ทศชาติ : ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง เขียนโดย ญาณวชิระ : พระราชกิจจาภรณ์ (เทอด ญาณวชิโร)
ทศชาติ : ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง เขียนโดย ญาณวชิระ : พระราชกิจจาภรณ์ (เทอด ญาณวชิโร)

ขอน้อมถวาย

ผลงานนี้ไว้ในพระพุทธศาสนา

เพื่อเป็นพุทธบูชา

กาเยนะ วาจายะ วะ เจตะสา วา
พุทเธ กุกัมมัง ปะกะตัง มะยา ยัง พุทโธ ปะกิคัณหาตุ อัจจะยันตัง กาลันตะเร สังวะริตุง วะ พุทเธ ฯ

หากจะมีกรรมอันน่าติเตียนใด ที่ข้าพเจ้าได้ทำผิดพลาดไว้ต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ว่าจะเป็นทางกาย ทางวาจา หรือทางใจ ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จงยกโทษล่วงเกินนั้น เพื่อข้าพเจ้าจะได้มีความสำรวมระวัง ต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในกาลต่อไปฯ

ญาณวชิระ

พระราชกิจจาภรณ์ (เทอด ญาณวชิโร)

ทศชาติ : ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง

การบำเพ็ญบารมีสิบชาติสุดท้ายก่อนตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า

“ขุนเขาย่อมมีวันทลาย สายน้ำย่อมมีวันเปลี่ยนทาง

แต่ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง”

เขียนโดย ญาณวชิระ

: พระราชกิจจาภรณ์ (เทอด ญาณวชิโร)

คำนำผู้เขียน

ทศชาติ เป็นเรื่องราวในอดีตชาติของพระพุทธเจ้า ขณะที่พระองค์กำลังบำเพ็ญบารมี เพื่อบรรลุพระโพธิญาณ และเป็นเรื่องราวทางพระพุทธศาสนาที่ชาวโลก ไม่เฉพาะแต่คนไทยรู้จักมากที่สุดเรื่องหนึ่ง บรรพบุรุษไทยในอดีต ได้นำทศชาติมาเขียนเป็นจิตกรรมฝาผนังพระอุโบสถตามวัดต่างๆ บอกเล่าเรื่องราวให้ลูกหลานได้ศึกษาเส้นทางชีวิตมหาบุรุษ ผู้ที่จะเกิดมาเป็นพระศาสดาเอกของโลกหลายปีมาแล้ว ผู้เขียนชอบเข้าไปนั่งในพระอุโบสถ ดูภาพจิตกรรมฝาผนัง วันแล้ววันเล่าไม่รู้จักอิ่ม ความงดงามของภาพจิตรกรรม ดึงผู้เขียนให้จมลึกลงไปสู่เหตุการณ์และเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตตามภาพจิตรกรรม ทั้งงดงามและอิ่มเอิบ

ค่ำคืนวันหนึ่ง เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) ได้ปรารภถึงเรื่องอยากให้มีหนังสือทศชาติที่อ่านง่าย และเหมาะสมกับสมัยปัจจุบัน พร้อมกับส่งหนังสือให้เล่มหนึ่ง วันเวลาล่วงเลยมาจนถึงจนถึงต้นปีพุทธศักราช ๒๕๔๙ ผู้เขียนเริ่มเปิดพระไตรปิฎกและอรรถกถาออกอ่าน แล้วผู้เขียนก็จมหายไปกับเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ในอดีตชาติของพระพุทธเจ้าบางเรื่องราวดูเจ็บปวดหนักหน่วงในชีวิตมนุษย์ จนไม่น่าเชื่อว่าจะมีชีวิตเช่นนี้อยู่จริงบนโลก

บางเรื่องราวดูงดงาม บางเรื่องราวดูเหงาเศร้า แต่ทั้งหมดก็เต็มไปด้วยพลังแห่งความเพียรพยายามของมหาบุรุษเอกของโลก พระพุทธเจ้าทรงเป็นมนุษย์โดยเลือดเนื้อและชีวิตอย่างมนุษย์ทั่วไป แต่ทรงสูงส่งยิ่งด้วยพระปัญญาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระกรุณาธิคุณ เหนือมนุษย์และเทวดาทุกผู้ทุกนาม ผู้เขียนพยายามเก็บความจากพระไตรปิฎก และอรรถกถาให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้ แล้วนำมาจัดเรียงหัวข้อใหม่ เพื่อให้น่าสนใจและชวนติดตามมากขึ้น โดยได้เชื่อมโยมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยพุทธกาลไว้ด้วย

