
“ผู้หญิง พ้นทุกข์ได้ไหมพระเจ้าข้า” พระอานนท์
“ได้สิ อานนท์” พระพุทธเจ้า
ในพระไตรปิฎก อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต สันธานวรรคที่หนึ่ง ๑. โคตมีสูตร เล่าเรื่องที่พระนางมหาปชาบดีโคตมี พระมารดาเลี้ยงของพระพุทธเจ้า และเหล่าสตรีที่เป็นพระชายาของเจ้าชายที่ออกบวชกับพระพุทธเจ้าไปแล้ว ๕๐๐ องค์ ก็ปรารถนาจะบวชบ้าง จึงเดินพระบาทเปล่าจนเท้าแตกเลือดออก ไปขอบวชกับพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธองค์ตรัสห้ามถึงสามครั้ง ทำให้พระนางมหาปชาบดีโคตมีและสตรีอีก ๕๐๐ เป็นทุกข์แสนสาหัส
จนกระทั่ง พระนางมหาปชาบดีโคตมี เสด็จไปเข้าเฝ้าพระอานนท์เถระ พระพุทธอนุชาของพระพุทธเจ้า ในช่วงที่พระพุทธองค์ทรงประทับอยู่ ณ ศาลาวัดป่ามหาวัน เมืองเวสาลี ด้วยพระพักตร์นองไปด้วยน้ำตาเพราะต้องการจะพ้นทุกข์ตามรอยธรรมที่พระพุทธเจ้าค้นพบ เมื่อได้สนทนากับพระอานนท์เถระจนทราบเหตุแล้ว พระอานนท์อาสาเป็นผู้กราบทูลต่อพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อให้สตรีสามารถบวชได้ ท่านทูลขอถึงสามครั้ง พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธ
หลังจากนั้นพระอานนท์จึงถามพระพุทธเจ้าใหม่ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สตรีออกบวชในพระธรรมวินัยที่พระตถาคตทรงประกาศไว้แล้วอาจทำให้แจ้งในโสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล หรืออรหัตตผล ได้หรือไม่พระเจ้าข้า
พระพุทธเจ้า ตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ สตรีออกบวชในพระธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศไว้แล้ว ก็อาจทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล หรืออรหัตตผลได้
พระอานนท์เถระ จึงกราบทูลต่อไปว่า ถ้าสตรีออกบวชเป็นบรรพชิต ในพระธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศไว้แล้ว สามารถบรรลุธรรมได้ พ้นทุกข์ในสังสารวัฏได้ พระน้านางของพระองค์ ทรงเป็นผู้มีพระอุปการคุณมาก ทรงดูแลพระองค์มาแต่ทรงพระเยาว์ตั้งแต่พระชนนีของพระองค์เสด็จสวรรคต ขอพระองค์ทรงประทานโอกาสให้สตรีออกบวชเป็นบรรพชิตเถิดพระเจ้าข้า
พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า ถ้าหากพระนางมหาปชาบดีโคตมีจะทรงยอมรับครุธรรม ๘ ประการได้ ก็จะถือเป็นการอุปสมบทของพระนาง
จาก พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
ปัจจุบัน สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)
อธิบายว่า
ครุธรรม ธรรมอันหนัก, หลักความประพฤติสำหรับนางภิกษุณีจะพึงถือเป็นเรื่องสำคัญอันต้องปฏิบัติด้วยความเคารพไม่ละเมิดตลอดชีวิต มี ๘ ประการ คือ
๑. ภิกษุณีแม้บวชร้อยพรรษาแล้ว ก็ต้องกราบไหว้ภิกษุแม้บวชวันเดียว
๒. ภิกษุณีจะอยู่ในวัดที่ไม่มีภิกษุไม่ได้
๓. ภิกษุณีต้องไปถามวันอุโบสถและเข้าไปฟังโอวาทจากภิกษุทุกกึ่งเดือน
๔. ภิกษุณีอยู่จำพรรษาแล้วต้องปวารณาในสงฆ์ ๒ ฝ่ายโดยสถานทั้ง ๓ คือ โดยได้เห็น โดยได้ยิน โดยรังเกียจ (รังเกียจหมายถึง ระแวงสงสัยหรือประพฤติกรรมอะไรที่น่าเคลือบแคลง)
๕. ภิกษุณีต้องอาบัติหนัก ต้องประพฤติมานัตในสงฆ์ ๒ ฝ่าย (คือ ทั้งภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์) ๑๕ วัน
๖. ภิกษุณีต้องแสวงหาอุปสัมปทาในสงฆ์ ๒ ฝ่าย เพื่อนางสิกขมานา (โดยได้บัญญัติให้ภิกษุณีแสวงหาอุปสมบทในสงฆ์ ๒ ฝ่ายให้แก่สิกขมานาผู้ประพฤติธรรม ๖ ข้อครบ ๒ ปีโดยไม่ขาด)
๗. ภิกษุณีไม่พึงด่าไม่พึงบริภาษภิกษุไม่ว่าจะโดยปริยายใดๆ
๘. ไม่ให้ภิกษุณีว่ากล่าวภิกษุแต่ภิกษุว่ากล่าวภิกษุณีได้
ต่อมาเมื่อพระนางมหาปชาบดีโคตมีทรงอุปสมบทเป็นภิกษุณีแล้ว ทรงบำเพ็ญเพียรจนสำเร็จอรหัตตผลในที่สุด
ไม่น่าแปลกใจว่า แม้นามสมมุติที่เรียกว่าภิกษุณีอาจจะหายไปจากบันทึกในบางประเทศที่นับถือศาสนาพุทธ หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานไม่นานนัก แต่ในความเป็นจริง ภิกษุณียังคงมีอยู่ทั้งในสายเถรวาท และมหายาน อีกทั้งการบวชเรียนของลูกผู้หญิงก็ยังคงมีอยู่ในนามสมมติอื่นๆ อาทิ แม่ชี สิกขมานา หรือ สีลธารา (แม่ชีในสายหลวงปู่ชา สุภัทโท ซึ่งหลวงพ่อสุเมโธ หรือ พระราชสุเมธาจารย์ เจ้าอาวาสวัดอมราวดี ประเทศอังกฤษ องค์แรก เป็นผู้ก่อตั้งขึ้น ) ฯลฯ ยังคงสืบเนื่องไม่ขาดสายมาจนถึงทุกวันนี้

