![](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2022/06/C2468DBC-2478-40AC-82DD-A7FE880B46D1-2-1024x623.jpg)
ถือเป็นหน้าที่สำคัญที่จะต้องอบรมสามเณรภายในพระอารามด้วยตัวของท่านเอง ทุกวันพระขึ้น ๑๕ ค่ำ แรม ๑๕ ค่ำ
เรียนรู้ปฏิปทาและวัตรปฏิบัติพระเถระแห่งยุคสมัยกึ่งพุทธกาล
ผู้นำความสมานสามัคคีในคณะสงฆ์อย่างหมดจดและงดงาม
จนสามารถสร้างพระรุ่นใหม่
เพื่อรับใช้เพื่อนมนุษย์ได้มากที่สุด
ในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาบนผืนแผ่นดินไทย
![](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2023/02/S__11714563-1024x688.jpg)
หลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านให้ความสำคัญกับการฟังพระปาฏิโมกข์มาก ท่านจะสังเกตว่าพระใหม่ พระหนุ่มนั่งฟังอย่างไร พนมมืออย่างไร ไม่มีการตำหนิต่อหน้าให้พระต้องรู้สึกอับอาย ท่านจะมีวิธีสอนโดยให้ผู้ที่กล่าวถึงรู้สึกว่าไม่ได้ถูกตำหนิ ด้วยการเล่ายกย่องถึงพระจริยวัตรบูรพาจารย์(สมเด็จพระสังฆราชฯ) ว่า “พระองค์ท่านแม้ชราภาพมากแล้ว แต่ก็ทรงมีความอดทนประทับนั่งในอิริยาบถเดิม พระหัตถ์ก็จะพนมเป็นรูปดอกบัวตูมตลอดในขณะฟัง คือ ฟังด้วยความเคารพในพระปาฏิโมกข์” จึงทำให้ผู้ฟังทั้งพระใหม่ พระเก่า ซึ่งเป็นชนรุ่นหลังที่ไม่เคยพบพระองค์ท่านรู้สึกเคารพ และศรัทธาพระองค์ท่านในข้อวัตรปฏิบัติ
สำหรับสามบทนี้เล่าเรื่องแต่เมื่อครั้งหลวงพ่อสมเด็จฯ อุปสมบท ได้รับฉายาว่า “อุปเสโณ” หมายถึง “ผู้ยังชนทุกชนชั้นให้เลื่อมใส” ซึ่งผ้าไตรครองที่โยมบิดา โยมมารดาถวายในวันที่อุปสมบทนั้น หลวงพ่อสมเด็จฯ ก็ได้พับเก็บไว้ที่ตู้ในกุฏิบนหัวนอนสืบมา และในพรรษาแรกท่านก็สามารถสวดพระปาฏิโมกข์ได้ เป็นที่ดีใจของสมเด็จพระสังฆราช (อยู่) ยิ่งนัก โดยการขึ้นสวดพระปาฏิโมกข์พรรษาแรกครั้งนี้ สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ทรงจัดเครื่องบูชาพระปาฏิโมกข์ด้วยพระองค์เอง หลังจากได้รับเครื่องบูชาในวันขึ้นสวดพระปาฏิโมกข์ในครั้งนั้น หลวงพ่อสมเด็จฯ ก็ได้นำมาไว้บูชาที่กุฏิจนถึงปัจจุบัน
![](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2022/06/สามเณรเกี่ยว-โชคชัย1-761x1024.jpg)
วิถีแห่งผู้นำ
: สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสณมหาเถร)
๔๐. อุปสมบท
๔๑. ทรงพระปาฏิโมกข์
๔๒. เครื่องบูชาพระปาฏิโมกข์
เรียบเรียงโดย พระครูอมรโฆสิต (ปรีชา สาเส็ง)
![](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2022/06/พระธรรมเจดีย์-เทียบ011-5-679x1024.jpg)
๔๐. อุปสมบท
