ำเข้าใต้เข้าไฟก็ลือกันว่ามีฆ้องใหญ่กลิ้งไล่คน

ผู้ที่เคยพบเห็นต่างก็เล่าตรงกันว่า ก่อนฆ้องจะดัง จะมีลำแสงสีเขียวพุ่งขึ้นตรงต้นบกใหญ่ ทางลงหาดบุ่งสระพัง แต่ก็ไม่รู้ตำแหน่งที่แน่นอนว่าขึ้นจากตรงไหน รู้เพียงว่าขึ้นจากบริเวณนั้น สว่างไปทางวัดป่าพระพิฆเณศวร์ ลำแสงจะขึ้นระหว่างต้นบกกับต้นยางใหญ่ ยางใหญ่ต้นนั้นราวห้าคนโอบได้

แสงจะขึ้นเฉพาะวันศีล (วันพระ) วันธรรมดาไม่ขึ้น ฆ้องใหญ่ก็จะดังขึ้นวันนั้นเหมือนกัน พอถึงวันศีลคนจะพูดกันว่า คอยดู! เดี๋ยวจะเห็นบั้งไฟใหญ่ขึ้น จากนั้นจะได้ยินเสียงฆ้องตามมา พอเห็นแสงไฟพุ่งขึ้นวาบ ๆ ก็มีเสียงฆ้องดังตามมาจริง ๆ แสงนั้นมองเห็นได้จากที่ไกลประมาณหนึ่งกิโลเมตร เเสงจะพุ่งขึ้นสูงถ่วมหัว แต่ไม่ได้สว่างตลอด จะสว่างวาบ วาบขึ้นไปเป็นจังหวะ เหมือนเวลาจุดบั้งไฟ เป็นแสงสีเขียว หลังจากเห็นแสงไฟเสียงฆ้องก็จะดังตามมา

สมัยยังเป็นป่าดงพงพี หลวงพ่อเคยคิดจะเอาฆ้องทองคำขึ้นมา ท่านจึงไปปักกลดนั่งภาวนาอยู่บริเวณต้นบกใหญ่ แล้วท่านก็บอกลูกหลานว่า เจ้าของเขาไม่ให้เอาขึ้นมาก็อย่าไปรบกวน

ส่วนการพบพระพิฆเณศวร์นั้น ฟังจากคำบอกเล่าต่อกันมา ตอนแรก ชาวบ้านเห็นพิงอยู่ที่ต้นบก บริเวณทางลงบุ่งสระพัง แถวนั้นเป็นนา

พ่อใหญ่โทน พ่อใหญ่สา ผัวยายเเพง คนบ้านวังกางฮุง ใครผ่านไปผ่านมา ก็เห็นพิงอยู่ต้นบก แต่ไม่รู้ว่าเป็นพระอะไร ก็คิดว่า เป็นพระอิฐพระปูนทั่วไป

ตอนนั้น ญาถ่านโสม วัดบ้านวังกางฮุง มาเยี่ยมน้องชายท่าน อยู่นาพ่อใหญ่แพง มาเยี่ยมลูกพ่อใหญ่สา ที่มาเอาเมียอยู่นาพ่อใหญ่เเพง จึงเรียกกันมากินข้าวกินน้ำ ญาถ่านโสมเดินมาเห็นพระพิฆเณศวร์ ก็บอกว่า โอ้ย! อาตมาขอได้ไหมพระองค์นี้ ญาถ่านโสมบอก
สมเด็จพระมหาวีรวงศ์(อ้วน)มาเป็นเจ้าอาวาสอยู่วัดสุปัฏฯ ญาถ่านโสมบอกว่าจะเอาไปถวายหลวงปู่สมเด็จฯ ให้อาตมาเถอะ ชาวบ้านไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร ก็บอกว่า เอาไปเถอะ ถ้าเอาไว้ก็เอาไว้เฉย ๆ ไม่ได้ทำอะไร เอาไปตอนแรกก็เอาไปตากแดดไว้ อยู่หน้าโบสถ์ ทีนี้พอบ้านเราดังขึ้นมา ก็เลยเอาไปไว้ในพิพิธภัณฑ์