แม้ดูเหมือนว่า ครุธรรม ๘ ประการ จะเป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ยากสำหรับลูกผู้หญิง แต่เมื่อตั้งใจจะบวชเป็นภิกษุณีจริงๆ ก็ทำได้ เพื่อลดมานะทิฐิ และเพื่อความปลอดภัยของภิกษุณีซึ่งเป็นผู้หญิง การจะออกธุดงค์อยู่ป่าเพียงลำพังจึงอาจเกิดอันตรายได้ จึงต้องอยู่ในวัดที่มีภิกษุ โดยเนื้อความทั้งหมดของครุธรรม ๘ ประการ พระพุทธเจ้าทรงตั้งขึ้นเพื่อคุ้มครอง ปกป้องให้ลูกผู้หญิงปลอดภัยในระหว่างการภาวนาไปจนกระทั่งสิ้นทุกข์ในสังสารวัฏ

(กราบขอบพระคุณ ภาพถ่ายจาก สำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และความมั่นคงแห่งสถาบันชาติ พระศาสนา พระมหากษัตริย์ วัดสระเกศฯ )
จาก รำลึกวันวาน…มโนปณิธาน พระอาจารย์เทอด ญาณวชิโร (อดีตพระราชกิจจาภรณ์) ตอนที่ ๖๔ “แม่ชีคือความหวังในการฟื้นฟู และเยียวยาจิตใจลูกผู้หญิงที่ประสบกับความรุนแรงได้” ในโครงการเสริมสร้างศักยภาพแม่ชีไทย ด้านการปรึกษาเชิงพุทธจิตวิทยา ซึ่งนำกิจกรรมโดย พระมหา ดร. ประสิทธิ์ ญาณปฺปทีโป ในขณะนั้น ประธานกลุ่มเพื่อชีวิตดีงาม ณ มหาปชาบดีเถรีวิทยาลัย ในพระสังฆราชูปถัมภ์ (มปถ.) สังกัดมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย (มมร.) ร่วมกับ สถาบันพัฒนาพระวิทยากร สำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และความมั่นคงแห่งสถาบันชาติ พระศาสนา พระมหากษัตริย์

ได้จัดกิจกรรมสำหรับแม่ชี โดยเน้นกระบวนการให้คำปรึกษา เยียวยามจิตใจสตรีที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรง ให้กำลังใจ และใช้ขบวนการเชิงสัมมนาเชิงปฏิบัติการ ด้วยกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ จากพระวิทยากรที่มีประสบการณ์ และวิทยากรพิเศษที่มีความรู้ด้านการประยุกต์ใช้จิตวิทยาเพื่อ การจัดกระบวนการเรียนรู้

