“ศรัทธา กำเนิดพุทธศิลป์
(Faithful : The birth of buddhist art)”
(ตอนที่ ๕)
: ธรรมนิพนธ์ เรื่อง สุวรรณบรรพต สยามพุทธศิลป์
เขียนโดย พระราชกิจจาภรณ์ (เทอด ญาณวชิโร)
ศรัทธา กำเนิดพุทธศิลป์ (Faithful : The birth of buddhist art)
ศิลปะ นับว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ตั้งแต่โบราณกาล ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช จักรพรรดิราชวงศ์โมริยะทรงปกครองแคว้นมคธในอินเดีย พระองค์เป็นผู้หนึ่งที่ได้ชื่อว่า เป็นองค์อุปถัมภ์พระพุทธศาสนาให้มีความเจริญรุ่งเรืองสูงสุด โดยได้ส่งสมณทูตออกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ในดินแดนต่างๆ
พระองค์ทรงสร้างเสาหินทรายเพื่อเป็นพุทธบูชา เป็นสัญลักษณ์ถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อีกทั้งยังเป็นการระบุสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนาด้วย ต่อมา จึงมีชื่อเรียกว่า “เสาอโศก” หรือ “เสาหินพระเจ้าอโศกมหาราช” (Pillars of Ashoka) มีลักษณะเป็นหัวสิงห์แกะสลัก ประดิษฐานอยู่ เป็นสัญลักษณ์ถึงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ในช่วงต้นของการเกิดพระพุทธศาสนา ยังไม่ปรากฏรูปเคารพ ต่อมา พระเจ้ามิลินท์ กษัตริย์เชื้อสายกรีก ได้เข้ามาครอบครองดินแดนแคว้นคันธาราฐ ปัจจุบันเป็นดินแดนอัฟกานิสถาน และได้มีเรื่องราวการปุจฉาวิสัชนากับพระนาคเสน มีบันทึกไว้ในหนังสือเรื่อง “มิลินทปัญหา”
“ในการสนทนาธรรมครั้งนั้น ทำให้พระเจ้ามิลินท์ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา และได้ก่อสร้างสถาปัตยกรรมและประติมากรรมทางพระพุทธศาสนามากมายในแคว้นคันธาราฐ”
พระราชกิจจาภรณ์ (เทอด ญาณวชิโร)
พระพุทธรูปยุคแรกจึงเกิดขึ้นในรัชสมัยของพระองค์ เรียกว่า “พระพุทธรุปแบบคันธาราฐ” มีลักษณะใบหน้าคล้ายฝรั่ง จีวรเป็นริ้วเหมือนประติมากรรมเทวรูปกรีก
แม้ว่า เหตุผลของการเข้ามาจะเป็นการยึดครองอาณานิคม ถึงกระนั้นก็ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมของแต่ละดินแดน เกิดการผสมผสานปรับเปลี่ยนพัฒนาจนกลายเป็นรูปแบบศิลปกรรมที่หลากหลายตามมาด้วย
เส้นทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนายังไปตามเส้นทางการค้าเก่าแก่ ที่รู้จักกันในชื่อ “เส้นทางสายไหม” จากดินแดนเปอร์เซียโบราณเข้าสู่แผ่นดินจีน เส้นทางสายไหม เป็นเส้นทางการเดินทางค้าขายของขบวนคาราวานพ่อค้าต่างถิ่น รวมทั้งพระสมณทูตพระพุทธศาสนา ที่เข้าสู่แผ่นดินจีน ข้ามภูเขาทะเลทราย ผ่านเมืองกลางทะเลทรายตามเส้นทางการค้าเก่าแก่ จึงยังปรากฏหลงเหลือศาสนสถานที่สำคัญมากมาย ที่ไม่ได้มีเฉพาะพระพุทธศาสนาเท่านั้น หากแต่ยังมีศาสนสถานพราหมณ์ ฮินดู และอิสลาม
ร่องรอย และลวดลายจิตรกรรม ประติมากรรม บนเส้นทางสายไหม ถูกบันทึกไว้ตามวัด ผนังถ้ำผาต่างๆ มากมายกลางทะเลทราย ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงความรุ่งเรือง พลังแห่งศรัทธาในพระศาสนา คติความเชื่อ เรื่องเล่าานิทานปรำปรา ลวดลายที่ได้รับอิทธิพลมาจากการเดินทางของชนชาติที่หลากหลาย เกิดการแลกเปลี่ยนสินค้า แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ต่างถ่ายเทแลกเปลี่ยนผสมผสาน ปรากฏผ่านศิลปะ และยังคงหลงเหลือเป็นมรดกโลก ที่ประมาณค่าไม่ได้ในปัจจุบัน
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
คำนำผู้เขียน
“ศิลปะ” เป็นเครื่องมือสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา แม้ว่าข้อเท็จจริง ศิลปะจะมีหน้าที่รับใช้สุนทรียะทางจิตใจของปัจเจกชน ซึ่งก็คือศิลปินต้องการสร้างความงาม จึงได้สร้างศิลปะในรูปแบบต่างๆ ขึ้นมา แต่คุณค่าที่ตามมา คือ ประชาชนที่เสพศิลปะได้เข้าถึงคุณค่าทางศาสนา และดำเนินชีวิตตามหลักแห่งความดีที่ศิลปินเสนอผ่านศิลปะ
“ศิลปะ” จึงได้ชื่อว่า “เป็นมงคลสูงสุด” อย่างหนึ่ง
ในโอกาสครบรอบ ๕ ปี สำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และความมั่นคง แห่งสถาบันชาติ พระศาสนา พระมหากษัตริย์ และโอกาสอันสำคัญยิ่งที่เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช มีอายุวัฒนมงคลครบ ๘๕ ปี สำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมฯ จึงได้จัดงานแสดงนิทรรศการเพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์กิจกรรม ตลอดระยะเวลา ๕ ปี ที่ผ่านมา
ในงานดังกล่าว ศิลปินแห่งชาติ และศิลปินมีชื่อเสียงของเมืองไทย ได้ร่วมส่งผลงานภาพเขียน เพื่อจัดแสดงนิทรรศการ ในชื่อ “สุวรรณบรรพต สยามพุทธศิลป์” (ระหว่างวันที่ ๑๔ มีนาคม-๒๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๖ ที่ศาลาสุวรรณบรรพต วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร)
โดยมาก เราคุ้นเคยกับการแสดงศิลปะตามหอศิลป์ หรือนิทรรศการภาพเขียนตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งแต่เดิมจิตรกรรมฝาผนังในวัดก็คือ นิทรรศการถาวรนั่นเอง แต่เมื่อโลกเปลี่ยนแปลงไป สังคมก็หมุนตามโลก การนำเสนอจิตรกรรมฝาผนังก็อนุวัตรตามวิธีการของโลก จึงมีการนำศิลปะออกจากวัดไปอยู่ตามหอศิลป์ ทำให้จิตรกรรมในวัดดูซบเซาลงไป
การจัดนิทรรศการภาพเขียนในวัด ตามวิธีการแสดงศิลปะยุคปัจจุบัน เป็นการนำศิลปะกลับคืนสู่วัด กลับคืนสุ่จุดกำเนิด ก็เป็นส่วนหนึ่งของการรักษาศิลปะที่เกิดขึ้นในวัด ซึ่งก็เป็นที่มาของการจัดนิทรรศการ เป็นการย้อนกลับไปสู่อดีต ด้วยการใช้วิธีปัจจุบัน