ส่วนการขุดพบหลวงพ่อเงินได้ที่วัดป่าพระพิฆเณศวร์นั้น พ่อใหญ่เลิศ เล่าว่า ใน ปีพุทธศักราช ๒๕๑๔ ทหารฝรั่งอเมริกามาตั้งฐานทัพอยู่เมืองอุบล สมัยนั้น วัดป่ายังไม่ได้เป็นวัด ยังไม่มีอะไรเลย ยังเป็นป่าเป็นดงพงพีรกเรื้อ ใบไม้ทับถมกันสูงเท่าเอว เวลาเดินไปทางไหนก็มีแต่เสียงเหยียบใบไม้ดังสวบสาบ แต่ก็มีโบสถ์เก่าและมีพระพุทธรูปอยู่องค์หนึ่ง เป็นพระอิฐพระปูน

สาเหตุที่ทำให้พระพุทธรูปหายไปจากดงพระคเณศนั้น พ่อใหญ่เลิศเล่าว่า เมื่อก่อนในดงพระคเณศมีสัตว์อยู่เยอะมาก โดยเฉพาะลิง คนบ้านท่าหมากมั่งไม่ได้นับถือพุทธ ข้ามแม่น้ำมูลเข้ามายิงลิงในดงพระคเณศ แต่ยิงไม่ได้สักที พอตามลิงหนีเข้ามาในดงแห่งนี้ พวกลิงก็หายไป เจ้าที่บังลิงบังสัตว์เอาไว้ เขาจึงคิดว่า เป็นเพราะพระพุทธรูปทำให้ยิงลิงไม่ได้ จึงเอาค้อนทุบพระพุทธรูปในดงนั้นแขนหัก

ดงนี้ศักดิ์สิทธิ์ใครจะเข้ามายิงลิง ยิงสัตว์ก็ไม่ได้ จะตัดไม้ก็ไม่ได้ ใครเข้ามาทำอะไรก็ไม่ได้ทั้งนั้น
พ่อบอกว่า พ่อก็เคยได้ยินมาเหมือนกันว่า ลิงที่ดงพระคเณศมันดื้อ เวลาคนเข้าไป มันจะกำขี้มันปาใส่คน เล่าแล้วพ่อก็หัวเราะชอบอกชอบใจ

อยู่มาราวพุทธศักราช ๒๕๑๔ – ๒๕๑๕ หลังจากหลวงพ่อพัฒนาหมู่บ้าน ตัดถนนหนทาง สร้างโรงเรียนเสร็จแล้ว ทีนี้ ท่านก็ออกธุดงค์ ออกนั่งวิปัสสนา ที่ดงพระคเณศ ท่านจะพาพระพาเณรสลับกันตามท่านไปนั่งปฏิบัติอยู่ในดงนั้นด้วย ไม่รู้บังเอิญอย่างไร เครื่องบินทหารอเมริกามาตกอยู่หัวป่าแวง

ตอนนั้น ทหารอเมริกาเข้ามาลาดตระเวน บอกว่า เห็นแสงพุ่งขึ้นใส่เครื่องบินจากบริเวณนี้ เรดาร์จับได้ เขาว่า มีคอมมิวนิสต์อยู่ในดงที่หลวงพ่อนั่งวิปัสสนาจึงพากันมาสำรวจ สมัยนั้น ยังมีคอมมิวนิสต์มาก

ตามปกติ ตอนกลางคืน หลวงพ่อท่านจะพาเณรไปปักกลดในดงพระคเณศ จะกลับเข้ามาวัดในหมู่บ้านตอนตีสี่ แต่วันนั้น ท่านบอกให้เณรกลับวัดไปก่อน ท่านยังไม่กลับจะนั่งต่ออีกสักพัก

พอดีได้เวลาสามโมงทหารอเมริกายกขบวนเข้าไปล้อมดงพระคเณศ ตีวงเป็นพะลานล้อมท่านเข้ามา พอไปถึงเห็นหลวงพ่อนั่งกรรมฐานอยู่ในกลดองค์เดียว

ทหารอเมริกาเขามีล่ามคนไทยมาด้วย เขามากับล่าม นั่งอยู่ข้าง ๆ ถามตอบกันกลับไปกลับมากับหลวงพ่อ อยู่ต่อมา ทหารฝรั่งเกิดถูกอัธยาศัยจึงเทียวมาหาหลวงพ่ออยู่บ่อย ๆ มากราบมาไหว้ มาสนทนา

วันหนึ่ง ล่ามบอกหลวงพ่อว่า หลวงพ่อ! เขาให้ถามหลวงพ่อว่า หลวงพ่ออยากให้เขาสร้างอะไรไว้เป็นอนุสรณ์ให้กับบ้านกับวัดบ้างไหม เขาจะให้หมดทุกอย่าง เขาบอก

