กาลครั้งหนึ่ง ณ วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร กรุงเทพฯ



เมื่อเณรแกละสงสัยว่า “บนภูเขาทองมีอะไร”
จึงชวนเณรจุกไปถามหลวงพี่ในวัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร

หลวงพี่จึงเริ่มต้นเล่าเรื่อง “ปาฏิหาริย์พระบรมสารีริกธาตุ ณ บรมบรรพต (ภูเขาทอง) วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร กรุงเทพฯ” ให้ฟัง
ครั้งหนึ่งในประเทศอินเดีย …






มิสเตอร์ วิลเลียม แคลกซ์ตัน เปปเป ขุดพบพระบรมสารีริกธาตุ โดยไม่รู้ว่า นี้คือ พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า หลังจากค่ำคืนหนึ่งที่แสงสว่างจากพระบรมสารีริกธาตุ ส่งประกายไปถึงหน้าต่างที่พักของเขา …

ในหนังสือ “๑๑๒ ปี แห่งการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ จากกรุงกบิลพัสดุ์ สู่สยามประเทศ” จัดทำโดย สำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และความมั่นคงแห่งสถาบันชาติ พระศาสนา พระมหากษัตริย์ วัดสระเกศ เล่าไว้ตอนหนึ่งว่า


ในพ.ศ.๒๔๓๙ รศ.๑๑๕ มิสเตอร์ วิลเลียม แคลกซ์ตัน เปปเป ชาวอังกฤษ ซึ่งมีถิ่นพำนักอยู่ในประเทศอินเดีย ได้ขุดค้นซากปรักหักพังของสถูปโบราณซึ่งจมอยู่ภายใต้เนินดินที่ตำบลปิปราห์วะ ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองบัสติ อันเป็นที่ตั้งกรุงกบิลพัสดุ์ สมัยพุทธกาล ซึ่งบริเวณสถานที่ดังกล่าวอยู่ในการดูแลของตน โดยในครั้งแรกได้ขุดหลุมกว้าง ๑๐ ฟุต และลึก ๘ ฟุต (กว้างราว ๖ ศอก ลึกราว ๕ ศอก จนกระทั่งทะลุถึงถ้ำ ซึ่งก่อด้วยอิฐ จึงเกิดความมั่นใจว่า เนินดินนี้จะต้องเป็นสถูปในพระพุทธศาสนาอย่างแน่นอน จึงหยุดการขุดสำรวจไว้ก่อน และได้ขอคำปรึกษาไปยังนักโบราณคดี

ในเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๔๓๙ ร.ศ.๑๑๕ มิสเตอร์ วินเซนต์ สมิท ได้เข้ามาตรวจสอบสถูปดังกล่าวอีกครั้ง ได้แนะนำมิสเตอร์เปปเปว่า พระสถูปทางพระพุทธศาสนาแห่งนี้น่าจะเป็นพระสถูปโบราณที่มีความสำคัญยิ่ง และหากมีสิ่งใดบรรจุไว้ในพระสถูปนี้ คงจะอยู่ในช่องตรงกลางลึกต่ำลงไปเสมอพื้นดิน จากคำแนะนำดังกล่าว จึงเป็นแรงจูงใจให้มิสเตอร์เปปเป ทำการขุดสำรวจสถูปโบราณนั้นต่อไป

วันที่ ๒๐ เดือนมกราคม พ.ศ.๒๔๔๐ (ร.ศ.๑๑๖) เมื่อมิสเตอร์ เปปเป ขุดรื้อสำรวจพบพระสถูปโบราณจากตรงกลางยอดลึกลงไป ๑๐ ฟุต ได้พบท่อกลมก่อด้วยอิฐปากกว้างราว ๒ คืบ จึงขุดตามท่อกลมนั้นลงไปได้พบหีบศิลาสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ทำจากหินทราย ๑ หีบ ภายในหีบศิลามีผอบศิลา ๓ ผอบ กับหม้อแก้ว ๑ หม้อ เต็มไปด้วยข้าวของ เงิน ทอง เพชร พลอย และเครื่องประดับต่างๆ มากมาย เช่น รูปเครื่องหมายพระรัตนตรัย ใบไม้ และนก นอกจากนั้น ยังมีแผ่นทองคำตีตราเป็นสัญลักษณ์ต่างๆ ด้วย



แต่สิ่งที่ทำให้มิสเตอร์เปปเปเกิดความตื่นเต้นมากที่สุด คือ ภายในหีบศิลาหินทรายมีผอบบรรจุอัฐิธาตุ ประมาณสักฟายมือหนึ่ง (one handful) และที่ผอบใบที่บรรจุอัฐิธาตุนั้น มีข้อความจารึก ด้วยอักษรพราหมมีโบราณ เป็นภาษาที่ใช้มาก่อนพุทธกาล


