

วันนี้วันพระ วันเสาร์ที่ ๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๕
“ปูชา จ ปูชนียานํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ.
ขอนอบน้อมแด่ครู พระอุปัฌชาย์ อาจารย์
ผู้ให้ชีวิตในพระศาสนาของพระพุทธองค์ ด้วยเศียรเกล้าฯ”
วิถีแห่งผู้นำ : สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสณมหาเถร) ๑๐. ฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อพริ้ง ๑๑. เรียนกรรมฐานที่ป่าช้า เรียบเรียงโดย พระครูอมรโฆสิต (ปรีชา สาเส็ง)
๑๐.
ฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อพริ้ง
ภายหลังจากสามเณรเกี่ยว โชคชัย บรรพชาครบ ๗ วัน ก็ถึงกำหนดที่จะต้องลาสิกขาไปศึกษาต่อ แต่สามเณรเกี่ยวก็เปลี่ยนเป้าหมายชีวิตอย่างกะทันหัน โดยได้บอกโยมบิดาโยมมารดาว่า จะขอบวชเป็นสามเณรอยู่ต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง แม้โยมทั้งสองรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้คัดค้านหรือเหนี่ยวรั้งแต่ประการใด สามเณรเกี่ยวบวชอยู่ต่อมาจนครบ ๑ เดือน โยมบิดามารดาก็มาบอกให้ลาสิกขา เนื่องจากเกรงว่า จะไม่ทันเวลาที่ต้องไปเรียนตามกำหนดที่ติดต่อไว้แล้ว
สามเณรเกี่ยวบอกปฏิเสธการลาสิกขาต่อโยมบิดามารดา และปฏิเสธการลาสิกขาต่อมาอีกหลายต่อหลายครั้ง ในที่สุดก็ตัดสินใจเลือกเส้นทางพระศาสนาตามรอยบาทพระบรมศาสดาบวชอยู่เรื่อยมาจนมรณภาพคืนสู่ธรรมชาติในร่มผ้ากาสาวพัสตร์นั่นเอง
“ความสุขจากการบวชที่เกิดขึ้นในจิตใจของสามเณรเกี่ยว เป็นเหตุให้ท่านไม่อยากจะสึกหาลาเพศนั้น คงเป็นเพราะเหตุแห่งบุญกุศลที่เคยทำมาแต่ก่อนเก่าหนุนส่งก็เป็นได้ นับได้ว่า ท่านผู้นี้บำเพ็ญบารมีมาเพื่อเป็นที่เคารพนบไหว้ เป็นครูบาอาจารย์ของหมู่มหาชนโดยแท้”
ความรู้สึกสุขสงบทำให้ความสนใจที่จะศึกษาทางโลกต่อในระดับที่สูงขึ้นของสามเณรเกี่ยวหมดความสำคัญลงอย่างสิ้นเชิง ในขณะที่ความสนใจที่จะศึกษาพระธรรมกลับมีพลังเร่งเร้ามากขึ้น จนในที่สุดท่านตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตอย่างพุทธบุตรต่อไปอย่างไม่มีกำหนด โยมบิดามารดาจึงนำไปฝากเป็นศิษย์หลวงพ่อพริ้ง โกสโล ที่วัดแจ้ง ซึ่งเป็นพระวิปัสสนาจารย์สำคัญของเกาะสมุย ผู้ถือธุดงค์เป็นวัตร ชอบปลีกวิเวกเจริญวิปัสสนาอยู่ตามป่าช้า
สามเณรเกี่ยว จึงมีโอกาสได้เรียนพระกรรมฐานในเบื้องต้นจากหลวงพ่อพริ้ง โดยหลวงพ่อพริ้งได้นำเจริญพระกรรมฐานบนหลุมฝังศพขณะมีอายุ ๑๒ ปีเท่านั้น

