
จากคำอธิบายอัตลักษณ์พระวิทยากรกระบวนธรรม นอกจากที่เราเรียนรู้พระพุทธศาสนาเพื่อการขัดเกลากิเลสในตนเองแล้ว ก็ต้องช่วยผู้อื่นให้มีความรู้ในการดับทุกข์ในใจด้วยตนเองต่อไป เป็นการพึ่งตนพึ่งธรรมอย่างแท้จริง สำหรับในด้านการเผยแผ่จะต้องทำอย่างไรจึงจะทำความเข้าใจอุดมการณ์ทางพระพุทธศาสนาให้เด่นชัดขึ้นสำหรับพระวิทยากรที่จะทำหน้าที่เผยแผ่ธรรมต่อไป กิจกรรมจุดเทียนอุดมการณ์จึงเกิดขึ้นโดย
๑. มีหลักการ (ability)
๒. ประสานศรัทธา (confidence)
และ ๓. บ่มเพาะปัญญาตื่นรู้ (awareness)

วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร
เปิดห้องเรียนธรรมะ บ่มเพาะปัญญาให้ตื่นรู้
สานอุดมการณ์ทางพระพุทธศาสนาให้มีลมหายใจ
โดย พระมหาขวัญชัย กิตฺติเมธี ป.ธ.๙, ดร.

วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร
“กิจกรรมจุดเทียนอุดมการณ์”
เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมหลักของคัมภีร์พระวิทยากร : หลักสูตรพระวิทยากรกระบวนธรรม ถอดบทเรียนโดย พระมหาขวัญชัย กิตฺติเมธี, ป.ธ.๙,ดร. ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาพระวิทยากร สำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมฯ วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร มีแนวคิดที่เน้นการเสียสละ ตามหลักประโยชน์ หรืออัตถะ ๓ อย่างคือ อัตตัตถะ ประโยชน์ตน, ปรัตถะ ประโยชน์ผู้อื่น และ อุภยัตถะ ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย โดยประโยชน์เหล่านี้มีการขยายให้เห็นชัดขึ้นตามคำที่เจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสณมหาเถร) ว่า “เราได้ สำนักไม่ได้ พระศาสนาไม่ได้ ไม่เอา ไม่ทำ เราไม่ได้สำนักได้ พระศาสนาได้ เอา ทำได้ เราได้ สำนักได้ พระศาสนาได้ เอา ทำได้”

สอดคล้องกับที่พระพุทธองค์ตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเที่ยวจาริกไปเพื่อประโยชน์แก่ชนเป็นอันมาก เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์สัตว์โลก
จากแนวคิดนี้นำไปสู่การทำงานของพระวิทยากรในการจัดเตรียมกิจกรรมจุดเทียนอุดมการณ์ ซึ่งต้องเตรียมอุปกรณ์มากพอสมควร ทั้งเตรียมสัญลักษณ์ที่สื่อถึงงานพระพุทธศาสนา เทียน กระดาษสี และสถานที่ บางแห่งอยู่นอกอาคารก็ต้องเสี่ยงกับสภาพอากาศที่เลือกไม่ได้ (ที่เมืองโบราณในโครงการพระวิทยากรกระบวนธรรมรุ่น ๒ ทำกิจกรรมนี้ที่ลานกว้าง ส่วนที่จังหวัดน่าน เราจัดที่ลานธรรม วัดดอนมูล ในโครงการพระวิทยากรกระบวนธรรมภาคเหนือ จ.น่าน รุ่น ๑) และจากกิจกรรมนี้ทำให้เราได้ลักษณะของพระวิทยากร คือ
๑. มีหลักการ (ability)
ทุกอย่างที่ทำต้องมีแนวคิดหรือหลักการที่ก่อเกิดเป็นอุดมการณ์สำคัญ นั่นคือ “ความเสียสละ” อย่างในขั้นตอนการเตรียมกิจกรรมจุดเทียนอุดมการณ์ เราได้ประชุมเตรียมสัญลักษณ์อันจะสื่อให้เห็นอุดมการณ์ในการเผยแผ่ โดยครั้งนี้จังหวัดน่าน เราทำเป็นรูปใบโพธิ์ ซึ่งมีลักษณะเด่นคือ มองด้านบนเป็นรูปหัวใจ
เพราะพระวิทยากรต้องทำงานด้วยใจเสียสละ และยังมีภาระหลักคือมุ่งเน้นเยียวยาจิตใจให้กับคนที่อยู่ในห้วงแห่งความทุกข์ที่กำลังแสวงหาที่พึ่งทางใจอยู่
อีกส่วนหนึ่งเวลาพระวิทยากรจะไปสอนหรืออบรมต้องเน้นกระบวนการ “ได้หัวใจ ให้หัวคิด” คือ ก่อนจะสอนใครได้ เราต้องได้ใจเขาก่อน จึงจะเริ่มสอนหรือให้ความคิดแก่เขาได้
อีกจุดเด่นหนึ่งของใบโพธิ์ คือสัญลักษณ์แห่งการตรัสรู้ และสัญลักษณ์นี้จะไม่มาถึงเรา หากพระพุทธองค์ตรัสรู้แล้วทรงนิ่งเฉยเสีย แต่เพราะพระพุทธองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ คือพระคุณอันปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ อันเป็นพระคุณที่ยิ่งใหญ่จึงยอมเสียสละออกโปรดแสดงธรรมตลอด ๔๕ พรรษา

วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร
อีกส่วนหนึ่งของใบโพธิ์นั้นคือ ก้านใบที่ไม่ต่างจากหนทางที่นำไปสู่ทางตรัสรู้ โดยมีพระพุทธองค์เป็นผู้ชี้ เป็นผู้แนะทาง (มคฺคเทสโก) ไว้ เพียงแต่จะมีคนเดินตามหรือไม่ ทั้งเพื่อการเดินตามทางที่พระพุทธองค์ทรงชี้แนะไปสู่การดับทุกข์ และการเดินตามทางที่พระพุทธองค์ทรงท่องเที่ยวไปโปรดสรรพสัตว์ให้ดำรงอยู่ในความเห็นที่ถูกต้องและชอบธรรมโดยไม่เห็นแก่ความทุกข์ยากของพระองค์เอง
ระหว่างการดำเนินกิจกรรมเราได้เชิญให้พระเถระผู้เปี่ยมด้วยอุดมการณ์มามอบแนวคิดในการเผยแผ่ และให้อีกท่านช่วยบอกเล่าสัญลักษณ์เพื่อให้เกิดความเข้าใจแนวคิดนั้นร่วมกัน และให้ผู้เข้าอบรมได้มีประสบการณ์ร่วมกันในความหมายเชิงสัญลักษณ์แห่ง “ความเสียสละ”

วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร
๒. ประสานศรัทธา (confidence)
ความเชื่อมั่นมาจากการลงมือปฏิบัติให้เป็นแบบอย่าง ในมูสิกาสูตร อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาตว่า “บุคคลเหมือนหนูที่ไม่ขุดรูแล้วไม่อยู่ คือ ไม่เล่าเรียนธรรม จึงไม่ทราบความเป็นจริงว่าอะไรคือทุกข์และการดับทุกข์ บุคคลเหมือนหนูที่ขุดรูแล้วอยู่ คือ เล่าเรียนธรรม จึงทราบชัดว่าอะไรคือทุกข์และความดับทุกข์” ฉะนั้น การแนะนำให้เกิดความเชื่อมั่นใจในบุคคลผู้เป็นพระวิทยากรได้จึงต้องแนะและสอนให้ดู
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะเตรียมกิจกรรมจุดเทียนอุดมการณ์ ช่วยทำให้เห็นชัดขึ้นผ่านคำถามและคำตอบเหล่านี้ คือ

วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร
คำถาม “ทำไมท่านไม่เลือกสัญลักษณ์ที่ง่ายกว่านี้”
คำตอบ “เพราะผมทำมาแล้วพบว่า อะไรก็ตาม ถ้าไม่ยากและซับซ้อนคนจะจำไม่นานก็ลืม ยิ่งเราละเอียดมาก ผู้เข้ากิจกรรมก็จะได้ความลึกซึ้งหรือมีอะไรให้จดจำในความรู้สึกได้ไม่มากก็น้อย”
คำถาม “เราเลือกจัดกิจกรรมนี้กลางแจ้ง และขณะที่เตรียมอุปกรณ์อยู่ฝนตกลงมา ทำไมท่านจึงไม่หลบฝนหรือหาสถานที่ใหม่จัดละ ทำไมต้องทำต่อ”
คำตอบ “เพราะผมเชื่อว่าฝนตกไม่นานก็หยุด และก็หยุดจริงๆ ฝนที่ตกลงมาช่วยชำระพื้นที่ดูไม่สะอาด และยังช่วยทำให้ทรายที่เราจัดเตรียมไว้แน่นขึ้นด้วย”
ผลสัมฤทธิ์ของการไม่หนี ไม่ทิ้งของผู้จัดเตรียมสถานที่ทำให้ผู้เข้าอบรมที่เห็นท่านทำงานเปียกฝนอยู่ ยกร่มขนาดใหญ่มากางและช่วยกันทำ พระวิทยากรที่เตรียมการณ์ทำให้ผู้เข้าอบรมเชื่อมั่นในสิ่งที่ท่านทำได้ และยอมที่จะเข้ามาช่วยทำอย่างไม่กลัวสายฝนที่โปรยปรายลงมา

วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร
๓. บ่มเพาะปัญญาตื่นรู้ (awareness)
พระวิทยากรต้องเรียนรู้ว่า ทุกอย่างที่ทำนั้นต้องสร้างความตระหนักรู้ หรือเข้าใจว่าสิ่งที่ทำนั้นเรามองเห็นตัวเราเองมากน้อยแค่ไหน เพราะสิ่งที่สำคัญของการตื่นรู้คือการย้อนกลับมาถามตนเองด้วยว่า “เราได้รู้อะไร” หรือ “เรารู้สึกอย่างไร”
“เราได้รู้อะไร” ในช่วงที่ฝนตกลงมาในระหว่างการเตรียมกิจกรรมนั้น ได้สอนให้เราได้รู้ว่าวิทยากรอย่ามัวสนใจปัญหาที่เกิดขึ้นหรือวิตกกังวลกับตัวเองให้มากนัก แต่ให้มุ่งสนใจงานหรือประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นเป็นหลัก

วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร
“เรารู้สึกอย่างไร” ความรู้สึกนั้นเกิดจากการร่วมกันทำกิจกรรมและรู้สึกถึงการเชื่อมโยงความเป็นหนึ่งเดียว เพราะแสงไฟดวงเดียวแม้ให้แสงสว่างได้ก็ไม่มาก ให้ความอบอุ่นได้ก็น้อยเกินไป จะทำอาหารก็ยังไม่เพียงพอ ในแง่ของความดี มีน้อยไปก็ยากจะยั่งยืน มีพอดีก็ยังใช้ไม่ได้ ต้องมีให้มากสังคมนี้จึงจะอยู่ได้และยั่งยืน
ฉะนั้น การรวมกันได้จึงมาจากรู้สึกภายในที่เข้าใจตนว่ารักสุขเกลียดทุกข์อย่างไร ก็จะเข้าใจคนอื่นก็ไม่ต่างจากเราเช่นกัน เมื่อเข้าใจความรู้สึกจึงเรียนรู้ที่จะมุ่งหมายประโยชน์ของสังคมมากกว่าของประโยชน์ตนเอง

วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร
“เปิดห้องเรียนธรรมะ บ่มเพาะปัญญาให้ตื่นรู้ สานอุดมการณ์ทางพระพุทธศาสนาให้มีลมหายใจ” โดย พระมหาขวัญชัย กิตฺติเมธี ป.ธ.๙, ดร.
จากคอลัมน์ ท่องเที่ยวโลกกะธรรม (หน้าพระไตรสรณคมน์ นสพ.คมชัดลึก วันพฤหัสบดีที่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๖๒)

โดย พระมหาขวัญชัย กิตฺติเมธี ป.ธ.๙, ดร.