นอกจากนั้น ยังได้นำแผนที่แสดงที่ตั้งเมืองต่างๆ ในชมพูทวีปและสุวรรณภูมิสมัยโบราณมาประกอบไว้ เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น บางเมืองในชาดกยังมีชื่อปรากฏอยู่ในสมัยพุทธกาล บางเมืองได้เปลี่ยนชื่อไปหลายชื่อ แต่บางเมืองก็ถูกกลืนหายไปกับกาลเวลา บางเรื่องบางเหตุการณ์ในทศชาติ อาจดูเป็นเรื่องเกินจริงสำหรับชีวิตมนุษย์คนหนึ่ง แต่หากพิจารณาให้เห็นถึงอัจฉริยภาพของบุคคลผู้เป็นมหาบุรุษแล้ว เหตุการณ์ดังกล่าว มีโอกาสเกิดขึ้นกับชีวิตมนุษย์ได้เสมอ.

ญาณวชิระ

: พระราชกิจจาภรณ์ (เทอด ญาณวชิโร)

ธันวาคม ปีพุทธศักราช ๒๕๔๙

ทศชาติ : ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง เขียนโดย ญาณวชิระ : พระราชกิจจาภรณ์ (เทอด ญาณวชิโร)
ทศชาติ : ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง เขียนโดย ญาณวชิระ : พระราชกิจจาภรณ์ (เทอด ญาณวชิโร)

ทศชาติ : ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง (ชาติที่ ๑) พระเตมีย์ : เนกขัมมบารมี (ตอนที่ ๒) “ปณิธานมหาบุรุษ” เขียนโดย ญาณวชิระ : พระราชกิจจาภรณ์ (เทอด ญาณวชิโร)

ทศชาติ : ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง เขียนโดย ญาณวชิระ : พระราชกิจจาภรณ์ (เทอด ญาณวชิโร)
ทศชาติ : ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง เขียนโดย ญาณวชิระ : พระราชกิจจาภรณ์ (เทอด ญาณวชิโร)

ปณิธานมหาบุรุษ

ภายหลังจากนั้น พระเจ้ากาสิกราชดำริว่า พระโอรสควรจะได้เด็ก ๕๐๐ คน มาเป็นบริวารจะได้เบิกบานใจ จึงรับสั่งให้นำกุมารทั้งหมดมาเลี้ยงในราชสำนักของพระเตมีย์ พวกเด็กต่างร้องดื่มนมะกระจองอแง แต่พระเตมีย์กลับนิ่งเฉยไม่ทรงกันแสง เพราะถูกสะกดด้วยภาพนรกอันน่าหวาดกลัว ทรงครุ่นคิดว่า

“จากวันนี้เป็นต้นไป แม้เลือดเนื้อจะเหือดแห้งไป แม้ร่างกายจะแตกดับ เราจะไม่ทำลายปณิธาน”

เหล่านางนมเห็นผิดปกติ จึงกราบทูลให้พระนางจันทาเทวีทราบ พระนางกราบทูลแด่พระราชา พระราชารับสั่งให้เรียกประชุมเหล่าพราหมณ์ ตรัสถามถึงความผิดปกติของพระโอรส พราหมณ์กราบทูลพระราชาให้นางนมถวายนมพระกุมารช้ากว่าปกติ เมื่อทำเช่นนี้ก็จะทำให้พระกุมารทรงกันแสงขอดื่มนมเอง

นางนมทั้งหลายก็ปฏิบัติตาม ได้ถวายน้ำนมแด่พระเตมีย์กุมารช้ากว่าปกติ บางครั้งถวายนมช้ากว่ามื้อหนึ่ง บางครั้งไม่ถวายตลอดทั้งวัน แม้พระเตมีย์จะหิวแสนหิว ก็ไม่ทรงกรรแสงร้องขอเสวยนม

พระมารดาเห็นพระโอรสอดนมนานขนาดนั้นก็สงสาร ทรงร้อนพระทัยจึงให้เสวยน้ำนมจากพระถันของตนเอง ทารกคนอื่นเมื่อได้ดื่มนมช้ากว่าเวลาลงบ้าง ไม่ได้นอนตามเวลาบ้าง ต่างก็ร้องไห้ระงมไปทั่ว แต่พระเตมีย์กุมารไม่ทรงกรรแสง ไม่ทรงคร่ำครวญ ไม่คู้พระหัตถ์และพระบาท ไม่ส่งเสียงใดๆ

นางนมทั้งหลายวิเคราะห์กันว่า

มือและเท้าของคนง่อยเปลี้ยก็ตาม ปลายคางของคนใบ้ก็ตาม ช่องหูของคนหูหนวกก็ตาม ไม่น่าจะเป็นอย่างนี้

จะต้องมีสาเหตุอะไรสักอย่างทำให้พระกุมารกลายเป็นเช่นนี้ จึงคิดกันว่า จะทดลองพระกุมารเรื่องน้ำนมก่อน แล้วไม่ถวายน้ำนมพระกุมารตลอดทั้งวัน แม้ร่างกายพระเตมีย์จะอ่อนระโหยโรยแรงก็ไม่กรรแสงขอนม

แม้นางนมจะทดลองไม่ถวายน้ำนมตลอดทั้งวันอย่างนี้เป็นเวลาปีหนึ่ง ก็ไม่เห็นพิรุธของพระกุมารแต่อย่างใด

ทศชาติ : ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง เขียนโดย ญาณวชิระ : พระราชกิจจาภรณ์ (เทอด ญาณวชิโร)
ทศชาติ : ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง เขียนโดย ญาณวชิระ : พระราชกิจจาภรณ์ (เทอด ญาณวชิโร)

ถูกทดลอง

เมื่อพระเตมีย์อายุได้ ๑ ชันษา พวกอำมาตย์กราบทูลพระราชาว่า “ตามปกติเด็กที่มีอายุหนึ่งขวบชอบขนม และของเคี้ยว พวกข้าพระองค์จะทดลองพระกุมารด้วยขนมและของเคี้ยว” จึงทดลองนำเด็กบริวารทั้งหมดมานั่งห้อมล้อมพระราชกุมาร ให้ทำขนมและของเคี้ยวมากมาย ไปวางไว้ใกล้ๆ พระเตมีย์ปล่อยให้เด็กทั้งหมดยื้อแย่งกันกินขนมตามชอบใจ ส่วนพวกอำมาตย์พากันแอบสังเกตดู เด็กคนอื่นๆ ทั้งทะเลาะทั้งยื้อแย่งกันกินขนม

ส่วนพระเตมีย์ แม้จะหิวแสนหิวก็อดกลั้น บอกตัวเองว่า

“เตมีย์ ถ้าต้องการไปนรก ก็กินขนมและของเคี้ยวนั้น”

เพราะกลัวภัยในนรก ซึ่งปรากฏอยู่ในห้วงสำนึก จึงไม่ทอดพระเนตรดูขนมและของเคี้ยวเลย แม้พระเตมีย์ถูกทดลองด้วยขนมและของเคี้ยวอยู่เช่นนี้ เป็นเวลานานแรมปี ก็ไม่แสดงพิรุธแต่อย่างใด

เมื่อพระเตมีย์อายุได้ ๒ ชันษา พวกอำมาตย์กราบทูลพระราชาว่า “เด็กอายุ ๒ ขวบชอบผลไม้ พวกข้าพระองค์จะทดลองพระกุมารด้วยผลไม้” จึงนำผลไม้ไปวางไว้ใกล้ๆ พระเตมีย์และเด็กบริวาร ปล่อยให้ยื้อแย่งกันกินผลไม้ตามใจชอบ แล้วพากันยืนแอบดู เด็กคนอื่นๆ ต่างต่อสู้ทุบตีกันยื้อแย่งผลไม้มาเคี้ยวกิน

ส่วนพระเตมีย์บอกตัวเองว่า

“เตมีย์ ถ้าอยากไปนรก ก็กินผลไม้นั้นเถิด”

เพราะกลัวจะไปเกิดในนรก จึงไม่ทอดพระเนตรผลไม้นั้นเลย แม้พระกุมารถูกทดลองด้วยผลไม้อยู่เช่นนี้เป็นเวลานานแรมปี ก็ไม่แสดงพิรุธแต่อย่างใด

เมื่อพระเตมีย์อายุได้ ๓ ชันษา พวกอำมาตย์กราบทูลพระราชาว่า “เด็กอายุ ๓ ขวบชอบของเล่น พวกข้าพระองค์จะทดลองพระกุมารด้วยของเล่น” จึงทดลองนำรูปช้างปั้น รูปม้าปั้น และรูปปั้นสัตว์ชนิดต่างๆ ไปวางไว้ใกล้ๆ พระเตมีย์และบริวาร แล้วปล่อยให้ยื้อแย่งกันตามชอบใจ เด็กบริวารต่างต่อสู้ทุบตีกัน ยื้อแย่งของเล่นที่ตนชอบ ส่วนพระเตมีย์ทรงอดกลั้น ไม่ทอดพระเนตรดูเลย แม้พระกุมารถูกทดลองอยู่เช่นนี้เป็นเวลาแรมปี พวกอำมาตย์ ก็จับพิรุธพระเตมีย์ไม่ได้