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๒ สามเณรเกี่ยว โชคชัย ได้เข้าพิธีอุปสมบท ณ พระอุโบสถ วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ ในวันที่ ๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๒ โดยมีเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทยมหาเถระ) ครั้งดำรงสมณศักดิ์เป็นพระธรรมวโรดม เจ้าอาวาสวัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านเจ้าคุณพระสุธรรมธีรคุณ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูปลัดเทียบ ซึ่งต่อมา คือ ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ และเป็นเจ้าอาวาสวัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร ในลำดับต่อมา เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า “อุปเสโณ” หมายถึง “ผู้ยังชนทุกชนชั้นให้เลื่อมใส”
“ผ้าไตรครองที่โยมบิดา โยมมารดาถวายในวันที่อุปสมบทนั้น หลังจากได้ใช้มาสักระยะหนึ่งแล้ว
หลวงพ่อสมเด็จฯ ก็ได้พับเก็บไว้ที่ตู้ในกุฏิบนหัวนอนสืบมา”
![สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ)](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2022/05/img017-2.jpg)
๔๑. ทรงพระปาฏิโมกข์
ภายหลังเมื่ออุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้ว พระมหาเกี่ยว อุปเสโณ ยังคงตั้งหน้าตั้งตาศึกษาพระปริยัติอย่างมุ่งมั่นเหมือนเมื่อครั้งเป็นสามเณร ในขณะเดียวกันก็ท่องพระปาฏิโมกข์จนสามารถสวดพระปาฏิโมกข์ได้ในพรรษาแรกของการอุปสมบท
“ตอนบวชพรรษาแรก สมเด็จพระสังฆราชบอกอยากให้ท่องปาฏิโมกข์ ต้องท่องให้ได้ในพรรษาแรก พรรษามากขึ้นจะท่องไม่ได้ แล้วก็ทรงให้เจ้าคุณธรรมเจดีย์เป็นผู้ซักซ้อม ทุกเย็นต้องมาทวนให้เจ้าคุณธรรมเจดีย์ฟัง ท่องอยู่ ๑๕ วันก็จบ แล้วทวนให้คล่องอยู่อีกราว ๑๐ วัน จนเจ้าคุณธรรมเจดีย์บอกว่า ขึ้นสวดได้ จึงได้ขึ้นสวด หลวงพ่อขึ้นสวดปาฏิโมกข์ครั้งแรก สมเด็จพระสังฆราชทรงดีพระทัยมาก คงด้วยในพระอารามมีพระทรงปาฏิโมกข์ เพิ่มขึ้นอีกองค์”
![พระธรรมเจดีย์ (เทียบ ธมมฺธโร) พระอาจารย์ผู้อบรมในจริยาวัตร](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2022/05/img009-4.jpg)
๔๒.
เครื่องบูชาพระปาฏิโมกข์
การขึ้นสวดพระปาฏิโมกข์พรรษาแรกครั้งนี้ สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ทรงจัดเครื่องบูชาพระปาฏิโมกข์ด้วยพระองค์เอง ทรงตรัสว่า “แกจะขึ้นสวดปาฏิโมกข์ ที่นี่ต้องจัดเครื่องบูชาปาฏิโมกข์เอง”
“ พระองค์จะใช้คำแทนพระองค์ท่านว่า “ที่นี่” เครื่องบูชาทั้งหมด หลวงพ่อเก็บไว้ ไม่ได้ใช้ ถือว่าเป็นของสมเด็จพระสังฆราช ”
หลังจากได้รับเครื่องบูชาในวันขึ้นสวดพระปาฏิโมกข์ในครั้งนั้น หลวงพ่อสมเด็จฯ ก็ได้นำมาไว้บูชาที่กุฏิจนถึงปัจจุบัน
![สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสณมหาเถระ)](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2022/06/IMG_00533-683x1024.jpg)
ผู้เขียนขอเล่านิดหนึ่ง เรื่องการสวดปาฏิโมกข์นั้น เจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านจะให้ความสำคัญอย่างมาก ดังนั้นพอใกล้จะถึงวันพระ ท่านจะถามทุกครั้งว่า “วันพระนี้ ใครสวด” …ก็จะกราบเรียนให้ท่านทราบ ตามวาระที่ได้กำหนดไว้ว่า พระรูปใด เป็นผู้ขึ้นสวด
วันพระใหญ่…
พอสวดปาฏิโมกข์จบ ท่านก็ชมว่า “สวดเสียงดัง ฟังชัด เพราะดี” ซึ่งน้อยคนนักที่จะได้รับคำชมจากเจ้าประคุณสมเด็จฯ ในเรื่องของการสวดพระปาฏิโมกข์เช่นนี้ เท่าที่ผู้เขียนอยู่ใกล้ชิด แต่ก็มีบางรูปที่สวดช้าบ้าง สวดเร็วบ้าง ซึ่งเจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านก็จะแนะนำด้วยความเมตตาว่าควรจะปรับอย่างไร
วันพระต่อมา ท่านก็ถามเหมือนเดิม
บังเอิญว่า วันพระที่จะถึงนี้ ประโยค ๙ นาคหลวง จะต้องขึ้นสวดพระปาฏิโมกข์ในพรรษาแรกของการบวช เจ้าประคุณสมเด็จฯ จึงให้ไปเรียกมาพบที่คณะ ๕ เพราะท่านจะเป็นผู้ซักซ้อมให้เอง และจะคอยแนะนำเสมอ สำหรับผู้ที่จะขึ้นสวดพระปาฏิโมกข์ว่า
“เวลาท่องปาฏิโมกข์ต้องท่องทีเดียวให้จบ ท่องทีเดียวไม่จบก็จะได้ยาก แล้วต้องท่องให้ชัดคำ ไม่ต้องให้เร็ว พอจำได้คล่องปากแล้ว จะเร่งให้เร็วก็ได้ ให้ช้าก็ได้ ข้อสำคัญ คือ ต้องชัดคำ การท่องปาฏิโมกข์จึงเน้นให้ชัดคำก่อน อย่าเพิ่งเร็ว พอจำได้แม่นแล้ว ค่อยฝึกสวดให้เร็วทีหลัง จึงจะสวดปาฏิโมกข์ได้น่าฟัง”
![สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) ภาพในอดีต เมื่อครั้งยังเป็นพระมหาเกี่ยว อุปเสโณ](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2022/06/img010-2.jpg)
ช่วงเข้าสู่พรรษาที่ ๕ (๒๔๙๗) แห่งการอุปสมบทบวชเป็นพระภิกษุ พระมหาเกี่ยวก็สามารถเรียนสำเร็จถึงเปรียญธรรม ๙ ประโยค อันเป็นการศึกษาปริยัติธรรมชั้นสูงสุดของคณะสงฆ์
“แม้พระมหาเกี่ยวอุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้ว สามารถท่องปาฏิโมกข์ได้ในพรรษาแรกที่บวชพระ และศึกษาจนสำเร็จเป็นเปรียญธรรม ๙ ประโยค แต่พระมหาเกี่ยว อุปเสโณ ก็หาได้สำคัญตนว่ามีสติปัญญาเหนือกว่าผู้อื่นไม่ ท่านยังคงปฏิบัติหน้าที่ของศิษย์ต่อพระอุปัชฌาย์ ต่อพระอาจารย์และต่อสำนักตามที่เคยปฏิบัติเช่นเดิม กุฏิที่พำนักก็ไม่ได้ย้ายไปไหน ยังคงพอใจอยู่อย่างเรียบง่ายในกุฏิหลังเล็กๆ ที่ปราศจากการตกแต่งหลังเดิม เหมือนเมื่อครั้งเป็นสามเณร“
![พระครูอมรโฆสิต (ปรีชา สาเส็ง) และ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ)](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2022/03/1F850FDA-068B-47B1-9C99-0FB76DCBFA16-2999.jpg)