จากการตรวจสอบจารึกพบว่า เป็นอักษรโบราณมีอายุมากกว่า ๓๐๐ ปีก่อนคริสต์ศักราช คือ เป็นภาษาที่จารึกมาแล้วประมาณ ๒,๑๙๘ ปี ก่อนการขุดพบ ซึ่งเก่ากว่าภาษาที่ใช้จารึกเสาอโศก ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ที่เคยขุดพบมาแล้ว นักภาษาศาสตร์เชื่อว่า น่าจะเป็นภาษาที่ใช้ในสมัยที่พระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ หรือหลังจากนั้นก็ไม่น่าจะเกินพุทธศตวรรษที่ ๒-๔ ข้อความจารึกที่ผอบบรรจุพระบรมสารีริกธาตุแปลได้ความว่า
“ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้านี้ เป็นของตระกูลศากยราช ผู้มีเกียรติงาม กับพระภาตา พร้อมทั้งพระภคินี พระโอรส และพระชายา สร้างขึ้นอุทิศถวายไว้”

จากจารึกและข้อสรุปของนักภาษาศาสตร์นั้น ทำให้มิสเตอร์เปปเปมั่นใจได้ว่า อัฐิธาตุที่บรรจุอยู่ภายในผอบนี้ เป็นพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็น ๑ ใน ๘ ส่วนที่เจ้าศากยะได้รับไปในคราวแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ หลังการถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน



มิสเตอร์เปปเปจึงมีหนังสือแจ้งไปยังเจ้าพนักงานภาษี เมืองบัสติ เจ้าพนักงานได้ส่งสำเนาหนังสือของมิสเตอร์เปปเปต่อไปยังดอกเตอร์วิลเลียม โฮย ข้าหลวงแขวงเมืองโครักขปุระ ดอกเตอร์โฮยได้ยื่นเรื่องต่อไปยังสมุหเลขานุการ รัฐบาลหัวเมืองอินเดียตะวันตกเฉียงเหนือและเมืองโอธ แจ้งว่า มิสเตอร์เปปเปได้ขุดสำรวจสถูปโบราณพบโบราณวัตถุและสิ่งของที่้ล้ำค่า มีความยินดีจะยกให้พิพิธภัณฑ์อินเดีย และมอบให้รัฐบาลเป็นผู้จัดการตามเห็นสมควร โดยตนขอเก็บสิ่งของบางอย่างเป็นที่ระลึก
ข่าวคราวที่มิสเตอร์เปปเปขุดค้นพบุพระบรมสารีริกธาตุได้รับการตีพิมพ์ทางหน้าหนังสือพิมพ์และได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง
ในการนี้ ดอกเตอร์โฮย ได้เขียนบทความเกี่ยวกับการขุดค้นพบพระบรมสารีริกธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมทั้งคำอ่าน และคำแปลอักษรโบราณซึ่งจารึกที่ผอบ ลงในหนังสือพิมพ์ชื่อว่า ไพโอเนีย ฉบับวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ร.ศ.๑๑๖ โดยระบุว่า เป็นการค้นพบครั้งประวัติศาสตร์ครั้งหนึ่งของโลก
ต่อมา นายมารควิส เคอร์ชัน ผู้ดำรงตำแหน่งอุปราชครองประเทศอินเดีย ซึ่งเคยเข้ามารับราชการอยู่ในกรุงเทพฯ และมีความคุ้นเคยกับรัชกาลที่ ๕ มาก่อน เห็นว่า พระบรมสารีริกธาตุนั้นเป็นสมบัติของชาวพุทธ และนายมารควิส เคอร์ชันเห็นว่า
พระมหากษัตริย์ที่ทรงนับถือพระพุทธศาสนาสมัยนั้น ก็มีแต่พระเจ้ากรุงสยามเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น
รัฐบาลอินเดียจึงมีความประสงค์ที่จะทูลเกล้าฯ ถวายพระบรมสารีริกธาตุแด่รัชกาลที่ ๕ พร้อมให้ฝ่ายไทยส่งผู้แทนเป็นคณะราชทูตไปรับ และขอให้รัชกาลที่ ๕ แบ่งพระบรมสารีริกธาตุแก่ประเทศต่างๆ ที่นับถือพระพุทธศาสนาเช่นเดียวกัน
พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ ขณะทรงผนวชที่ศรีลังกาได้เป็นผู้ประสานงานในการรับพระบรมสารีริกธาตุ ระหว่างรัฐบาลอินเดียกับสยาม


วันนี้ วันอาทิตย์ที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ ย้อนกลับไปเมื่อ ๑๒๒ ปีก่อน วันนั้น พระบรมสารีริกธาตุ จากประเทศอินเดีย ได้อัญเชิญมาถึงประเทศไทยแล้วตั้งแต่วันที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ.๒๔๔๑ (ร.ศ.๑๑๗) โดยคณะอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุถึงเมืองสมุทรปราการ ในครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้นำพระบรมสารีริกธาตุ ไปประดิษฐานในพระวิหาร เกาะพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ ทำการเฉลิมฉลองเป็นเวลาถึง ๓ วันสามคืน แล้วจัดขบวนอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุเดินทางมาถึงกรุงเทพมหานคร
ระหว่างการเดินทางอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุออกจากประเทศอินเดียในครั้งนั้น มีโรคระบาดเกิดขึ้น อีกทั้งระหว่างการเดินเรือก็พบกับพายุลูกใหญ่ แต่ก็ผ่านพ้นมาได้ด้วยปาฏิหาริย์แห่งพระบรมสารีริกธาตุ และเมื่อคณะอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุเดินทางมาถึงเกาะหมาก จึงไม่ได้ขึ้นฝั่งที่เกาะหมาก จึงได้มีการย้ายเรือแล้วมาขึ้นฝั่งที่จังหวัดตรังแทน ในครั้งนั้น พระยาสุขุมนัยวินิต (ปั้น สุขุม) ข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราช ราชทูตไทยซึ่งเป็นผู้ได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าคณะไปอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุในครั้งนั้น ได้พบกับปาฏิหาริย์พระบรมสารีริกธาตุถึงสองสามครั้ง
ดังที่ท่านกล่าวกับลูกเรือในระหว่างพายุโหมกระหน่ำว่า “อย่าหมดหวัง”


จากนั้นท่านทำอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป
อีกทั้งในสมัยนั้น ไม่ทราบบริบทว่า ในประเทศอินเดีย เกิดโรคระบาดอะไร แต่คณะที่ไปอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาสยามประเทศก็ปลอดภัยกันทุกคน
จึงขออาราธนา “รัตนสูตร” พระสูตรขจัดภัยภิบัติ ๓ ประการ ณ เมืองไพศาลี อาณาจักรวัชชี มาเป็นธรรมบรรณาการ ในช่วงเวลานี้ที่เกิดโรคระบาดเช่นกัน จาก บทความเรื่อง “เมื่อเกิดโรคระบาดในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าทรงทำอย่างไร…กำเนิดพระพุทธมนต์ และ “รัตนสูตร” พระสูตรขจัดภัยพิบัติ จากหนังสือ “พุทธานุภาพ” อานุภาพของพระพุทธองค์ โดย พระราชกิจจาภรณ์ (เทอด ญาณวชิโร) https://www.manasikul.com/%e0%b9%80%e0%b8%a1%e0%b8%b7%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b9%80%e0%b8%81%e0%b8%b4%e0%b8%94%e0%b9%82%e0%b8%a3%e0%b8%84%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%9a%e0%b8%b2%e0%b8%94%e0%b9%83%e0%b8%99%e0%b8%aa%e0%b8%a1%e0%b8%b1/


และชวนชมภาพยนตร์การ์ตูนอิงประวัติศาสตร์ ถ่ายทอดความเป็นมาของ พระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งได้อัญเชิญมาจากประเทศอินเดีย ในสมัยรัชกาลที่ ๕ พร้อมทั้งประวัติ วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร จุดเริ่มต้นแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยผ่านตัวการ์ตูน สอดแทรกสาระ ความรู้ ความสนุกสนาน และสัมผัสกับ ปาฏิหาริย์ ของพระบรมสารีริกธาตุ ที่ประดิษฐาน ณ บรมบรรพต (ภูเขาทอง) จนเป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็น และเป็นที่เคารพสักการะ ของปวงชนชาวไทย และชาวพุทธทั่วโลก เรื่อง “ปาฏิหาริย์พระบรมสารีริกธาตุ ณ บรมบรรพต (ภูเขาทอง) วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร กรุงเทพฯ ” จัดทำโดย สำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมและความมั่นคงแห่งสถาบันชาติ พระศาสนา พระมหากษัตริย์ วัดสระเกศ

โปรดติดตาม “๑๒๒ ปี แห่งการเดินทางของพระบรมสารีริกธาตุจากกรุงกบิลพัสดุ์ สู่สยามประเทศ จากภาพยนต์การ์ตูนอิงประวัติศาสตร์ เรื่อง “ปาฏิหาริย์ พระบรมสารีริกธาตุ ณ บรมบรรพต (ภูเขาทอง) วัดสระเกศ” ตอนต่อไป “พลังแห่งพุทธานุภาพ“