เมื่อพระเตมีย์อายุได้ ๔ ชันษา พวกอำมาตย์กราบทูลพระราชาว่า “เด็กอายุ ๔ ขวบ ชอบอาหารที่มีรสแปลกต่างๆ พวกข้าพระองค์จะทดลองพระกุมารด้วยอาหาร” จึงทดลองนำอาหารชนิดต่างๆ มากมายไปวางไว้ใกล้ๆ พระเตมีย์และบริวาร แล้วปล่อยให้ยื้อแย่งกินกันตามชอบใจ บริวารคนอื่นๆ ต่างทำอาหารเป็นคำๆ กินกันอย่างเอร็ดอร่อย ส่วนพระเตมีย์ทรงอดกลั้น หาได้ชายพระเนตรดูอาหารเหล่านั้นไม่ พระองค์บอกตัวเองว่า

“เตมีย์ เจ้าเคยอดอาหารมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ จะอดอาหารตายอีกสักชาติก็ไม่เป็นไร”

พระมารดาเห็นเช่นนั้นเหมือนพระหทัยจะแตกสลายลงให้ได้ จึงให้พระโอรสเสวยโภชนาหารด้วยพระหัตถ์พระองค์เอง แม้พระกุมารถูกทดลองอยู่เช่นนี้เป็นเวลานานแรมปี ก็ไม่แสดงพิรุธแต่อย่างใด

ภาพวาดประกอบลายเส้นพู่กันจีน โดย หมอนไม้
ภาพวาดประกอบลายเส้นพู่กันจีน โดย หมอนไม้

เมื่อพระเตมีย์อายุได้ ๕ ชันษา พวกอำมาตย์กราบทูลพระราชาว่า “เด็กอายุ ๕ ขวบกลัวไฟ พวกข้าพระองค์จะทดลองพระกุมารด้วยไฟ” จึงทดลองด้วยการปลูกเรือนใหญ่ไว้ที่ท้องสนามหลวง เรือนนั้นมุงด้วยใบตาล มีประตูเข้าออกหลายบาน ให้นำพระกุมารและบริวารเข้าไปอยู่ในเรือนนั้นแล้วจุดไฟเผา เมื่อพวกเด็กเห็นไฟลุกไหม้ต่างก็กลัวตาย ร้องไห้เสียงดังลั่น วิ่งหนีออกมา ส่วนพระเตมีย์รำพึงว่า

“เราถูกเผาด้วยไฟร้อนนี้ ก็ยังดีกว่าถูกเผาไหม้ด้วยไฟนรก”

พระองค์มิได้หวั่นไหวต่อเปลวไฟที่กำลังปะทุไหม้นั้นเลย เมื่อเพลิงลุกลามเข้ามาใกล้ พวกอำมาตย์ก็อุ้มพระกุมารออกไป แม้จะทดลองอยู่เช่นนี้เป็นเวลานานแรมปี ก็จับพิรุธพระเตมีย์ไม่ได้

เมื่อพระเตมีย์อายุได้ ๖ ชันษา อำมาตย์ทั้งหลายกราบทูลพระราชาว่า “เด็กอายุ ๖ ขวบ กลัวช้างตกมัน พวกข้าพระองค์จะทดลองพระกุมารด้วยช้างตกมัน” จึงทดลองนำพระกุมารไปนั่งที่ท้องสนามหลวง แวดล้อมด้วยบริวาร ให้ปล่อยช้างเชือกหนึ่งซึ่งถูกฝึกหัดอย่างดีแล้วออกมา ช้างนั้นส่งเสียงร้องกึกก้องโกญจนาท เอางวงตีแผ่นดินฝุ่นตลบแสดงอาการดุร้ายร้องแปร๋นๆ มา พวกเด็กเห็นช้างตกมันแผดเสียงดุร้ายเช่นนั้น ต่างก็ตกใจกลัวตายร้องไห้วิ่งหนีหัวซุกหัวซุนไปคนละทิศละทาง

พระเตมีย์คิดว่า

“เราตายเสียที่งาช้างตกมันดุร้ายนี้ยังประเสริฐกว่าถูกเผาไหม้ในนรกอันร้ายกาจ”