ต่อมาภายหลัง เมื่อเข้ามาอยู่กรุงเทพ ก็ได้เรียนพระกรรมฐานเพิ่มจากเจ้าพระคุณสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อยู่ ญาโณทยมหาเถร) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกพระองค์ที่ ๑๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งเป็นที่ทราบโดยทั่วไปว่า พระองค์ท่านมีความชำนาญด้านกสิณ และยังเป็นที่ทราบกันว่า ท่านได้ให้ความสนใจเกี่ยวกับวิธีการเจริญพระกรรมฐานตามแนวต่างๆ และฝึกจนมีความชำนาญในแต่ละวิธี สามารถสวดพระปาติโมกข์ได้ในพรรษาแรกแห่งการอุปสมบทเป็นพระภิกษุ และเรียนสำเร็จเปรียญธรรม ๙ ประโยค อันเป็นการศึกษาพระปริยัติธรรมขั้นสูงสุดของคณะสงฆ์ และเป็นหนึ่งในพระเถระผู้มีบทบาทสำคัญต่อพระพุทธศาสนาจนถูกขนานนามว่า พระเจ้า ๕ พระองค์ แห่งวงการคณะสงฆ์ไทย ในเวลาต่อมา

๑๑.
เรียนกรรมฐานที่ป่าช้า
สำหรับการเรียนพระกรรมฐาน แม้สามเณรเกี่ยวจะอายุยังน้อย อยู่ในวัยเพียง ๑๒ ปีเท่านั้น เพิ่งเข้าสู่ร่มผ้ากาสาวพัสตร์ได้ไม่นานนัก แต่ก็ได้เริ่มฝึกปฏิบัติสมาธิภาวนาอย่างจริงจัง โดยมีหลวงพ่อพริ้ง โกสโล พระวิปัสสนาจารย์ใหญ่แห่งเกาะสมุยเป็นผู้แนะนำสั่งสอน
ในพรรษาแรกของการบวชเณรนั่นเอง โยมบิดามารดาได้นำไปฝากเป็นศิษย์หลวงพ่อพริ้ง สามเณรเกี่ยวจึงได้เริ่มเรียนรู้วิธีการเจริญสมาธิภาวนาอย่างจริงจัง โดยหลวงพ่อพริ้งผู้เป็นอาจารย์ได้นำศิษย์น้อยของท่านออกเจริญพระกรรมฐาน อันเป็นการเรียนรู้ภาคปฏิบัติควบคู่ไปกับพระปริยัติ
แม้ในเวลานั้น สามเณรเกี่ยวยังไม่เข้าใจการปฏิบัติสมาธิภาวนากว้างขวางเท่าใดนัก แต่หลวงพ่อพริ้งผู้เป็นอาจารย์ก็มุ่งหวังที่จะให้ศิษย์ของท่าน ได้มีพื้นฐานการทำสมาธิ อุบายวิธีทำจิตให้สงบ อันเป็นแนวทางการเจริญสมาธิภาวนาตามหลักคำสั่งสอนของพระบรมศาสดา
สามเณรเกี่ยวจึงเป็นหนึ่งในศิษย์หลวงพ่อพริ้ง ที่มีโอกาสเจริญสมาธิภาวนาตามคำแนะนำของท่านตั้งแต่ยังเยาว์วัย
ในการเจริญสมาธิภาวนา หรือเจริญกรรมฐานตามวิธีของหลวงพ่อพริ้งนั้น ท่านแนะนำให้เจริญกรรมฐานโดยยึดแนวทางอานาปานสติ คือ มีสติรู้ลมหายใจเข้าออก

“หากขณะใดที่จิตไม่สงบ ฟุ้งซ่าน ซัดส่ายมาก จะบริกรรมพุทโธกำกับลมหายใจเข้าออกไปด้วย ก็ได้ แต่ให้ถือหลักสำคัญในขณะกำหนดลมหายใจให้มีสติรู้อยู่ หรือ มีความรู้สึกตัวรู้อยู่ที่ลมหายใจเข้าออก”
สำหรับวิธีการสอนนั้น หลวงพ่อพริ้งอธิบายให้รู้ถึงวิธีการมีสติในการยืน เดิน นั่ง นอน ว่าทำอย่างไรเป็นเบื้องต้นก่อน จากนั้น จึงอธิบายขั้นตอนการมีสติกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก อันเป็นการแนะนำให้รู้พื้นฐานการภาวนา เป็นการแนะนำรูปแบบการเจริญกรรมฐานเบื้องต้นสำหรับผู้ปฏิบัติใหม่ เมื่ออธิบายให้เกิดความเข้าใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ต่อมา ท่านก็นำออกไปปฏิบัติกรรมฐาน โดยเลือกสถานที่วิเวกสงบปราศจากผู้คนพลุกพล่านเข้าออก เหมาะสำหรับการเจริญภาวนา
สถานที่ที่ท่านเลือกให้เป็นที่สำหรับเจริญภาวนาแก่ศิษย์ของท่านมักจะเป็นเปลว หรือป่าช้าที่ฝังศพ ซึ่งเป็นป่าหนาดงทึบ ที่หาได้ไม่ยากนักในชนบทสมัยนั้น เป็นป่าช้าอยู่ใกล้ทะเล เมื่อมีคนตายหลวงพ่อพริ้งก็ให้ขุดหลุมฝัง โดยทำกองทรายเป็นเนินดินสูงขึ้นมา เพราะป่าช้าอยู่ใกล้ทะเล เนินหลุมศพจึงเป็นเนินดินทรายขาว
เวลาที่หลวงพ่อพริ้งนำลูกศิษย์ไปนั่งกรรมฐานมักเป็นเวลากลางคืน หลังจากทำวัตรเย็นบอกวัตรเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านจะให้ลูกศิษย์ของท่านเลือกหลุมศพรูปละหลุม เอาผ้าอาบน้ำปูรองเป็นอาสนะคลุมบนหลุมศพแล้วก็นั่งเจริญภาวนาอยู่บนนั้นจนดึกพอประมาณจึงกลับเข้าวัด
“การนำลงมือปฏิบัติ คือ วิธีสอนกรรมฐานแก่ลูกศิษย์ของหลวงพ่อพริ้ง”
หลวงพ่อพริ้งผู้เป็นอาจารย์ได้นำสามเณรเกี่ยวเข้าสู่ป่าช้าเพื่อการเจริญกรรมฐาน โดยจัดให้พระและสามเณรแต่ละรูปนั่งอยู่บนหลุมฝังศพที่พูนดินขึ้นเป็นเนินรูปละหลุม ที่นั่งบนหลุมศพของพระและสามเณรแต่ละรูปต้องมีระยะห่างกันพอให้ตะโกนเรียกกันได้ยินเท่านั้น
เมื่อนั่งประจำที่แล้วหากเกิดความกลัวก็อย่าเพิ่งภาวนาองค์กรรมฐาน ให้สวดปะฏิสังขาโย ฯลฯ อัชชะ มะยา ฯลฯ และยะถาปัจจะยัง ฯลฯ ไปเรื่อยๆ เพื่อขจัดความหวาดกลัว ถ้ายังไม่หายกลัวก็ให้สวดไปจนครบ ๑๐๘ จบ
แรกๆ สามเณรเกี่ยวก็กลัวจนตัวสั่น แต่พอนานวันเข้าก็เริ่มชินจนเห็นเป็นธรรมดาไป เมื่อฝึกนั่งกรรมฐานจนได้หลักแล้ว หลวงพริ้งก็พาเดินธุดงค์ไปรอบๆ เกาะสมุย เรื่องเดินธุดงค์นั้น

หลวงพ่อสมเด็จ ฯ เล่าว่า “ สมุยในเวลานั้น ไม่เหมือนทุกวันนี้ ผู้คนไม่มาก เรียกว่า รู้จักกันหมดแทบทุกครัวเรือน เณรตามอาจารย์ไปถึงไหนคนก็ถาม แม้เมื่อมาเรียนที่กรุงเทพแล้ว เวลาหยุดเรียนกลับสมุย หลวงพ่อพริ้งก็ยังพาเดินธุดงค์อยู่ ”
