
เมื่อความชรามาเยือน
๕๕ ความเรียง
ว่าด้วยบทสนทนาของพระลูกชายกับโยมพ่อผู้ชรา
ผู้เขียน
ญาณวชิระ
(พระมหาเทอด ญาณวชิโร,วงศ์ชะอุ่ม)
อดีต พระราชกิจจาภรณ์
ชรัง อนตีโต
เมื่อความชรามาเยือน
๕๕ ความเรียง
ว่าด้วยบทสนทนาของพระลูกชายกับโยมพ่อผู้ชรา
ผู้เขียน
ญาณวชิระ
(พระมหาเทอด ญาณวชิโร,วงศ์ชะอุ่ม)
อดีต พระราชกิจจาภรณ์


ชรัง อนตีโต : เมื่อความชรามาเยือน ๔๖. “ลูกครึ่งฝรั่งมาปลูกตูบหาปลาที่นาหัวบุ่ง” ผู้เขียน ญาณวชิระ (พระมหาเทอด ญาณวชิโร,วงศ์ชะอุ่ม) อดีต พระราชกิจจาภรณ์

๔๖. ลูกครึ่งฝรั่งมาปลูกตูบหาปลาที่นาหัวบุ่ง

วันนี้ฝนตกหนักตั้งแต่เช้ามืดมาหยุดเอาใกล้เที่ยง บ่ายมาหน่อยจึงเริ่มมีแดด แม่ก็ไม่อยู่ ชวนหลานชายไปเอาผือมาต่ำสาด บอกไม่ให้ไป ก็ไป สาดยังมีอยู่เต็มบ้านเต็มเฮือน ใช้ไม่หมด
พ่อพูดไปเหมือนไม่มีอะไรจะพูด

พอฝนหยุด นั่งอยู่เฉย ๆ ไม่รู้จะทำอะไร จึงขับมอเตอร์ไซค์จากนาหนองผักบ้ง ไปบ้านหนองทาม ขับไปเรื่อย ๆ ไม่ได้มีจุดหมายอะไร กะจะแวะบ้านลุงดิษฐ์ แต่ไม่เห็นอยู่บ้าน จึงวกลงไปชลประทาน มาพบผู้ใหญ่บ้านวันเลี้ยงวัวอยู่ที่ทางล้อจึงจอดรถแวะนั่งคุยด้วย

พ่อบอกผู้ใหญ่บ้านวันว่า ถ้ามีแรงเหมือนเมื่อก่อนก็ยังอยากซื้อวัวซื้อควายมาเลี้ยงเหมือนกัน ผู้ใหญ่บ้านวันบอกว่า ตอนนี้อายุมากแล้ว แก่แล้วหยุดได้แล้ว

พ่อบอกว่า “เว้านำความอยากมันหยุดบ่ได้ดอก มันกะอยากจนฮอดมื้อตายพู้นละ ตายมื้อใด๋กะเบิ่ดอยากมื้อนั้น คนถ้ายังบ่ตาย มันกะยังอยากอยู่ -ความอยากมันหยุดไม่ได้ดอก คนถ้ายังไม่ตาย มันก็ยังอยากอยู่”

นาผู้ใหญ่บ้านวันอยู่ถัดขึ้นมาทางหัวชลประทาน ใกล้กับนาพ่อเสริม เรียกว่า “ทางล้อ” ส่วนทำไมจึงเรียกทางล้อนั้นพ่อก็ไม่รู้ความเป็นมา รู้เพียงว่า แต่เดิมตรงนี้เป็นทางที่คนบ้านกระโสบ บ้านหนองทามเทียวข้ามฟากฮ่องไปเผาถ่าน ต้มเกลือ คงจะใช้เกวียน ใช้รถซุก(รถเข็น)ขนถ่าน ขนเกลือข้ามฟากไปมา นานเข้าทางล้อกลายเป็นโสกลึกตามรอยเกวียน รอยรถซุก จึงเรียกว่า “ทางล้อ” ซึ่งก็คงจะหมายถึงทางล้อเกวียน

บางทีก็เรียกเกวียนเรียกรถซุกว่า “ล้อ”
เมื่อทางการมาสร้างชลประทานกั้นฮ่องวังหล่ม ฮ่องวังหวาย และฮ่องหนองไผ่ น้ำได้ท่วมทางล้อ คนจึงเปลี่ยนไปข้ามฟากฮ่องตามสันชลประทานแทน