จึงสงบนิ่งมิได้สะทกสะท้าน ช้างที่ฝึกดีแล้วนั้นแล่นตรงเข้ามา เอางวงจับพระองค์กวัดแกว่งไปมาเหมือนแกว่งกำดอกไม้ ทำให้พระกุมารได้รับความลำบากยิ่งนัก พวกทหารจึงเข้าไปรับพระกุมารมาจากช้าง พระราชาตรัสถามพวกทหารว่า “ขณะที่พวกท่านรับพระกุมารมา พระกุมารได้ขยับมือหรือเท้าบ้างหรือไม่” พวกทหารกราบทูลว่า มิได้แสดงอาการใดๆ เลย แม้จะทดลองด้วยช้างตกมันเช่นนี้เป็นเวลานานแรมปี ก็จับพิรุธไม่ได้

เมื่อพระเตมีย์อายุได้ ๗ ชันษา พวกอำมาตย์กราบทูลพระราชาว่า “เด็กอายุ ๗ ขวบ กลัวงูพิษ พวกข้าพระองค์จะทดลองพระกุมารด้วยงู” จึงทดลองนำพระกุมารไปประทับนั่งที่ท้องสนามหลวงพร้อมทั้งบริวาร ปล่อยงูพิษที่ถอนเขี้ยวเย็บปากแล้วเข้าไปกลางที่กลุ่มทารกซึ่งนั่งห้อมล้อมพระเตมีย์อยู่ เด็กบริวารเห็นงูพิษต่างพากันร้องลั่นวิ่งหนีไปด้วยความตกใจกลัว

ภาพวาดประกอบลายเส้นพู่กันจีน โดย หมอนไม้
ภาพวาดประกอบลายเส้นพู่กันจีน โดย หมอนไม้

พระเตมีย์พิจารณาภัยในรกแล้วดำริว่า

“เราพินาศไปในปากงูพิษร้ายนี้ ยังดีกว่าพินาศไปในนรกอันร้ายกาจ”

งูพิษเลื้อยตรงเข้ารัดรอบกายแผ่พังพานเหนือเศียรพระกุมาร แม้เช่นนั้นพระเตมีย์ก็มิได้หวั่นไหว แม้จะทดลองด้วยงูพิษเป็นเวลานานแรมปีเช่นนี้ ก็จับพิรุธพระเตมีย์ไม่ได้

เมื่อพระเตมีย์อายุได้ ๘ ชันษา อำมาตย์ทั้งหลายกราบทูลพระราชาว่า “เด็กอายุ ๘ ขวบ ชอบฟ้อนรำขับร้อง พวกข้าพระองค์จะทดลองพระกุมารด้วยการฟ้อนรำขับร้อง” จึงทดลองนำพระกุมารไปประทับนั่งที่ท้องสนามหลวงพร้อมทั้งบริวาร แล้วจัดให้มีการแสดงมหรสพฟ้อนรำอย่างตระการตา เด็กบริวารคนอื่นๆ เห็นการแสดงมหรสพฟ้อนรำ ต่างก็แสดงอาการร่าเริงยินดีพาหัวเราะสนุกสนาน

พระเตมีย์พิจารณาว่า

“ในนรก ไม่มีความรื่นเริงหรือความชุ่มเย็นใจ แม้ชั่วขณะหนึ่ง”

จึงนิ่งเฉยมิได้ทอดพระเนตรดูอะไรๆ เลย แม้จะทดลองเช่นนี้เป็นเวลานานแรมปี ก็จับพิรุธพระเตมีย์ไม่ได้

เมื่อพระเตมีย์อายุได้ ๙ ชันษา พวกอำมาตย์กราบทูลพระราชาว่า “เด็กอายุ ๙ ขวบ กลัวศัสตราวุธ พวกข้าพระองค์จะทดลองพระกุมารด้วยศัสตราวุธ” จึงทดลองนำพระกุมารไปประทับนั่งที่ท้องสนามหลวงพร้อมทั้งบริวาร ในขณะเด็กบริวารกำลังเล่นสนุกสนานกันอยู่ พลันชายคนหนึ่งก็ปรากฏกายขึ้น ถือดาบคมวาววับดังแก้วผลึกกวัดแกว่งโลดเต้นเข้ามาตะโกนขู่ตวาดว่า “ใครเป็นโอรสพระเจ้ากาสิกราชคนกาลกิณี เราจักตัดหัวเสียด้วยดาบเดี๋ยวนี้” แล้ววิ่งแหวกกลุ่มเด็กตรงเข้าไปหาพระกุมาร บริวารเห็นดังนั้นต่างร้องลั่นวิ่งหนีไปคนละทิศละทาง