หลวงพ่อบอกว่า อยากได้โบสถ์หลังงาม ๆ โบสถ์ทาสีไม่เอา อยากได้โบสถ์ลงรักปิดทอง ซุ้มประตูหน้าต่างติดกระจกเหมือนวัดในกรุงเทพ “แต่ว่า ความคิดมีบ่แพ้ ทุนสิค้าฮั่นบ่มี” คิดอยากได้ แต่มันทำไม่ได้ เพราะเป็นหมู่บ้านทุกข์ หมู่บ้านยาก

ทหารอเมริกาบอกว่า ถ้าจะสร้างโบสถ์ก็ให้เตรียมสถานที่เอาไว้ จากนั้น ประมาณหนึ่งอาทิตย์ถัดมา เขาก็ขนหิน ขนเหล็ก ขนทราย ขนปูนออกมาพร้อมกันทั้งหมดในวันเดียวกันนั้น ให้หลวงพ่อสร้างโบสถ์ หลวงพ่อจึงได้เหล็ก ได้อิฐ ได้ปูน ได้เครื่องอุปกรณ์ และเงินค่าก่อสร้างเขาก็ให้มาด้วย ทุกเย็นหลวงพ่อจะตีกลองโฮมขอแรงลูกหลานชาวบ้านมาขนดินเข้าโบสถ์

พอทหารฝรั่งเอาอุปกรณ์มาให้สร้างโบสถ์ หลวงพ่อก็สร้างไปได้ประมาณ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ได้โครงสร้างทั้งหมด แต่โบสถ์ยังไม่เสร็จ สงครามยุติเขาก็เลิกฐานทัพกลับ หลวงพ่อทำอะไรต่อไม่ได้จึงหยุดสร้างโบสถ์เอาไว้เพียงแค่นั้น เพราะไม่มีเงินทุน ท่านจึงออกเหรียญพระครูวิโรจน์ (รอด )อาจารย์ของท่าน ออกพระเครื่องและพระผงรุ่นต่าง ๆ หาทุนสร้างโบสถ์ แต่ก็ยังไม่พอที่จะสร้างโบสถ์ให้แล้วเสร็จได้
อยู่ต่อมา ท่านก็กลับเข้ามานั่งสมาธิที่ดงพระคเณศอีกเหมือนเดิม ทีนี้ หลวงพ่อได้เลขสองตัวสามตัวมาบอกชาวบ้าน พูดอะไรออกไปก็เป็นเลขเป็นเบอร์แม่นทุกงวดยังกับตาเห็น ตอนนั้น ชาวร้านค้าตลาดเมืองอุบลไม่มีใครไม่รู้จักญาถ่านจันทร์ ต่างก็หลั่งไหลกันออกมาพบท่านรถราแน่นวัด จนบางคนได้รถป้ายแดงนั่งมาหาท่านก็มี คนก็เริ่มเข้าวัดมากขึ้น ท่านจึงสร้างโบสถ์ลงรักปิดทองติดกระจกต่อจนแล้วเสร็จตามความประสงค์

พ่อใหญ่เลิศเล่าว่า ตอนจะขุดหลวงพ่อเงินนั้น ชีปะขาวมาเข้าฝันหลวงพ่อให้ไปขุดเอาของอยู่ที่ดงพระคเณศ ก็คือป่าที่ท่านไปนั่งวิปัสสนา เขาถือขันห้ามานั่งคุกเข่าอยู่ปลายเท้า บอกว่า หลวงพ่อเป็นเจ้าของ เป็นคนสร้าง เป็นคนฝังทั้งหมด ให้ขุดเอาขึ้นมาเก็บรักษาไว้ ดูไปก็เหมือนว่าจริง ๆ หลวงพ่อชี้ลงตรงไหนไม่ผิด ท่านบอกว่า ขุดตรงนี้ก็เจอ จะมีหัวกะโหลกสองหัว มีแขนมีขาครบหมด เขาฝังไว้เฝ้าสมบัติ ตอนฝังนั้น ก็จะบอกว่า เอาทหารผู้กล้าหาญ ใครกล้าหาญก็ตัดคอฝังลงตรงนั้น ใครจะกล้าเฝ้า ยุคคนแปดศอก