นอกจากชลประทานจะท่วมทางล้อแล้ว ยังท่วมวังหล่ม วังหวายไปด้วย จะเหลือให้เห็นอยู่ก็แค่โนนเก่าศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นเกาะอยู่กลางน้ำ สองเกาะ คือ เกาะวังหล่มกับเกาะวังหวาย

เมื่อก่อนนมนานมาแล้ว บนเกาะจะมีศาลไม้เตี้ย ๆ อยู่ ผู้คนแถบนี้เกรงขามกันนัก บางคนก็ไปขอหวย ขอเบอร์ ทุกวันนี้ศาลไม้กลางเกาะคงจะผุพังไปแล้ว

แม้คนจะไม่ได้ใช้เส้นทางนี้มานานแล้ว แต่ร่องรอยทางล้อดั้งเดิมที่บ่งบอกว่าเคยมีคนเทียวจนเป็นโสกได้มาสิ้นสุดลงที่ริมชลประทานตรงนาผู้ใหญ่บ้านวันก็ยังปรากฏอยู่จนถึงทุกวันนี้

พ่อเล่าเสริมว่า ทางล้อคงจะเชื่อมมาจากบ้านกระโสบ ผ่านบ้านหนองทามมาถึงนาผู้ใหญ่บ้านวัน ถัดไปก็เป็นนาพ่อใหญ่เสริม แล้วข้ามฟากฮ่องยาวไปจนถึงท่าเตาไห ริมฝั่งแม่น้ำมูลตรงข้ามกับบ้านท่าหมากมั่ง มีทางเชื่อมไปหาบ้านกุดลาดแล้วเชื่อมต่อเข้าไปในเมือง

“แต่ก่อนแม่ใหญ่แก้ว เมียพ่อใหญ่จันทร์กะมาเหยียบกระดูกงูเห่าอยู่กอหญ้าหมกเต่าใกล้ท่าเตาไหนี่ เลาจังตาย”
แม่ใหญ่แก้วเป็นเมียคนแรกของพ่อใหญ่จันทร์ บ้านดงเจริญ ทั้งสองคนมาปลูกตูบหาปลาอยู่ท่าซาละวัน หัวบุ่ง พอแม่ใหญ่แก้วเหยียบกระดูกงูเห่าล้มป่วยจนตาย อยู่ต่อมาพ่อใหญ่จันทร์ก็มาเอากับนายโสม แล้วพ่อใหญ่จันทร์ก็พานายโสมมาหาปลาที่ท่าซาละวันเช่นเคย

ตอนนั้นนายโสมมีลูกสาวยังน้อย ๆ คงจะรุ่นราวคราวเดียวกันกับพวกลูก ๆ วันหนึ่งนายโสมเห็นลูกขุดหลุมหาปลาอยู่ท่าซาละวัน จึงพูดพาโลหยอกว่า “คือดุแท้!* ใหญ่มาสิเอาเป็นลูกเขย” ตอนนั้น ลูกก็ยังเด็กอยู่มาก บอกว่า “เออ! เอาเป็นลูกเขยกะสิหาเงินมาแต่งอยู่ดอก” (*ดุ คือ ขยัน)

ต่อมา พ่อใหญ่จันทร์เลิกกับนายโสมก็มาเอากับนายจร คนบ้านดงเจริญด้วยกัน นายจรเคยมีผัวมาก่อน เป็นฝรั่ง มีลูกสาวด้วยกันคนหนึ่ง ด้วยความที่ลูกสาวนายจร เป็นลูกครึ่งจึงตัวโตหน้าตาเหมือนฝรั่ง

เมื่อนายจรเลิกกับฝรั่งจึงมาอยู่กับพ่อใหญ่จันทร์ ก็พากันมาปลูกตูบหาปลาอยู่ท่าชาละวันเหมือนเดิม ตอนนั้น ลูกสาวนายจรก็โตแล้ว ชอบมาพูดหยอกล้อเล่นหัวอยู่เถียงนากับพวกเด็ก ๆ จึงมาคุ้นเคยอยู่กับน้าเวิน

ลูกสาวนายจรโตเป็นสาวก็เอาลูกเอาผัว มีครอบมีครัว ได้ผัวเป็นพ่อค้าขายหมู ทำเขียงหมูอยู่ในตลาดก็เทียวเอาหมูออกมาให้น้าเวินอยู่เป็นประจำ เพราะรู้จักมักคุ้นกันกับน้าเวินมาตั้งแต่คราวพ่อใหญ่แม่ใหญ่ยังอยู่ จะว่าไปก็เหมือนญาติพี่น้องกัน