พระเตมีย์ทรงรำพึงว่า “ให้เราพินาศย่อยยับเพราะคมดาบ ยังจะประเสริฐกว่าพินาศในนรก”

ชายผู้นั้นเอาดาบจ่อลงที่คอตะโกนขู่ว่า “เราจะตัดหัวเดี๋ยวนี้” แม้เช่นนี้ก็ไม่สามารถทำให้พระองค์สะดุ้งได้ พระเตมีย์ถูกทดลองเช่นนี้เป็นเวลานานแรมปีก็จับพิรุธไม่ได้

เมื่อพระเตมีย์อายุได้ ๑๐ ชันษา พวกอำมาตย์กราบทูลพระราชาว่า “เด็กอายุ ๑๐ ขวบ กลัวเสียงดัง ควรจะใช้เสียงทดลองพระกุมารว่าหูหนวกหรือไม่” จึงทดลองด้วยการให้คนเป่าสังข์นั่งอยู่ใต้ที่บรรทม ให้เอาม่านกั้นที่บรรทมเพื่อไม่ให้พระกุมารมองเห็น เจาะเป็นช่องไว้ทั้งสี่ข้างสำหรับสังเกต เมื่อนางนมนำพระกุมารไปบรรทมแล้ว พวกคนเป่าสังข์ก็เป่าขึ้นอย่างดังพร้อมกัน พวกอำมาตย์ที่แอบดู ก็ไม่เห็นพระองค์เผลอสติขยับพระหัตถ์ พระบาท หรืออวัยวะอื่นใด พระเตมีย์ถูกทดลองเช่นนี้เป็นเวลานานแรมปี ก็จับพิรุธไม่ได้

เมื่อพระเตมีย์อายุได้ ๑๑ ชันษา พวกอำมาตย์กราบทูลพระราชาว่า “เด็กอายุ ๑๑ ขวบกลัวเสียงกลอง ควรจะทดลองพระกุมารด้วยเสียงกลอง “ เมื่อล่วงไปหนึ่งปี อำมาตย์ทั้งหลายก็จับพิรุธไม่ได้

ภาพวาดประกอบลายเส้นพู่กันจีน โดย หมอนไม้
ภาพวาดประกอบลายเส้นพู่กันจีน โดย หมอนไม้

เมื่อพระเตมีย์อายุได้ ๑๒ ชันษา พวกอำมาตย์กราบทูลพระราชาว่า “เด็กอายุ ๑๒ ขวบย่อมกลัวประทีป ควรจะทดลองพระกุมารด้วยประทีป” จึงทดลองให้พระกุมารบรรทมในที่มืด ในเวลากลางคืน คิดว่าพระกุมารจะขยับพระหัตถ์หรือพระบาทบ้าง จึงจุดประทีปดวงหนึ่ง และดับอีกดวงสลับกันไป ครั้นปล่อยให้พระโพธิสัตว์บรรทมไปได้ครู่หนึ่งในที่มืด ก็ยกแท่นบรรทมขึ้นไปใกล้หม้อประทีปน้ำมันที่กำลังลุกโชติช่วง จุดไฟให้สว่างพร้อมกันทีเดียว แล้วสังเกตดูอาการพระกุมาร แต่ก็ไม่เห็นการขยับพระหัตถ์หรือพระบาทแต่อย่างใด เมื่อล่วงไปหนึ่งปี พวกอำมาตย์ก็จับพิรุธไม่ได้

เมื่อพระเตมีย์อายุได้ ๑๓ ชันษา พวกอำมาตย์กราบทูลพระราชาว่า “เด็กอายุ ๑๓ ขวบ เกลียดแมลงวัน ควรจะทดลองพระกุมารด้วยแมลงวัน” จึงเอาน้ำอ้อยทาทั่วร่างกายพระกุมาร แล้วให้บรรทมในที่มีแมลงวันชุกชุม ฝูงแมลงวันได้กลิ่นน้ำอ้อยก็ตอมกินน้ำอ้อยตามร่างกายพระกุมาร พระกุมารรู้สึกเจ็บแสบเหมือนถูกเข็มแทง แต่ก็ทรงดำริว่า

“เราตายในปากแมลงวัน ก็ยังจะดีเสียกว่าตายในนรกอเวจี”

สู้อดกลั้นทุกขเวทนานิ่งเสียไม่หวั่นไหว เมื่อล่วงไปหนึ่งปี อำมาตย์ทั้งหลายก็จับพิรุธไม่ได้

เมื่อพระเตมีย์อายุได้ ๑๔ ชันษา พวกอำมาตย์กราบทูลพระราชาว่า “เมื่อเด็กมีอายุ ๑๔ ปี ก็นับได้ว่าเป็นหนุ่มแล้ว พวกคนหนุ่มรักสวยรักงาม เกลียดสิ่งสกปรก พวกข้าพระองค์จะทดลองพระกุมารด้วยสิ่งสกปรกโสโครก”

ตั้งแต่นั้น จึงทดลองปล่อยพระกุมารไม่ให้สรงน้ำ ไม่จัดที่ถ่ายอุจจาระปัสสาวะ ไม่นำเสด็จลุกออกจากที่บรรทม พระกุมารก็ถ่ายอุจจาระปัสสาวะบรรทมเกลือกกลั้วปฏิกูลที่เหม็นขื่นคาวและสกปรกอยู่ในที่บรรทมนั่นเอง หมู่แมลงวันบินตอมกันหึ่งอยู่รอบกาย

พระชนกพระชนนีประทับนั่งข้างๆ สุดแสนที่จะเวทนา ตรัสว่า “เตมีย์ ลูกเอ๋ย ตอนนี้ลูกก็โตเป็นหนุ่มแล้ว ใครเขาจะประคับประคองลูกได้ตลอดไป ลูกไม่อายหรอกหรือ ลูกนอนอยู่ทำไม ลุกขึ้นอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายเถอะลูก” แล้วตัดพ้อบริภาษโดยประการต่างๆ

แม้พระโพธิสัตว์จมอยู่ในกองอุจจาระปัสสาวะ ซึ่งปฏิกูลน่าขยะแขยงเหม็นขื่นคาวเช่นนั้น ก็ทรงวางใจเป็นกลาง พิจารณากลิ่นเหม็นของคูถนรก ซึ่งสามารถฟุ้งตลบขึ้นในใจผู้ที่ยืนอยู่ในที่ไกลแสนไกลว่า เหม็นกว่าคูถนี้มากมายนักจึงนิ่งเสีย

เมื่อล่วงไปหนึ่งปี พวกอำมาตย์ก็จับพิรุธไม่ได้

เมื่อพระเตมีย์อายุได้ ๑๕ ชันษา พวกอำมาตย์กราบทูลพระราชาว่า “เมื่อเด็กมีอายุ ๑๕ ปี กลัวความร้อน พวกข้าพระองค์จะทดลองพระกุมารด้วยถ่านเพลิง” พวกอำมาตย์คิดกันว่า พอพระกุมารถูกความร้อนแผดเผาได้รับความทุกข์เมื่อทนไม่ได้ ก็จะขยับพระหัตถ์หรือพระบาทเอง จึงนำถาดใส่ถ่านเพลิงจนเต็มมาวางไว้ใต้พระแท่นบรรทมพระเตมีย์

เปลวไฟลุกโหมไหม้ร้อนแรงรอบกาย พระเตมีย์บอกตัวเองว่า

“เตมีย์ ในนรกอเวจี มีความร้อนแรงแผ่ไพศาลไปไกลมากมายหลายพันเท่า สามารถทำลายดวงตาผู้ที่ยืนมองดูอยู่ในรัศมี ๑๐๐ โยชน์ได้ ความร้อนแห่งไฟนี้จะเทียบอะไรกับความร้อนในนรกนั้น”

สู้อดกลั้นความร้อนนั้นไม่หวั่นไหว

พระชนกพระชนนีทอดพระเนตรเห็นพระกุมารได้รับความทุกข์ทรมานเช่นนั้น พระหฤทัยแทบแตกสลาย จึงแหวกฝูงชนเข้าไปนำพระกุมารออกมา แล้วตรัสวิงวอนว่า “เตมีย์ ลูกเอ๋ย พ่อกับแม่รู้ว่าลูกไม่ใช่คนง่อยเปลี้ยเสียขา เพราะมือ เท้า ปาก และช่องหูของคนพิการไม่ได้เป็นอย่างนี้ พ่อกับแม่ปรารถนาลูกจึงได้ลูกสมปรารถนา ลูกอย่าทำให้พ่อแม่ทุกข์ใจเลย อย่าทำให้พ่อกับแม่ถูกพระราชาทั่วชมพูทวีปดูหมิ่นดูแคลนว่ามีลูกง่อยเปลี้ยเสียขาเลย” แม้พระชนกพระชนนีจะวิงวอนถึงอย่างนี้ พระเตมีย์ก็ยังบรรทมนิ่งเหมือนไม่ได้ยินพระดำรัสนั้น พระชนกพระชนนีทั้งสองต่างก็ทรงกันแสงเสด็จจากไป

บางคราวพระชนกเสด็จไปวิงวอนเพียงพระองค์เดียว บางคราวพระชนนีเสด็จเข้าไปวิงวอนพระองค์เดียว บางคราวก็เสด็จทั้งสองพระองค์ เมื่อล่วงไปหนึ่งปีก็จับพิรุธไม่ได้

ในกาลเมื่อพระเตมีย์อายุได้ ๑๖ พรรษา เหล่าอำมาตย์และพราหมณ์ต่างเห็นพ้องกันว่า แม้พระกุมารจะเป็นง่อยเปลี้ยก็ตาม เป็นใบ้ก็ตาม เป็นคนหนวกก็ตาม หรือไม่เป็นก็ตาม บัดนี้พระกุมารเจริญชันษาเป็นหนุ่มแน่น ย่อมมีอารมณ์กำหนัดยินดีในกาม ซึ่งเป็นธรรมชาติของชายหนุ่ม เหมือนดอกไม้เมื่อถึงคราวบานก็ต้องแย้มบาน พวกเราจะให้นางสนมฟ้อนรำบำเรอพระกุมาร

พระเจ้ากาสิกราชรับสั่งให้เรียกสนมนักฟ้อนรุ่นดรุณี สัดส่วนเรือนร่าง ทรวดทรงงดงามสมส่วนมารับสั่งว่า “หญิงใดสามารถทำให้พระกุมารร่าเริง หรือผูกพันพระกุมารไว้ได้ เราจะอภิเษกหญิงนั้นให้เป็นอัครมเหสีของพระกุมาร

นางนมทั้งหลายสรงสนามพระกุมารด้วยน้ำหอม ตกแต่งราวกับเทพบุตร ให้บรรทมบนพระสิริไสยาสน์ที่ตกแต่งไว้ดีแล้ว อบห้องให้มีกลิ่นหอม ประดับตกแต่งด้วยช่อดอกไม้และเครื่องอบต่างๆ แล้วออกไป จากนั้น หญิงเหล่านั้น ได้พากันแวดล้อมพระเตมีย์ พยายามให้พระเตมีย์อภิรมย์ด้วยการฟ้อนรำบ้าง ด้วยการขับร้องอันไพเราะบ้าง

พระโพธิสัตว์มิได้ทอดพระเนตรดูหญิงเหล่านั้นเลย ทรงอธิษฐานว่า “หญิงเหล่านั้นอย่าได้ถูกต้องเนื้อตัวเราเลย”

แล้วทรงกลั้นลมหายใจเข้าออก พระสรีระของพระองค์ก็กลับแข็งกระด้างทันที หญิงเหล่านั้นตกใจกลัวคิดว่า พระกุมารไม่ใช่มนุษย์ พระกุมารเป็นยักษ์ร่างกายจึงแข็งกระด้าง จึงพากันแตกตื่นหนีไป

พระราชาตรัสถามหญิงสาวทั้งหลายว่า “ลูกเราหัวเราะกับพวกเธอบ้างหรือไม่” หญิงสาวทั้งหลายกราบทูลตามความเป็นจริง ทำให้พระราชาทรงท้อพระหฤทัยเป็นอย่างยิ่ง เมื่อล่วงไปหนึ่งปี อำมาตย์ทั้งหลายก็จับพิรุธไม่ได้

(โปรดติดตามตอนต่อไป… “ถูกนำไปฝังทั้งเป็น”)

ทศชาติ : ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง เขียนโดย ญาณวชิระ : พระราชกิจจาภรณ์ (เทอด ญาณวชิโร) /ที่ปรึกษา : พระพรหมสุธี ,พระธรรมสิทธินายก, พระราชปัญญาโสภณ, พระสิทธิธรรมธาดา , พระครูอรรถเมธี, พระครูปลัดสัมพิพัฒนธุตาจารย์ / ภาพประกอบ-แบบปก : ทวิช สังข์อยู่ /จิตกรรมฝาผนัง : พระอุโบสถวัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร กรุงเทพฯ /จัดพิมพ์โดย กองทุนพุทธานุภาพ วัดสระเกศ คณะ ๗ /ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ ฉบับธรรมทาน

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here