เมื่อก่อน ชาวบ้านไม่กล้าเข้าไปดงนั้น เพราะรู้ว่า สมัยก่อน พวกพ่อใหญ่เกี้ยวเอาหัวพ่อทันมาทำพิธีทุบพระพุทธรูป อยู่ในดงนั้น พระพุทธรูปบางองค์ก็ถูกกืงลงแม่น้ำมูล แล้วถางป่าแถบนั้นทำไร่อ้อย ต้นไม้ที่เห็นทุกวันนี้เป็นต้นไม้รุ่นใหม่ที่ขึ้นมาทีหลังทั้งนั้น

ตอนนั้น พ่อใหญ่เลิศยังเป็นเด็ก เรียนอยู่ ประถม ๔ ก็คงราวอายุ ๑๒ ปีพากันวิ่งไปรับจ้างขุดหลุมปลูกอ้อยให้พ่อใหญ่เกี้ยว

ตอนขุดหลวงพ่อเงินที่วัดป่านั้น ใช้เวลาขุดสามคืน ในคืนแรกจะพบพระผงหว่านจำปาสัก พระทองคำ พระสัมฤทธิ์ และพระบุเงินองค์เล็ก ๆ เป็นส่วนมาก พอย่างเข้าคืนที่สองขุดมาได้ครึ่งหนึ่ง เวลาประมาณสองทุ่ม ตำรวจจากสถานีบ้านแคนสี่ห้าคนมากวน ขู่ว่าจะจับหลวงพ่อ เขาบอกว่าที่ดินที่ขุดมีเจ้าของไหม ถ้าเป็นที่ดินไม่มีเจ้าของ หลวงพ่อพาคนมาขุดเอาของผมจะจับ ของที่ได้ขึ้นมาจะต้องเอาไปเป็นของหลวง ถ้าจะขุดต่อของอันไหนดี ๆ ให้ผมเลือกเอาจึงจะให้ขุดต่อ

อยากได้อะไรหลวงพ่อก็ให้เขาเลือกเอา ตำรวจแต่ละคนจึงหยิบเอาพระทองคำ และพระเงินไป

เวลาประมาณห้าหรือหกทุ่ม ในคืนเดียวกันนั้น ตำรวจก็เอาพระกลับมาคืนทุกคน หลวงพ่อถามว่า ทำไมไม่เอา เขาบอกว่า เอาเข้าบ้านไม่ได้ เมียไม่ยอมให้เอาเข้าบ้าน เมียจะฆ่าเอา ยังไม่ทันได้เข้าบ้านทั้งเมียทั้งลูกก็ร้องห่มร้องไห้โวยวายตึงตังขึ้นมา กระทืบเท้า ชี้หน้าด่ากราดว่าไปเอาอะไรมา ให้เอาไปคืน ไม่ยอมให้เอาเข้าบ้านแม้แต่คนเดียว บางคนก็บอกว่า ไม่ได้หลับไม่ได้นอน เหมือนมีมือใหญ่ ๆ ดำ ๆ มาจับบ้านเขย่า จึงพากันเอาพระมาคืนหลวงพ่อ บอกว่า ไม่เอา ท่านไม่ให้ แล้วก็ไม่มายุ่งอีกเลย

พ่อใหญ่เลิศเล่าว่า ในคืนที่สามนั้น ขุดหลวงปู่เงินอย่างเดียว หลวงพ่อบอกว่าพักผ่อนกันให้เต็มที่ วันนี้จะขุดของสำคัญ สองทุ่มค่อยไปขุด ตอนนั้น พ่อใหญ่เลิศจะเป็นคนคอยอยู่ใกล้ชิดท่าน ไม่ได้ลงมือขุดกับเพื่อน จะเป็นคนคอยเดินไปดูเขาขุด แล้วกลับมารายงานให้ท่านทราบ

ถึงเวลาสองทุ่มท่านจึงพาไปขุด ท่านชี้จุดให้แล้วก็ไปนั่งคอย พอขุดไปได้พักหนึ่งพวกที่ขุดก็บ่นว่า โอ้ย! ดินเเก่นมาก ขุดลึกลงไปถึงเอวก็แล้ว ถึงหน้าอกก็แล้ว ยังเปล่าแปน ไม่เจออะไร โอ้ย ! ไม่มีดอกหลวงพ่อ

“มี” หลวงพ่อบอก “ขุดอีก ขุดลงไปอีก” ท่านบอกให้ขุดลงไปจนเห็นขี้ถ่านไฟ ถ้าเห็นขี้ถ่านไฟแล้วก็ใช่
พ่อใหญ่เลิศเล่าถึงเหตุการณ์ในวันขุดหลวงพ่อเงินด้วยความอัศจรรย์ใจว่า โอ้ย! ปานตาหลวงพ่อเห็น พอขุดลงไปแล้วมันมีถ่านไฟอยู่ก่อนตามที่ท่านบอกจริง ๆ ท่านนั่งอยู่ในศาลา ไม่ได้ออกมาดูกับพวกเราด้วย มีแต่พ่อใหญ่เลิศเป็นคนคอยมารายงานท่าน

ท่านถามว่า เห็นถ่านไฟหรือยัง ก็ตอบท่านว่า เห็นแล้วข้าน้อย นั่นล่ะ ต่อไปจะถึงทราย ท่านบอก น่าอัศจรรย์ยังกับตาท่านมองเห็น ยอมท่านเหมือนกัน หลังจากเจอถ่านไฟ พอขุดลงไปอีกก็ถึงทรายจริง ๆ แล้วท่านก็ให้ค่อย ๆ เอามือโกยทรายออก พอโกยทรายออกก็เจอเกตุพระพุทธรูปก่อน จึงเรียกให้หลวงพ่อมาดู ท่านก็ลุกมาดู เขาใช้ศิลาแลงวางเป็นกล่องปิดองค์พระพุทธรูปเอาไว้กันดินเลื่อนมากระแทกพระพุทธรูปเกิดชำรุดเสียหาย ส่วนทรายก็กันไม่ให้รากไม้ชอนไชมาถึงองค์พระเพราะทรายไม่มีปุ๋ย รากไม้จึงไม่ชอนไชเข้ามาหาอาหาร นับว่าเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านในการฝังพระพุทธรูปอีกอย่างหนึ่ง

พ่อใหญ่เลิศให้ข้อมูลเพิ่มว่า ขุดลงไปจะพบกระดูกคนก่อน มีแต่หัวใหญ่ ๆ พอขุดลงไปอีกก็เจอกระปุกสองอัน มีพระเงิน ๑๐ องค์อยู่ในนั้น พระเงินแท้เท่าหัวแม่มือ ทีนี้ กระปุกที่ ๒ มีพระทองคำอีก ๑๐ องค์อยู่ด้วยกัน ขุดลงไปอีกจึงเจอเกตุหลวงพ่อเงิน ตอนเห็นเกตุหลวงพ่อเงินนั้นเป็นเวลาเที่ยงคืน กว่าจะเอาขึ้นได้ก็ราวตีสี่ พอเอาหลวงพ่อเงินขึ้นมาได้แล้วหลวงพ่อจึงสั่งให้ปิดหลุมเอาไว้ทันที เสร็จสรรพเรียบร้อยทุกอย่างก็พอดีสว่าง เห็นแสงเงินแสงทองจับขอบฟ้าได้อรุณ

ตรงที่ขุดพบหลวงพ่อเงิน ก็คือตรงที่ศาลาครอบอยู่ในปัจจุบัน หลวงพ่อสร้างพระประธานและสร้างศาลาครอบเอาไว้ ตอนขุดพบนั้น หลวงพ่อเงินตั้งหันหน้าไปทางด้านหนึ่ง จะเป็นหันหน้าไปทางแม่น้ำมูลหรือไม่ก็จำไม่ได้ แต่ตอนสร้างศาลาครอบไว้ หลวงพ่อหันหน้าพระประธานกลับไปทางทิศตะวันออก

“ตั้งแต่พุทธศักราช ๒๕๑๕ ที่ขุดหลวงพ่อเงินได้ กว่าจะเอามาเปิดเผยอีกทีก็ถึงพุทธศักราช ๒๕๔๗ คิดดู อาจารย์วิมานกับเจ้าคุณเทอด เป็นคนเอาออกมาเปิดเผย”
พ่อใหญ่เลิศกล่าว

ก่อนจะขุดหลวงพ่อเงินนั้น พอถึงดงพระคเณศ หลวงพ่อจะจุดธูปป่าวเจ้าที่ สุณันตุ โภนโต เย เทวา ดูราเทพยุดาเจ้าทั้งหลาย ฯลฯ ทุกครั้ง จากนั้น ก็สวดมนต์แล้วสาธยายบทไชยน้อยจึงเข้าที่ภาวนา คนช่วยหลวงพ่อมีประมาณหกเจ็ดคน ที่จำได้ ก็มีพ่อใหญ่สุข (รักษาวงษ์) คนหนึ่ง พ่อใหญ่นำ (แสงสว่าง) ผู้ใหญ่บ้านภู (ชื่นบาน) ตอนนั้น ผู้ใหญ่บ้านภู เป็นผู้ใหญ่บ้าน แล้วก็มีพวกกรรมการหมู่บ้าน คือ พ่อใหญ่สอน พ่อใหญ่สีบิด พ่อใหญ่กาญจน์ พ่อใหญ่แดง พ่อใหญ่ทอง (พ่อใหญ่ทองยักษ์) บ้านโนน

ทุกวันนี้ คนที่ช่วยหลวงพ่อขุดหลวงพ่อเงินในวันนั้น ที่มีชีวิตอยู่ ที่ยังเหลือ คือ พ่อใหญ่เลิศ ประสานพิมพ์ กับพ่อใหญ่สุข รักษาวงศ์ ตอนนั้นก็คงหนุ่มกว่าคนอื่น อายุคงประมาณ ๕๐ ปีได้

ตอนเขาจะให้ไปเอาหลวงพ่อเงินขึ้นมานั้น เขามาเข้านิมิตหลวงพ่อหลายครั้ง ทีแรกท่านยังไม่เชื่อ คิดจิตปรุงแต่งไป เขาต้องมาเข้านิมิตท่านถึงสามครั้งสามครา ครั้งสุดท้ายหลวงพ่อก็ตัดสินใจขุด
ก่อนจะตัดสินใจ หลวงพ่อบอกเขาว่า ถ้าจะให้ผู้ข้า(อาตมา) ขุดเอาของขึ้นมาจริง ๆ ก็ให้ผู้ข้า(อาตมา) ขอสถานที่สร้างศาลาน้อยเอาไว้สักหลัง พอได้อาศัยร่มเงาภาวนา ท่านก็ให้ พอให้แล้วหลวงพ่อก็กลับมาปรึกษาพ่อออกแม่ออกว่าจะขุดพระพุทธรูปที่ดงพระคเณศตามที่ท่านนิมิตเห็น พ่อออกแม่ออกได้ยินก็ถอยกันหมด กลัวตาย เพราะเคยเห็นพวกพ่อใหญ่เกี้ยวเข้าไปถางป่าดงพระคเณศปลูกไร่อ้อยนั่งตาย นอนตาย สมัยนั้น

ใครไปล่วงเกิน มีอันเป็นไปทุกคน พวกบ้านท่าหมากมั่งเข้าไปยิงลิงทุบแขนพระหักก็วิ่งแตกป่าหนีไม่มาใกล้อีกเลย ก็เลยไม่มีใครกล้าไปกับหลวงพ่อ จึงมีแค่กรรมการหกเจ็ดคนไปช่วยท่าน ส่วนคนอื่นหลวงพ่อให้ไปบอกไปตามก็ไม่มีใครกล้าไปด้วยสักคน


พ่อใหญ่เลิศย้ำภาพความเข็ดขวางของดงพระคเณศให้แจ่มชัดขึ้น

ชรัง อนตีโต : เมื่อความชรามาเยือน ๕๒. “ เรื่องของหนองสะทัง ” ผู้เขียน ญาณวชิระ (พระมหาเทอด ญาณวชิโร,วงศ์ชะอุ่ม) อดีต พระราชกิจจาภรณ์

เมื่อความชรามาเยือน
๕๕ ความเรียง
ว่าด้วยบทสนทนาของพระลูกชายกับโยมพ่อผู้ชรา
ISBN : ๙๗๘ – ๖๑๖ – ๙๓๓๗๘ – ๖ – ๗
ผู้เขียน : ญาณวชิระ
(พระมหาเทอด ญาณวชิโร,วงศ์ชะอุ่ม)
อดีต พระราชกิจจาภรณ์
ปีที่พิมพ์ : ๒๕๖๗
จำนวนพิมพ์ : ๑,๐๐๐ เล่ม
จำนวนหน้า : ๓๐๔ หน้า
จัดพิมพ์ โดย : สถาบันพัฒนาพระวิทยากร
เลขที่ ๓๔๔ อาคารสันติวัคคีย์ แขวงบ้านบาตร
เขตป้อมปราบ กรุงเทพมหานคร ๑๐๑๐๐
พิมพ์ที่ : หจก.นิวไพศาลการพิมพ์
เลขที่ ๕๓ เจริญนคร ๔๖ บางลำพูล่าง
เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร