“เปลี่ยนความผิดหวังให้เป็นพลังสร้างสรรค์ไม่รู้จบ” เขียนโดย พระมหาประสิทธิ์ ญาณปฺปทีโป

“ความรู้สึกเจ็บจึงเป็นเหมือนสัญญาณเตือนภัย 

ให้ระมัดระวัง  หรือรอบคอบมากขึ้น”

พระมหาประสิทธิ์ ญาณปฺปทีโป

“เปลี่ยนความผิดหวังให้เป็นพลังสร้างสรรค์ไม่รู้จบ”

ธรรมชาติให้ความรู้สึกเจ็บปวดมาไว้เป็นเครื่องเตือนสติ  กระตุ้นให้เห็นอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้น  เหมือนขณะที่เราเดินเท้าเปล่าไปช้า ๆ  ที่สนามหญ้า  ทันใดนั้นผิวผ่าเท้าสัมผัสวัสดุแข็งแหลมจนรู้สึกเจ็บจี๊ดๆ ขึ้นแม้เพียงเล็กน้อย  ปลายประสาทก็ส่งข่าวให้สมองรับรู้อย่างรวดเร็วสั่งเท้าอย่าพึ่งเหยียบลงไป  ยั้งและยกออกมาพบว่า  เป็นตะปูขนาดเล็ก ถ้าเหยียบลงไปมากกว่านี้คงระทมทุกข์ไปนาน  ความรู้สึกเจ็บจึงเป็นเหมือนสัญญาณเตือนภัย  ให้เราระมัดระวังในการเดิน  หรือมีความรอบคอบต่อการดำเนินชีวิตมากขึ้น

ความทุกข์ 

หรือความรู้สึกเจ็บปวดเพราะความผิดหวัง

จึงเป็นสิ่งที่ดี 

เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของชีวิต

ซึ่งมักคอยเตือนเราอยู่เสมอ

ถึงความไม่เที่ยงแท้แน่นอน  

พระมหาประสิทธิ์ ญาณปฺปทีโป

คนที่เคยรักกันจนแต่งงาน  ไม่กี่วันก็สามารถที่จะทะเลาะขัดแย้งกันได้  ยิ่งถ้ายังไม่แต่งงานกลับมาขัดแย้งกันเรื่องผลประโยชน์ก็ถือว่าดีมากๆ  เพราะขนาดยังไม่แต่งงานเขาก็ยังเห็นกำไรตัวเองเป็นสำคัญ  ไม่คำนึงถึงทุนที่เราขาดไป  โดยเฉพาะความจริงใจที่ทุ่มเทให้ไป  เขาเผยธาตุร้ายตั้งแต่วันนี้ยังดีกว่าเรานึกว่าเขาดีจนถึงวันที่สายไป

ชีวิตคู่หากอยู่กันอย่างเข้าใจมีอะไรก็ยืดหยุ่นแก่กันและกัน  มันก็จะเป็น “คู่สร้างคู่สม” แต่ถ้าอยู่กันแบบคู่มวยซ้อมหมัดศอกกันทุกวัน ไม่นานก็กลายเป็น “คู่แค้น”  และส่วนใหญ่ผู้หญิงก็จะแค้นนานลึกจนกลายเป็น “นางแค้น”  ในที่สุด  ชีวิตก็หาสุขไม่ได้  (แต่ก็ไม่แน่เสมอไป ขึ้นชื่อว่า ความแค้น ผู้ชายที่แค้นนาน แค้นลึกก็มีเหมือนกัน ไม่ต่างกัน หากขาดสติให้กิเลสครองใจจนตกเป็นทาส ) สุดท้ายก็ทำร้ายตนเองและคนอื่น  สร้างทุกข์ต่อกันผูกพันกันในอีกรูปแบบหนึ่งเรียกว่า “คู่เวร”  จองเวรกันข้ามภพข้ามชาติ  ไม่มีใครอยากให้ชีวิตเป็นแบบนั้นแน่นอน

หากสุดท้ายคำว่า “หย่า” เป็นสิ่งที่ทั้งคู่คิดจะเลือก  มันก็ยากที่ใครจะทัดทานได้    ถึงจะเสียใจอยู่บ้างแต่เส้นทางชีวิตยังอีกไกล  ถึงอย่างไรก็ต้องเดินต่อ  บางทีจากแล้วจบให้ความรู้สึกเจ็บบรรเทา  อาจจะดีกว่าเจ็บไม่จางเพราะอยู่ด้วยกันอย่างไม่ถนอมรัก    แรกๆ ใจอาจจะยังไม่หายเจ็บ  สักพักมันก็จะกลายเป็นแค่ความทรงจำเก่าๆ 

หลายคนเมื่อพูดถึงชีวิตคู่  ก็มักจะคิดแค่คนสองคน  แต่จริงๆ แล้ว  บางครั้งมีมากกว่า ๒ คน  เมื่อพ่อแม่แยกทางกัน  แล้วลูกน้อยนั้นจะอยู่อย่างไร  บ่อยครั้งที่คุยกันกับพระที่สอนศีลธรรม  ได้รับเสียงสะท้อนว่า  พักหลังๆ มานี้  พูดเรื่องกตัญญูต่อพ่อแม่ได้ลำบากมาก  เพราะเด็กบางกลุ่มไม่เคยได้มีพ่อแม่เป็นบุพพการี  ความรู้สึกว่าจะต้องมีความกตัญญูจึงไม่ค่อยรู้สึก

“เหมือนพ่อแม่ได้สร้างตัวหนูขึ้นมา  แล้วก็พรากจิตวิญญาณหนูไป”

สหายธรรมท่านหนึ่งเล่าถึงความรู้สึกบางอย่างที่ได้รับรู้มาจากเด็ก

เรามีการอบรมให้เด็กเกิดความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ 

ก็น่าจะมีการอบรมพ่อแม่ให้ทำหน้าที่ที่ดีต่อลูกเช่นเดียวกัน 

พระมหาประสิทธิ์ ญาณปฺปทีโป

เพราะการส่งเสริมคุณธรรมความดี  ใช้การปลูกฝังให้เกิดเป็นนิสัยอยู่ในใจ  ไม่ใช่แค่สอนให้จำแต่ไม่ได้เอาไม่ทำ  แค่นำไปสอบอย่างเดียว  เป็นส่วนหนึ่งของบทสรุปจากการถอดบทเรียนร่วมกัน

หน้าที่ของคู่ครอง  คือการสร้างครอบครัวที่อบอุ่น  พ่อแม่ให้กำเนิดเกิดลูกรักขึ้นมาแล้ว  ก็ต้องอบรมเลี้ยงดูทั้งทางกาย  ให้เติบโตมีพลานามัยที่แข็งแรง   และหน้าที่ของพ่อแม่ใน สิงคาลสูตร บอกว่า 

๑.ห้ามไม่ให้ลูกทำชั่ว 

๒. สอนให้ตั้งอยู่ในความดี 

๓.ให้ศึกษาศิลปวิทยา 

๔.หาคู่ครองที่สมควรให้ 

๕.มอบสมบัติให้ในเวลาอันสมควร

ขั้นต้นจะเห็นว่าเป็นการบ่มเพาะให้ลูกเป็นคนดีตั้งแต่ที่บ้าน การสร้างนิสัยจึงเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่จะกล่อมเกลาให้เด็กมีลักษณะอย่างไร  เด็กดีจึงเริ่มต้นที่บ้าน  พ่อแม่คือสิ่งแวดล้อมที่สำคัญที่สุดของลูก 

จากนั้นพ่อแม่ก็มีหน้าที่ส่งเสริมให้ลูกได้มีโอกาสสัมผัสกับประสบการณ์การเรียนรู้ที่ดี  คำว่าศึกษาศิลปวิทยา ในที่นี้ไม่ใช่แค่การศึกษาในห้องเรียนตามระบบ แต่หมายถึงการปลูกฝังอุปนิสัยรักการเรียนรู้และฝึกทักษะสำคัญประจำตัว  ให้มีทักษะพื้นฐานเอาตัวรอดและมีความสามารถในการประกอบอาชีพ สังเกตได้ถึงอดีตที่พ่อแม่จะให้ลูกช่วยงานและฝึกงาน จนสามารถสืบทอดกิจการของบ้านได้  การศึกษามีเงินพ่อแม่ก็ส่งเรียนได้ หรือมีทุนให้กู้ยืม  แต่นิสัยรักการเรียนรู้นั้น  ขึ้นอยู่ที่พ่อแม่จะปลูกฝังให้ตั้งแต่เด็กๆ

ส่วนเรื่องคู่ครองและการมอบทรัพย์มรดกนั้น  สมัยนี้เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก  แต่พ่อแม่ก็ต้องดูแลให้ความรักของลูกให้อยู่ในครรลองที่เหมาะสม พร้อมทั้งเตรียมความพร้อมให้ลูกได้มีศักยภาพเพียงพอที่จะเป็นผู้นำครอบครัวในอนาคต  ไม่ว่าลูกสาวลูกชาย   เมื่อโลกผ่านมาถึงยุคนี้  ทุกคนจำเป็นต้องมีทักษะการบริหารจัดการตนเองที่ดี (oneself management) โดยเฉพาะการดูแลตนเองในด้านอารมณ์  เพื่อให้จิตใจมั่นคงเข้มแข็งพร้อมที่จะเผชิญปัญหาและอุปสรรคในอนาคต

คนที่มีจิตใจมั่นคงจะสามารถปรับตัวได้ทันทีเมื่อมีวิกฤติ  เก็บทุกเรื่องเจ็บให้เป็นบทเรียน  เปลี่ยนทุกอุปสรรคให้กลายเป็นอุปกรณ์ในการฝึกตน ต่อให้เจอสักร้อยความผิดหวังพลังแห่งการสร้างสรรค์ก็ยังคงเต็มเปี่ยม   จะดีแค่ไหนลองคิดดู?

“เปลี่ยนความผิดหวังให้เป็นพลังสร้างสรรค์ไม่รู้จบ” เขียนโดย พระมหาประสิทธิ์ ญาณปฺปทีโป

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here