พ่อเล่าถึงท่าเตาไหว่า ตอนยายแก้วไปเหยียบกระดูกงูอยู่กอหญ้าหมกเต่า ท่าเตาไห ก็มานอนป่วยอยู่ตูบที่ท่าซาละวัน นานเข้าพ่อใหญ่จันทร์เห็นว่าคงไม่ไหวจึงพากลับบ้าน อยู่ต่อมายายแก้วทนเจ็บปวดไม่ไหวจึงตาย

ท่าเตาไหอยู่ฝั่งมูลตรงข้ามกับบ้านท่าหมากมั่ง เลยท่ากกฉำฉาขึ้นไปอีก จากนั้นก็เป็นหนองปัจฉิม หนองบัวทอง กุดอ้อ แถบบ้านกุดลาด จึงเป็นท่าเตาไห ถ้าวัวควายชาวบ้านกุดลาด บ้านปากน้ำหาย หรือถูกขโมย ก็ต้อง พากันมาตามหาที่เตาไหนี้

เมื่อก่อนท่าเตาไหยังเป็นป่าเป็นโคก เต็มไปด้วยเฟือยฝ้ายน้ำและป่าหัวลิง แต่ทุกวันนี้คงแปนไปหมดแล้ว ที่เรียกท่าเตาไหก็เพราะบริเวณนั้นมีเตาเผาไห คนจึงเรียก “ท่าเตาไห” ที่เขามาทำเตาเผาไหอยู่ตรงนั้นก็คงเป็นเพราะดินเหนียวแถบนั้นใช้ปั้นไหได้ดี และยังมีดงหัวลิงหาฟืนเผาไหได้ง่าย ชาวบ้านกุดลาดจึงเรียกท่าเตาไหว่า “ท่าดินดาก” และเรียกหนองน้ำว่า “หนองดินดาก” ซึ่งน่าจะเป็หนองน้ำที่เกิดจากการขุดเอาดินดากไปเผาเตา เผาไห

แต่เตาไหจะมีมาตั้งแต่เมื่อไหร่พ่อก็ไม่รู้ จำความได้ก็เรียกกันมาอย่างนั้น ทุกวันนี้คงเลิกกันไปหมดแล้ว

พ่อบอกว่า คนแถบนี้รู้จักท่าเตาไหกันหมด ถ้าวัวควายถูกลักถูกขโมยต้องไปดักที่ท่าเตาไห เพราะคนขโมยวัวขโมยควายจะเอาไปซุ่มไว้ที่ดงใกล้เตาไห พอเงียบคนหน่อยเห็นว่าคนเลิกตามแล้วก็ค่อยเอาควายข้ามน้ำมูลไปทางบ้านท่าหมากมั่ง บางทีเอาควายข้ามน้ำมูลไปยากก็ฆ่าในป่าพี้ป่าหัวลิง แล่เอาเฉพาะเนื้อใส่เรือข้ามไปขาย เจ้าของตามมาก็เห็นแต่หัวกับหนัง

สมัยนั้นพอเอาควายข้ามท่าเตาไหไปได้ก็ไม่มีทางตามเอาคืนมาได้ ต้องทำใจว่าเสียควาย แต่ถ้ายังเอาข้ามไปไม่ได้ก็ยังพอมีหวังว่าจะได้ควายคืน
แล้วพ่อก็เล่าเหตุการณ์ที่ควายแม่ใหญ่มิ่งถูกขโมยว่า

เมื่อก่อนคนขโมยควายแม่ใหญ่มิ่งไป ๙ ตัว พอตามรอยควายไปจึงรู้ว่าเขาเอาไปทางท่าเตาไห ด้วยความที่ควายถูกขโมยไปเป็นฝูงจึงเห็นรอยเหยียบย่ำไปเป็นทาง ทำให้ตามได้ง่าย แต่พอไปถึงท่าเตาไหก็ไม่เห็นควาย เพราะฝนเกิดตกลงมาลบรอยควาย เขาเอาไปอักซุ่ม*ไว้ในป่า (*อักซุ่ม คือ แอบซ่อนเอาไว้)
พ่อเล่าเสริมว่าเวลาควายหายบางทีฝนตก ๆ ให้ดูน้ำที่รอยควาย ถ้ารอยควายยังขุ่น ๆ อยู่ ก็รู้ว่าเพิ่งถูกไล่ผ่านไปทางนี้ก็ตามรอยควายไป
ผู้ใหญ่ปุ้ย เกษมทางเป็นคนพาชาวบ้านไปตามหาควาย
ผู้ใหญ่ปุ้ยเป็นคนกว้างขวาง พวกนักเลงรู้จักมาก ตอนนั้นเขาเอาควายข้ามมูลไม่ทัน คงเพราะขโมยมาหลายตัว เมื่อเห็นว่าจวนตัวจึงเอาไปอักซุ่มไว้ในป่าหัวลิง เอาใบไม้อุดขอควายไว้ไม่ให้มีเสียง (*ขอควาย คือ เกราะหรือกระดิ่งที่คอควาย) แล้วก็เรียกค่าไถ่เป็นเงิน ๖,๐๐๐ บาท แลกกับการบอกที่ซ่อนควาย ๙ ตัว
พ่อบอกว่า สมัยนั้นเงิน ๖,๐๐๐ บาทไม่ใช่น้อย แม่ใหญ่มิ่งก็ต้องหาเงินไปไถ่ควาย ตอนจะเอาเงินไปไถ่ควายคืนมา เขาให้ผู้ใหญ่ปุ้ยถือเงินไปคนเดียว ห้ามให้ใครตามไปด้วย ผู้ใหญ่ปุ้ยก็ใจนักเลงจึงไม่ให้ใครตามไป
อาวลีไม่ยอมจะตามไปด้วยท่าเดียว ผู้ใหญ่ปุ้ยบอกว่า
“ถ้าเว้าจังซี้ กูบ่ไป สูพากันไปเว้ากันเอาเอง”
อาวลีจึงยอม ผู้ใหญ่ปุ้ยจึงเอาเงินไปให้เขา พอได้เงินแล้วเขาก็บอกตำแหน่งที่เอาควายไปซุ่มไว้ อยู่ในดงฝ้ายน้ำใกล้ท่าเตาไห
พ่อบอกว่าที่จริงตอนนั้นก็เหมือนขโมยควายไปเรียกค่าไถ่ แต่ถ้าตามไม่ทันหรือไม่มีใครตาม เขาจะเอาข้ามมูลไปขายต่อ แต่พอกะว่าเอาควายข้ามมูลไม่ทันแน่แล้ว เขาจึงเปลี่ยนมาเรียกค่าไถ่แทน
ตอนที่ผู้ใหญ่ปุ้ยไปเจรจานั้น เขานัดไปเจรจากันที่บ้านธาตุท่งเดิ่น อำเภอวาริน ถัดจากบ้านธาตุท่งเดิ่นก็เป็นบ้านนาเยีย เดชอุดม
“ผู้ใหญ่ปุ้ย เกษมทางกะเป็นซุมแซงทางแม่ใหญ่คูณ ประสานพิมพ์ แม่พ่อถ่านเฮานี้ล่ะ พวกลูกเต้าผู้ใหญ่ปุ้ยกะรู้จักมักแก่นกับแม่ทุกคน เป็นเจ้าภาพกฐินปีนั้นกะได้เป็นเจ้าภาพฮ่วมกัน” พ่อกล่าว

ชรัง อนตีโต : เมื่อความชรามาเยือน ๔๖. “ลูกครึ่งฝรั่งมาปลูกตูบหาปลาที่นาหัวบุ่ง” ผู้เขียน ญาณวชิระ (พระมหาเทอด ญาณวชิโร,วงศ์ชะอุ่ม) อดีต พระราชกิจจาภรณ์


เมื่อความชรามาเยือน
๕๕ ความเรียง
ว่าด้วยบทสนทนาของพระลูกชายกับโยมพ่อผู้ชรา
ISBN : ๙๗๘ – ๖๑๖ – ๙๓๓๗๘ – ๖ – ๗
ผู้เขียน : ญาณวชิระ
(พระมหาเทอด ญาณวชิโร,วงศ์ชะอุ่ม)
อดีต พระราชกิจจาภรณ์
ปีที่พิมพ์ : ๒๕๖๗
จำนวนพิมพ์ : ๑,๐๐๐ เล่ม
จำนวนหน้า : ๓๐๔ หน้า
จัดพิมพ์ โดย : สถาบันพัฒนาพระวิทยากร
เลขที่ ๓๔๔ อาคารสันติวัคคีย์ แขวงบ้านบาตร
เขตป้อมปราบ กรุงเทพมหานคร ๑๐๑๐๐
พิมพ์ที่ : หจก.นิวไพศาลการพิมพ์
เลขที่ ๕๓ เจริญนคร ๔๖ บางลำพูล่าง
เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร