
วันนี้วันพระ วันพฤหัสบดีที่ ๑๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๑๐
ศึกษา เรียนรู้
การก่อสร้างบ้านเมืองในสมัยโบราณ
จากความเชื่อ ความศรัทธา
ความกตัญญูกตเวทิตาของบรรพชน
ผสานกับการเดินทางทางปัญญา
ของพระพุทธศาสนา
ผ่านพระภิกษุสงฆ์สุปฏิปันโน
แห่งลุ่มน้ำบุ่งสระพัง จังหวัดอุบลราชธานี

ชรัง อนตีโต
เมื่อความชรามาเยือน
๕๕ ความเรียง
ว่าด้วยบทสนทนาของพระลูกชายกับโยมพ่อผู้ชรา

ผู้เขียน
ญาณวชิระ
(พระมหาเทอด ญาณวชิโร,วงศ์ชะอุ่ม)
อดีต พระราชกิจจาภรณ์

(ปู่คำแหง ปู่คำหาญ ปู่คำลือชา ปู่ทองลาย และปู่จันทวงศ์)
๕๑. สร้างบ้านแปงเมือง
(ปู่คำแหง ปู่คำหาญ ปู่คำลือชา ปู่ทองลาย และปู่จันทวงศ์)

การเลี้ยงปู่ตาคือฮีตคลองที่ชาวบ้านยึดถือปฏิบัติ จนเป็นแบบแผนของชุมชน นอกจากจะเป็นการแสดงความกตัญญูต่อบรรพชนผู้สร้างบ้านแปงเมืองแล้ว ชาวบ้านยังมุ่งหวังให้ปู่ให้ตาปกปักรักษาลูกหลานให้อยู่เย็นเป็นสุขอีกด้วย

บริเวณหอปู่บุ่งสระพังเคยเป็นที่ตั้งหมู่บ้านดั้งเดิม ก่อนจะย้ายหนีน้ำท่วมและโรคห่าขึ้นไปอยู่ดงบากใหญ่ในหมู่บ้านปัจจุบัน ทุกปีชาวบ้านจะมาเลี้ยงปู่เลี้ยงตาที่นี่ ยิ่งใครหากินอยู่กับบุ่งกับมูล ยิ่งต้องถือเป็นเรื่องสำคัญที่ขาดไม่ได้ เช่นเดียวกับพ่อถ้าไม่มีเหตุจำเป็นพ่อก็จะไม่ขาด

เมื่อถามว่าปู่เป็นใคร พ่อบอกว่าคือผู้ที่พาลูกหลานสร้างบ้านแปงเมืองมา ก่อนจะย้ายหมู่บ้านขึ้นไปอยู่ดงบากในปัจจุบัน

“จ้าวปู่บุ่งสระพังนั่นกะเป็นปู่ใหญ่เฮานี่แหล่ว บ่ว่าสิเป็นหยัง เป็นเรื่องเป็นราวมากะไปบอกไปเว้าปู่เบิ่ด มีหยังกะไปหาปู่”

“มื้อเลี้ยงปู่พ่อกะไปนำพวกผู้เฒ่าเพิ่น ไปจุดธูปจุดเทียน บอกเว้าให้ลูกไปเบิ่ดสู่อย่าง ปู่อยากได้หยังกะสิหาให้ หัวหมู่ท่อใด๋หัวกะสิหาให้ ปู่น้ำคำกะบนไว้คือกัน ปู่วัดป่าพิษเณศกะบอกเว้าไปเบิ่ดสู่อย่าง ทางพวกข้าวจ้ำกะซ่อยบอกเว้าให้นำ ไทบ้านกะไปเว้าไปว่าหลายคือกัน”

“ตั้งแต่เป็นเรื่องเป็นราวมาใหม่ ๆ พวกผู้เฒ่าผู้แก่เพิ่นกะพากันไปเว้าปู่เบิ่ดนั่นล่ะ จังว่า พ่อไปเลี้ยงปู่นำหมู่เพิ่นกะบะปู่เอาไว้ ปู่ท่าน้ำคำหัวหมูสามหัว ปู่ท่าหอสามหัว ปู่วัดป่ากะสามหัวคือกัน ส่วนโนนพระเจ้านั่นเด็กน้อยพากันไปบะ กะต้องไปแก้ ให้น้ำบุ่งลดลงก่อน มันแล้งมันใจแล้วจังค่อยไปแก้”

ปู่คำแหง ปู่คำหาญ ปู่คำลือชา ปู่ทองลาย และปู่จันทวงศ์ (หรือปู่ธรรมวงศ์) เป็นผู้นำในการตั้งชุมชนอยู่บริเวณดงพระคเณศ ริมแม่น้ำมูล เรียกว่า “บ้านตาเณศ” มีบ้านเรือนผู้คนกระจายกันอยู่ดงพระคเณศ ริมแม่น้ำมูล ตั้งแต่ปากบุ่งสระพัง เรื่อยไปจนถึงหอปู่ ท่าน้ำคำ และโนนพระเจ้า แต่เนื่องจากหมู่บ้านอยู่ใกล้แม่น้ำจึงมักประสบกับภาวะน้ำท่วมอยู่เป็นประจำ ประกอบกับเกิดโรคห่าลงร้ายแรงปีหนึ่ง ผู้คนล้มตายติดต่อกันคืนละสี่ห้าคน ชาวบ้านต่างหวาดกลัวจึงพากันแตกบ้านแตกเมืองหนีเข้าป่าเข้าดงไป

ปู่คำแหง ปู่คำหาญ ปู่คำลือชา ปู่ทองลาย และปู่จันทวงศ์ (หรือปู่ธรรมวงศ์) จึงปรึกษากัน เห็นว่า ควรพาลูกหลานย้ายหมู่บ้านขึ้นไปอยู่ดงบากใหญ่ ซึ่งก็คือที่ตั้งหมู่บ้านปากน้ำ ในปัจจุบัน แต่ปู่คำลือชาอยู่ท่าน้ำคำไม่ต้องการย้าย จะปักหลักอยู่ที่เดิม คงเพราะคิดว่าบ้านเรือนอยู่ใกล้บุ่งสระพัง ทำมาหากินสะดวก

พ่อใหญ่เลิศ เล่าให้ลูกหลานฟังว่า แต่เดิมนั้นปู่คำลือชาก็เป็นคนบ้านตาเณศ ปากบุ่งสระพังเหมือนกัน ต่อมา ได้ย้ายมาอยู่ท่าน้ำคำ

เมื่อปู่คำแหง ปู่คำหาญ ปู่คำลือชา และปู่ทองลายสิ้นชีวิตลง ลูกหลานจึงตั้งหอโฮงขึ้นเพื่อให้เป็นหลักบ้านหลักเมือง ทุกปีจะมีพิธีเลี้ยงปู่ตาไม่ขาด เพื่อระลึกถึงบุญคุณของท่านที่ได้พาลูกหลานสร้างบ้านแปงเมือง

ปู่ทองลายตั้งหอโฮงขึ้นที่ดงยางใหญ่ บ้านโนน รักษาทางทิศตะวันตก ปู่คำแหง ตั้งหอโฮงขึ้นที่ดงยางใหญ่ในวัดบ้าน รักษาทางทิศตะวันออก ส่วนปู่คำหาญอยู่หอปู่บุ่งสระพัง และปู่คำลือชาอยู่ท่าน้ำคำ ดูแลลูกหลานที่หากินอยู่ตามบุ่งตามมูล

ต่อมา ได้อัญเชิญปู่มาอยู่รวมกันที่หอปู่บุ่งสระพัง

พ่อใหญ่เลิศเล่าว่า ตอนย้ายปู่มาอยู่รวมกัน มีสาเหตุมาจากปีนั้น คนไปเลี้ยงควายฟากบุ่ง ตกน้ำตายมาก จนลือกันไปว่า เห็นผีเงือกผีมูล(รากษส) ขึ้นอยู่ในบุ่ง จึงไปนิมนต์พ่อถ่านดีโลด หรือ พระครูวิโรจน์รัตโนบล (รอด) วัดทุ่งศรีเมือง มาทำพิธีกันบ้านกันเมือง ใช้ก้อนหินลงอักขระโยนลงตามบุ่ง แล้วท่านก็ให้ย้ายปู่มาอยู่ด้วยกันที่หอปู่บุ่งสระพัง ให้มาคอยรักษาลูกหลานที่หาอยู่หากินตามบุ่งตามมูล จึงได้ย้ายมาตามที่พ่อถ่านดีโลดบอก

จากคำบอกเล่าของพ่อใหญ่เลิศ ประสานพิมพ์ (ปัจจุบัน อายุ ๙๑ ปี) ทำให้ได้ข้อมูลประวัติความเป็นมาของหมู่บ้านลึกลงไปอีก

เมื่อก่อนหมู่บ้านดั้งเดิมตั้งอยู่ที่บริเวณดงพระคเณศ ปากบุ่งสระพัง เรียกว่า “บ้านตาเณศ” มีบ้านเรือนตั้งอยู่ริมบุ่งสระพังเรื่อยไปจนถึงท่าน้ำคำ จะมีแม่ออกแม่ตนเดินกันมาตั้งแต่ท่าน้ำคำไปเพลที่วัดดงตาเณศ หาขุดเผือกขุดมันไปเพล เพราะเมื่อก่อนเป็นคนป่าคนดง ข้าวน้ำหายาก ไม่เหมือนทุกวันนี้ จะมีขัวน้อยอยู่ระหว่างให้เดินข้ามฮ่อง ซึ่งก็ตรงกับแม่ใหญ่คูณ(เคยเป็นนางเทียมของหมู่บ้าน) เล่าเอาไว้ว่า ตอนเป็นเด็กอายุไม่มากยังได้ไปเพลที่วัดป่า

พ่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับแม่ใหญ่คูณเอาไว้ว่า แม่ใหญ่คูณเป็นลูกผู้ใหญ่บ้านดวง ผู้ใหญ่บ้านดวงเป็นผู้ใหญ่บ้านที่มองการณ์ไกล คิดกันที่ดินสาธารณะเอาไว้ให้หมู่บ้าน แต่ผู้นำรุ่นต่อมาไม่มีใครสืบต่อแนวทางผู้ใหญ่บ้านดวง ตอนจะสร้างสถานีอนามัยจึงหาที่ดินติดถนนไม่ได้ พ่อถ่านต้องขอแลกที่ดินกับพ่อใหญ่เมืองขาโต พ่อใหญ่เมืองก็ยอม จึงย้ายบ้านมาอยู่หลังสถานีอนามัย

ส่วนโนนวัดท่านํ้าคำนั้น พ่อใหญ่เลิศบอกว่า พ่อใหญ่ดวงเป็นคนถวายดินท่าน้ำคำให้พ่อถ่านดีโลดสร้างวัด พ่อใหญ่ดวงบอกพ่อถ่านดีโลดว่า อยากได้วัด อยากให้มีพระมาอยู่ท่าน้ำคำ พ่อถ่านดีโลดจึงให้ไปนิมนต์ญาครูคำมาอยู่ (คือ พ่อใหญ่คำ ทองปรุง) มีพ่อใหญ่พิมพากับพ่อใหญ่สีเหลือง สองพี่น้องเป็นเจ้าวัดเจ้าโยมหลัก ๆ อยู่ที่วัดท่าน้ำคำ
ญาครูคำมาอยู่วัดท่าน้ำคำได้สองปีก็ลาสิกขา อยู่ต่อมาก็ได้เป็นผู้ใหญ่บ้านบ้านปากน้ำ วัดท่าน้ำคำไม่มีพระอยู่ก็ถูกปล่อยทิ้งร้างกลายเป็นไร่ปอ ประกอบกับชาวบ้านได้ย้ายขึ้นมาอยู่ในหมู่บ้านกันจนหมด ตอนหลังมาหลวงพ่อก็ให้พระเณรไปปลูกต้นไม้ขึ้นมาใหม่
ส่วนสาเหตุที่ต้องย้ายหมู่บ้านนั้น พ่อใหญ่เลิศเล่าว่า เนื่องจากสมัยก่อนบ้านเราไม่มีโรงว่านโรงยา(ไม่มีโรงพยาบาล) ปีหนึ่งเกิดโรคห่าลงหมู่บ้าน คนทยอยตายคืนละสี่ห้าคนติดต่อกัน ชาวบ้านจึงแตกบ้านแตกเมืองหนีเข้าป่าขึ้นไปอยู่ดงบากใหญ่
ผู้คนกลัวผี กลัวโรคอหิวา กลัวโรคห่า กลัวผีตายห่าตายโหง จึงพากันหนีโรคระบาด ต่างก็ถอนเสาบ้านเสาเรือนหนีเข้าป่าเข้าดงไปกันหมด
ผู้ที่พาย้ายบ้าน คือ ปู่คำแหงกับปู่ทองลาย จึงเกิดชุมชนแห่งใหม่ขึ้นที่ดงบากใหญ่

หลังจากปู่คำแหงกับปู่ทองลายตาย ลูกหลานจึงตั้งหอโฮงขึ้นให้เป็นเจ้าบ้านหลักเมือง ปู่ทองลาย รักษาทางทิศตะวันตก ปู่คำแหงรักษาทางทิศตะวันออก

พ่อใหญ่เลิศบอกว่า แต่ก่อนปู่ท่านก็เป็นคนธรรมดาเหมือนกันกับเรา เป็นเหมือนปู่ของปู่ของปู่เรา แต่ว่าท่านเป็นผู้นำพาสร้างบ้านแปลงเมือง หลังจากเสียชีวิต ลูกหลานก็สรรเสริญความดีท่าน จึงตั้งหอโฮงให้ท่าน คนสมัยก่อนเขานับถือกันอย่างนี้ เชิดชูผู้เฒ่าในชุมชนขึ้นมา เคยได้ยินพ่อใหญ่ดวงเล่าให้ฟังว่า คนที่ปรึกษาหารือกันพาลูกหลานย้ายบ้านขึ้นไปอยู่ดงบาก ก็คือ ปู่คำแหง ปู่คำหาญ ปู่คำลือชา ปู่ทองลาย และปู่จันทวงศ์(หรือปู่ธรรมวงศ์) แต่ปู่คำลือชาไม่ขอย้าย

เมื่อพิจารณาจากชื่อผู้นำชุมชนบ้านตาเณศ คำว่า “คำแหง” “คำหาญ” และ“คำลือชา” ล้วนมีลักษณะชื่อแม่ทัพนายกองสมัยโบราณ ซึ่งก็สอดคล้องกับปากคำของชาวบ้านที่เล่าต่อกันมาว่า บริเวณวัดป่าเคยเป็นสถานที่บำรุงเลี้ยงช้างม้าและไพร่พลของกองทัพบ้านดอนมดแดง เพื่อเตรียมไว้ทำศึก หาดทรายปากบุ่งสระพังมีลาน เป็นพื้นที่โล่งลาดเอียงนำช้างม้าลงมูลได้สะดวก จึงเป็นท่าน้ำที่แม่ทัพนายกองนำช้างม้าลงกินน้ำ

นอกจากนั้น มีเรื่องเล่าของหมู่บ้านว่า กลางคืนจะมีกองทัพช้างกองทัพม้าปู่มาเดินอยู่ตามหมู่บ้าน พอดึกสงัดมักจะได้ยินเสียงกระดิ่งจากคอช้าง ได้ยินเสียงเท้าม้าวิ่งผ่ากลางหมู่บ้าน ได้ยินเสียงเขาควายธนูของปู่วัดป่ากับปู่วัดบ้านลองวิชากันดังปุกปักอยู่ในอากาศ จนกลายเป็นหนึ่งเรื่องเล่าปรัมปราของชุมชนที่ลูกหลานทุกรุ่นต้องได้ยินคนเฒ่าคนแก่บอกเล่าสืบต่อกันมา ถ้าเด็กไม่ยอมนอน หรือตื่นขึ้นมากลางดึก พ่อแม่มักจะบอกลูกให้รีบนอน กลัวช้างกลัวม้าปู่

“ฮีบฟ้าวนอน ย้านม้าปู่ ย้านช้างปู่”
“อย่าปาก ได้ยินเสียงม้าปู่บ่นั่น ดังโก๊บกั๊บ ๆ อยู่นั่น”
“ได้ยินเสียงกระดิ่งช้างปู่บ่นั่น ดังกิ่ง ๆ อยู่นั่น”
“ได้ยินเสียงเขาควายธนูปู่ชนกันบ่นั่น”

พ่อใหญ่เลิศเล่าว่า แต่ก่อนดงบากที่ย้ายหมู่บ้านขึ้นไปอยู่นั้น มันเป็นป่าทึบมาก เป็นป่าช้างดงเสือ พ่อใหญ่ดวงว่าอย่างนั้น มีต้นบากใหญ่หลายต้นอยู่ใกล้กับศาลากลางบ้าน จึงเอาต้นบากเป็นชื่อหมู่บ้าน แล้วมาเปลี่ยนชื่อเป็นบ้านปากน้ำ เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๒๙

สาเหตุที่เปลี่ยนชื่อหมู่บ้าน ก็เป็นไปตามคำแนะนำของพระธรรมเสนานี(กิ่ง) เคยแนะนำเอาไว้ อยู่ต่อมา หลวงพ่อเปิดโรงเรียนพระปริยัติธรรมสอนบาลีขึ้นที่วัด จึงไปนิมนต์พระเทพกิตติมุนี(สมเกียรติ์) วัดป่าใหญ่ ซึ่งเป็นเจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานีมาเปิดโรงเรียน ท่านก็หารือกันเรื่องทีพระธรรมเสนานีให้เปลี่ยนชื่อหมู่บ้าน ขณะกำลังสร้างโรงเรียนหลังใหม่ก็ใช้กุฏิไม้หลังยาวเป็นโรงเรียนไปก่อน จนถึงพุทธศักราช ๒๕๖๓ อาคารไม้หลังนี้ ได้ถูกไฟไหม้เสียหายทั้งหลัง

สมัยนั้น พระเทพกิตติมุนีมาเปิดสอนบาลีอยู่ที่บ้านดอนนกชุม หลวงพ่อให้เณรเดินไปเรียนแต่ไม่ประสบผลสำเร็จ จึงส่งไปเรียนที่บ้านบ่อชะเนงและหัวตะพาน อำเภออำนาจเจริญ ก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จ ท่านจึงคิดเปิดโรงเรียนสอนบาลีขึ้นเองที่วัด เอาลูกศิษย์ที่เป็นมหาเปรียญมาเป็นครูสอนจึงค่อยมีพระเณรสอบได้เป็นมหาเปรียญขึ้นมา

ปีพุทธศักราช ๒๕๒๙ นั้น พระมหามังกรออกมาจำพรรษาอยู่วัดป่าฯ โดยมีสามเณรเทอดและสามเณรวิชาญเป็นสามเณรอุปัฏฐาก เดิมท่านเคยอยู่วัดนรนาถสุนทริการาม กรุงเทพมหานคร แล้วย้ายมาอยู่วัดสุปัฏนาราม ในเมืองอุบลราชธานี

ทุกวันพระ หลวงพ่อจะพาชาวบ้านปากน้ำออกมาฟังเทศน์อาจารย์มหามังกร จะมีญาติโยมจากในเมือง จากหมู่บ้านใกล้ไกลมาฟังเทศน์จำนวนมาก มีการจัดปฏิบัติธรรม นับว่าเป็นการเปิดป่าดงพระคเณศให้ผู้คนเข้ามาอีกครั้งนับตั้งแต่หลวงพ่อเข้ามานั่งวิปัสสนาและขุดพบพระพุทธรูปเงิน เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๑๕


เจ้าคุณวัดป่าใหญ่ท่านเป็นคนบ้านดอนนกชุม ตำบลกระโสบ และเป็นสหธรรมิกกับหลวงพ่อ ไปมาหาสู่กันมาช้านาน เวลาสงกรานต์มีเนาว์ที่ปากบุ่ง หลวงพ่อไปนิมนต์ท่านมาฉันข้าวป่า มาฉันลาบปลาปากบุ่ง ท่านก็มาไม่ขาด

สมัยที่บ้านกระโสบยังมาเนาว์ที่ท่ากระโสบ บุ่งสระพัง เข้าใจว่า ท่านก็มาเป็นประจำ จึงรู้ประวัติความเป็นมาและลักษณะทางภูมิศาสตร์ของบ้านปากน้ำเป็นอย่างดี ท่านหารืกันว่า ทุกวันนี้ ต้นบากที่เป็นสัญลักษณ์หมู่บ้านก็ไม่มีแล้ว บ้านบากน้ำชื่อมันไม่เข้ากันกับบุ่งสระพัง ให้เปลี่ยนชื่อเป็นบ้านปากน้ำจะได้ตรงกับที่ตั้งของหมู่บ้านดั้งเดิมซึ่งอยู่ที่ปากบุ่งสระพัง จะได้มีที่มาที่ไป ให้เปลี่ยนทั้งวัด ทั้งหมู่บ้าน หลวงพ่อเห็นว่า ก่อนหน้านี้พระธรรมเสนานีก็เคยแนะนำเอาไว้ จึงประชุมชาวบ้าน แล้วก็เปลี่ยนชื่อวัด ชื่อบ้าน

พอดีปีนั้นหลวงพ่อทำซุ้มประตูโขงขึ้นใหม่ ช่างถามหลวงพ่อว่าจะให้เขียนชื่อที่ซุ้มประตูวัดว่าอย่างไร หลวงพ่อบอกว่าให้เขียนชื่อวัดปากน้ำ (บุ่งสระพัง) ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาหมู่บ้านก็เปลี่ยนชื่อตามวัดไปด้วย
ช่างหยัด(กำจัด ถาวรพงศ์ เล่าว่า เท่าที่พอจะจำได้ ตอนช่างหยัดมาอยู่บ้านปากน้ำนั้น กลางบ้านยังมีตอบากอยู่สามต้น ตอบากต้นหนึ่งต่ำกว่าต้นอื่น แต่อีกสองต้นตอยังเหลือสูง แสดงว่า ต้นที่ตอยังสูงอยู่น่าจะตายทีหลัง แถวนั้นเป็นสวนพ่อใหญ่ภู จะเป็นโพนอยู่ตรงนั้น ต้นบากอยู่ตีนโพน ส่วนต้นแคนอยู่บนโพน
พ่อเล่าว่า ต้นบากใหญ่อยู่กลางบ้านมีหลายต้น พ่อยังทันได้เห็น ต้นหนึ่งอยู่ข้างเฮือนบักฝั้น (วงศ์ชะอุ่ม) อีแร้งชอบมาจับ เมื่อก่อนบ้านเรามีอีแร้งมาก ไม่รู้มาจากไหน ถ้าเอาหมาตายไปทิ้งไว้ฟากท่ง ได้วันสองวันเท่านั้นมันบินมากันแล้ว
นอกจากนั้น กลางบ้านยังมีต้นไฮและต้นงิ้วผาใหญ่อยู่ใกล้เฮือนสาวอั้ว หัวเฮือนอ้ายพวง อีแร้งมันชอบมาจับ พ่อเคยเอาหมาตายใส่แร้วเป็นเหยื่อดักจับ แต่มันไม่ติด ตามันดี มองลงมาแร้งมันก็รู้ว่ามีแร้ว มันก็บินเสิ่นวนเป็นวงกลมอยู่ข้างบน
“พ่อกับบักแสงเคหมู่พ่อ เคยพากันเอาหมาตายใส่แฮ้วดักแฮ้ง แต่มันบ่ติด ตามันดี แนมลงมามันฮู้ว่ามีแฮ้ว มันกะบินเสิ่นวนเป็นวงอยู่เทิงฟ้า แต่กี้ พ่อกับบักแสงเคไปนำกันดี มันขึ้นต้นไม้เก่ง พ่อขึ้นบ่เก่งคือมัน อยากกินหยังมันกะขึ้นให้กิน คันว่าอยากกินหมากยางมันกะปีนขึ้นให้กินโลด อายุมันสั้น คึดฮอดมันอยู่ มันดีนำโตหลาย”
พ่อบอกว่า นอกจากอีแร้งแล้วลิงลมก็มาก ถ้าเป็นอย่างทุกวันนี้ก็ไม่ควรไปทำอะไรมัน นึกดูแล้วลิงลมมันน่าสงสาร เวลาคนแกล้งมัน เอาหนังยางยิง มันจะขดตัวเข้า ยิ่งทำมันก็ยิ่งขดตัวเข้า น่าสงสาร มันมาจากดงปู่ เวลาไปเขาว่ามันบินเจิดไปเหมือนบ่าง
เมื่อก่อนถนนกลางบ้านยังเป็นทางเกวียน เป็นดินทราย ยังไม่ได้เป็นทางลูกรัง หลวงพ่อท่านมาพัฒนาให้เป็นทางลูกรังทีหลัง ตอนหัวค่ำพวกผู้บ่าวส่ำน้อยพากันไปหาเลาะเล่น พอเหนื่อยก็จะพากันมาชุมนุมนอนเกลือกดินทรายเล่นอยู่หัวตักบาตร ใกล้บ้านผู้ใหญ่บ้านคำ (พ่อแม่ช่วย-แม่ลิ) ยามหน้าแล้งเดือนแจ้ง ๆ อากาศร้อน ๆ ดินทรายมันเย็นดี บางคนก็ปูแพรลายนอนเล่นกลางดินทราย เห็นเป็นช้างปู่เดินมาหาก็พากันแตกหนี ไม่ใช่แค่พ่อคนเดียวที่เห็น พวกเพื่อนนอนเกลือกดินทรายอยู่ก็เห็นด้วยทุกคน ช้างน้อยยืนส่ายหัวไปมา อยู่หัวตักบาตร ก็พากันแตกหนีไปคนละทาง ว่าช้างปู่มาไล่
“จ้าวปู่กะคือคนตั้งบ้านตั้งเมืองเฮาแต่เก่านี่แหล่ว” พ่อเอ่ย
“ปู่ท่าน้ำคำชื่อปู่คำลือชา ส่วนปู่หอปู่ คือ ปู่ใหญ่ เพิ่นเป็นผู้พาตั้งบ้านตั้งเมืองเฮา พ่อแม่เพิ่นว่ามาจังซั้น ยามบุญเดือนหกกะต้องเลี้ยงฆ้องเลี้ยงกลองปู่ นางเทียมเพิ่นกะมาเชิญปู่ขึ้นไปเลี้ยง ไปเล่น ไปม่วนอยู่กกแคนใหญ่ข้างโรงเรียนพุ้นตี้”
“แต่ก่อนนั้นปู่เพิ่นศักดิ์สิทธิ์อีหลี ตอนพ่อเป็นบ่าวแน่ ทางกลางบ้านยังเป็นดินทราย เป็นทางเกวียน ยังบ่เป็นทางลูกรัง พวกผู้บ่าวส่ำน้อยพากันไปหาเลาะเล่น เมื่อยแน่กะพากันมานอนเกือกดินทรายโสเหล่กันอยู่ม้องหัวตักบาตร เฮือนผู้ใหญ่บ้านคำ พ่อแม่ซ่วยแม่ลิ มันมีต้นโพธิ์ศรีใหญ่อยู่ฮั่น ยามหัวค่ำหน้าแล้ง เดือนแจ้ง ๆ อากาศกะฮ้อน ๆ บางคนกะปูแพรลายนอนเกลือกดินทราย พ่อเงยหน้าไปเห็นเป็นช้างปู่ย่างเข้ามาหา เอิ้นให้หมู่เบิ่งกะพากันแตกหนี”
“บ่แม่นเห็นแต่โตคนเดียว พวกหมู่นอนเกลือกดินทรายเล่นอยู่นำกันกะเห็นเบิ่ดสู่คน”
พ่อยืนยันสิ่งที่พ่อประสบมาด้วยตัวเอง
“ช้างน้อยปู่ยืนส่ายหัวไปมาอยู่หัวตักบาตร โตกะเอิ้นหมู่ให้เบิ่ง หมู่เห็นเป็นช้างน้อยโตเป็น ๆ กะพากันแตกหนี ว่าช้างปู่มายำ ย้านช้างปู่” (*ยำ คือ ไล่ หรือ วิ่งไล่)
“แต่ก่อน คันไผเฮ็ดหยังบ่ถืกบ่ต้องนำบ้านนำเมือง ปู่เพิ่นสิขึ้นมาปรากฏตนปรากฏโตให้เห็นโลด สัตว์สาวาสิ่งบ่เคยเข้าบ้านเข้าเมืองกะเข้าบ้านคน มีเถื่อหนึ่งไทบ้านเฮ็ดบ่ถืก ไก่ป่าเข้ามาตีกันตายอยู่ในเฮือนผู้ใหญ่บ้านคำ คนกะย้านกันเบิ่ดบ้านเบิ่ดเมือง ว่าปู่เพิ่นขึ้นมาบอกมาเตือน”
“ก่อสิเซื่อว่าจ้าวปู่ศักดิ์สิทธิ์นั้น พ่อมันเคยเห็นมากับเจ้าของ บักแสงเค จารย์ผัน ลุงลิด(ป้าวรรณ) รุ่นหมู่นี้เคยเห็นช้างเห็นม้าปู่กันเบิ่ดสู่คน ถ้าเฮ็ดหยังบ่ถืกบ่ต้อง สิเป็นม้ามาแล่นนำบ้านโก๊บกั๊บ ๆ โลด”
“แต่กี้ศาลากลางบ้านอยู่เฮือนสาวยืน มีกกตาลใหญ่สูงกว่าหมู่อยู่ฮั่น ต้นตาลเบิ่ดบ้านกะแม่นต้นนี้ล่ะที่สูงกว่าหมู่ ค่ำมาแน่ อ้ายพันเหลืองได้ยินเสียงม้าปู่ดังโก๊บกั๊บ ๆ ผ่ากลางบ้านมา เลาย้านหลาย เต้นขึ้นศาลากลางบ้านข้างเฮือนสาวยืน จนเอิกแตกเอิกแตน ย้อนศาลาสูงอ้ายพันเหลืองเลาเต้นขึ้นบ่ได้ ม้าปู่เป็นโตเป็นตนแล่นผ่ากลางบ้านมาโก๊บกั๊บ ๆ คนเห็นกันเบิ่ดบ้านเบิ่ดเมือง”
“ตอนนั้น เฮือนพ่อใหญ่มาเป้า เลามีงัวหลายเต็มตะล่าง มันได้ยินเสียงม้าปู่แล่นผ่ากลางบ้านมา มันพาแตกคอกบื้นบั้น ๆ ปู่ขี่ม้าขึ้นมาแล่นนำทางกลางบ้าน”

“คันไทบ้านเฮ็ดหยังบ่ถืกบ่ต้อง ปู่เพิ่นแสดงอิทธิฤทธิ์โลด แต่กี้ มันเกิดอีหลี เดียวนี้เพิ่นบ่แสดงอิทธิฤทธิ์คือเก่าแล้ว แม่นเพิ่นบ่แสดงกะนับถือคือเก่านั่นล่ะ เพิ่นเบิ่งแงงลูกหลานบ้านเมือง”
“แต่กี้ บ้านเก่าเมืองเก่าอยู่บุ่ง มีบ้านมีเฮือนมาฮอดท่ากกแต้ พ่อกะได้ยินมาจังซั้น ข้างนาบักเวินไปหาท่าน้ำคำกะว่ามีบ้านคนคือกัน แต่ก่อนเป็นเฮือนแม่ใหญ่คำแสวง จักเป็นหยังจังซื่อจังซั้น พ่อกะพอทันอยู่ เพิ่นสืบกันมาดนหลายรุ่น จังมาขายให้พ่อใหญ่โหง่น มีบ้านคนไปหาหอปู่ จนฮอดดงพระคเณศ”
“ได้ยินว่า เวลาไทบ้านทางท่าน้ำคำกับดงพระคเณศ เพิ่นเทียวไปเทียวมาหากัน เพิ่นข้ามขัวน้อยไป จักอยู่ม้องใด๋ละขัวน้อย เพิ่นว่ามาจั้งซั้น”
“ตอนหนึ่งนั้น จ่าเรื่องไปซื้อดินพ่อใหญ่หยูอยู่ท่ากกดู่ ไปทางท่ากกไผ่ข้างหอปู่ เพิ่นขุดดินปลูกเฮือน กะพ้อหม้อกระดูกเป็นหม้อ ๆ แต่กี้ม้องฮั่นคือสิเป็นผีป่าช้าของบ้านเก่า มันจังมีหม้อกระดูก”
เรื่องกองทัพช้างกองทัพม้าโบราณบ้านตาเณศขึ้นมาวิ่งอยู่ตามหมู่บ้าน เป็นเรื่องเล่าปรัมปราของชุมชน ที่ลูกหลานต่างก็ได้ยินคนเฒ่าคนแก่บอกเล่าสืบต่อกันมา ไม่ต่างจากคำบอกเล่าเกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวปู่จากความทรงจำในวัยหนุ่มของพ่อ

เปลวเทียนจากปลายเทียนที่พ่อจุดบอกปู่สะบัดไหวไปมา ควันธูปจากปลายธูปลอยอ้อยอิ่งม้วนตัวไปตามทางลม เหมือนกำลังสื่อสารความรู้สึกในใจของพ่อให้ปู่รับรู้ ความทุกข์ในใจของพ่อเพิ่งจะคลี่คลายไป ใบหน้าของพ่อเพิ่งจะกลับมามีรอยยิ้ม ยังเหลือก็เพียงเวลาของการแก้บนที่พ่อเคยเอ่ยปากบอกปู่เอาไว้


เมื่อความชรามาเยือน
๕๕ ความเรียง
ว่าด้วยบทสนทนาของพระลูกชายกับโยมพ่อผู้ชรา
ISBN : ๙๗๘ – ๖๑๖ – ๙๓๓๗๘ – ๖ – ๗
ผู้เขียน : ญาณวชิระ
(พระมหาเทอด ญาณวชิโร,วงศ์ชะอุ่ม)
อดีต พระราชกิจจาภรณ์
ปีที่พิมพ์ : ๒๕๖๗
จำนวนพิมพ์ : ๑,๐๐๐ เล่ม
จำนวนหน้า : ๓๐๔ หน้า
จัดพิมพ์ โดย : สถาบันพัฒนาพระวิทยากร
เลขที่ ๓๔๔ อาคารสันติวัคคีย์ แขวงบ้านบาตร
เขตป้อมปราบ กรุงเทพมหานคร ๑๐๑๐๐
พิมพ์ที่ : หจก.นิวไพศาลการพิมพ์
เลขที่ ๕๓ เจริญนคร ๔๖ บางลำพูล่าง
เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร
ชรัง อนตีโต : เมื่อความชรามาเยือน ๕๑. “สร้างบ้านแปงเมือง(ปู่คำแหง ปู่คำหาญ ปู่คำลือชา ปู่ทองลาย และปู่จันทวงศ์)” ผู้เขียน ญาณวชิระ (พระมหาเทอด ญาณวชิโร,วงศ์ชะอุ่ม) อดีต พระราชกิจจาภรณ์