มีวัตถุประสงค์เพื่อ ๑. ให้ความรู้ด้านการปรึกษาเชิงพุทธจิตวิทยาที่จำเป็นต่อการจัดกระบวนการอบรมแก่แม่ชีและอาสาสมัครพัฒนาสตรี ๒. เพื่อให้แม่ชีและอาสาสมัครพัฒนาสตรี ได้ฝึกปฏิบัติกระบวนการปรึกษาเชิงพุทธจิตวิทยา และ ๓. เพื่อให้แม่ชีและอาสาสมัครพัฒนาสตรี สามารถจัดกระบวนการอบรมและการปรึกษาเชิงพุทธจิตวิทยาเพื่อช่วยเหลือเยียวยาผู้คนในสังคมต่อไป ซึ่งมีภาคทฤษฎีและฝึกปฏิบัติการ เวลา ๒ คืน ๓ วัน ระหว่างวันที่ ๙-๑๑ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๐ และภาคปฏิบัติการฝึกประสบการณ์จริง เวลา ๒ คืน ๓ วัน ระหว่างวันที่ ๑๕-๑๗ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๐

ในการอบรมดังกล่าว พระอาจารย์เทอด ญาณวชิโร (อดีตพระราชกิจจาภรณ์) ได้กล่าวโอวาทธรรมในวันที่เปิดโครงการเสริมสร้างศักยภาพแม่ชีไทย ด้านการปรึกษาเชิงพุทธจิตวิทยาตอนหนึ่งว่า

“พระพุทธศาสนามีความสำคัญมากต่อสังคมไทย เป็นรากฐานที่สำคัญของสังคมไทยเรา โดยมีพระสงฆ์ซึ่งมีบทบาทในการผยุงสังคม ทำให้สังคมร่มเย็นเป็นสุข และเราก็อาศัยพระพุทธศาสนาสร้างความร่มเย็นมายาวนาน ต่อมา ก็คือ แม่ชี เพราะต่อไปต้องทำหน้าที่เผยแผ่พระพุทธศาสนา ช่วยเหลือลูกผู้หญิงด้วยกันเป็นบทบาทที่สำคัญ เคียงบ่าเคียงไหล่กับพระสงฆ์ ”

จากบันทึก “รำลึกวันวาน …มโนปณิธาน พระอาจารย์เทอด ญาณวชิโร (อดีตพระราชกิจจาภรณ์)” ไม่เพียงรำลึกความทรงจำ หากทว่า เป็นการฟื้นฟูพลังใจของตนขึ้นมาในท่ามกลางที่เรากำลังจะเผชิญกับความรุนแรงในสังคมทุกวันผ่านสื่อออนไลน์ที่บอกเล่าความทุกข์ของผู้คน ไม่เว้นว่าจะเป็นผู้หญิง หรือ ผู้ชาย เด็ก หรือ คนชรา ต่างพบกับสารพัดความรุนแแรงที่ถาโถม ทั้งปัญหาจากการว่างงาน เศรษฐกิจไม่ดี ความไม่ได้ดั่งใจ ความอึดอัดคับข้องใจสารพัดที่มาพร้อมกับความกลัวและความกังวล ตื่นตระหนก ซึ่งทั้งหมดก่อให้เกิดความรุนแรงได้ในชั่วพริบตา

สำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมและความมั่นคงแห่งสถาบันชาติ พระศาสนา พระมหากษัตริย์ วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร
ได้ขยายงานตามมติมหาเถรสมาคม ที่๔๑๒/๒๕๕๖
ที่เห็นชอบให้สำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และความมั่นคง แห่งสถาบันชาติ พระศาสนา พระมหากษัตริย์
เป็นหน่วยงานของคณะสงฆ์ในการสนับสนุน
การดำเนินภารกิจด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเชิงรุกและสร้างเครือข่ายขับเคลื่อนงานเผยแผ่พระศาสนาเชิงรุกทั่วประเทศ
หากเราไม่เตรียมสร้างภูมิคุ้มกันทางจิตใจไว้ด้วยสติ และปัญญา เราอาจจบชีวิตลงได้ง่ายๆ จากผลข้างเคียงของคลื่นอารมณ์คนที่กระพือจนกลายเป็นพายุได้อย่างรวดเร็วในเสี้ยววินาทีที่คนสามารถทำร้ายกันได้อย่างขาดสติ และแม้ว่า เราจะมีมรณานุสติเป็นเพื่อน แต่ความไม่ประมาทก็เป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงให้เราฝึกฝนอยู่กับความเป็นจริงในปัจจุบัน ทำประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านจนกว่าลมหายใจสุดท้ายจะมาเยือน

นอกจากนี้ความรุนแรงในสังคมไทยก็มีอีกมาก และหลายปัญหาพระสงฆ์ไม่สามารถเข้าไปช่วยได้ โดยเฉพาะปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับสตรี ดังนั้นแม่ชีจึงเป็นความหวัง
“สำหรับพระวิทยากรที่มานี้ ไม่ได้มาอบรม เพราะแม่ชีทำดีอยู่แล้ว จากการอบรมศึกษาที่มหาปชาบดีเถรีวิทยาลัยแห่งนี้ก็ดีอยู่แล้ว แต่เราจะนำสิ่งที่แม่ชีทำดีอยู่แล้วออกไปช่วยสังคมอย่างไร พระวิทยากรจากกลุ่มใต้ร่มพุทธธรรมและกลุ่มเพื่อชีวิตดีงาม ก็มาช่วยคิดหาทางที่จะออกแบบหลักสูตร และหลักสูตรนั้น ก็จะเป็นหลักสูตรสำหรับเราทุกคน พอได้หลักสูตรแล้วก็นำหลักสูตรนี้ออกไปช่วยเหลือสังคม” พระอาจารย์เทอด ญาณวชิโร (อดีตพระราชกิจจาภรณ์) กล่าว

ท่านกล่าวต่อมาอีกว่า กิจกรรมแต่ละอย่างที่พระวิทยากรจะนำเข้าสู่การเรียนรู้ เพื่อให้เราเข้าถึงหัวใจของแต่ละกิจกรรม โดยให้กิจกรรมเป็นส่วนหนึ่งของเรา และเราก็เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม เรียนรู้ให้ลึกซึ้งถึงหัวใจของแต่ละกิจกรรม ถ้าเราเข้าถึงกิจกรรมตามที่ว่านี้ และต่อไปก็จะนำไปสู่ภาคปฏิบัติจริง
ประเด็นสำคัญที่พระอาจารย์เทอด ญาณวชิโร (อดีตพระราชกิจจาภรณ์) ในขณะนั้น กล่าวไว้กับแม่ชีก็คือ การที่เราจะไปช่วยผู้อื่น เราต้องรู้ว่า เขาต้องการให้เราช่วยอะไร

“ในสังคมไทย บางอย่างพระไม่สามารถเข้าไปช่วยแก้ไขเยียวยาได้ เพราะปัญหาความทุกข์มีมาก คณะสงฆ์ พระสงฆ์เอง บางครั้งก็ไม่สามารถที่จะเข้าไปเยียวยาได้ จึงเกิดมูลนิธิต่างๆ องค์กรต่างๆ เพื่อเข้าไปเยียวยาความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสังคม
“โดยเฉพาะในภาคสตรี กิจกรรมที่เราทำก็คือ ฟื้นฟูและเยียวยาจิตใจลูกผู้หญิงที่ประสบกับความรุนแรงได้”

เราจึงต้องมาช่วยกันสร้างความหวัง ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ในการที่แม่ชีเป็นผู้ที่จะช่วยปิดทองหลังพระ เยียวยาเด็กและสตรีที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ด้วยความเมตตา กรุณา และความอ่อนโยน …
“สิ่งที่เรามีอยู่แล้ว คือ ความดี แต่เราจะทำอย่างไร ถึงจะให้ความดีของเราถูกขยายผลออกไปสู่สังคม ช่วยเหลือสังคม แม่ชีต้องเดินออกมา แล้วสร้างพันธกิจที่ชัดเจนให้กับตนเอง ขอให้ทุกท่านพยายามเรียนรู้ขั้นตอนการดำเนินการในแต่ละกิจกรรม ทุกกิจกรรมที่พระวิทยากรนำเราเข้าสู่การฝึกปฏิบัติ ต้องทำให้ความรู้สึกนึกคิดจิตวิญญาณเราประสานเป็นหนึ่งเดียวกับกิจกรรม จึงจะบรรลุซึ่งหัวใจของกิจกรรมทั้งหมด คือ เราจะช่วยกันออกแบบหลักสูตรการให้คำปรึกษาให้เหมาะกับงานของแม่ชี ต่อไปแม่ชีต้องเคลื่อนไหวไปกับทุกมิติของสังคม เข้าไปเยียวยาบาดแผลความรุนแรงของสังคม

“โดยเฉพาะในกลุ่มสตรีที่ประสบปัญหาความรุนแรง ซึ่งแม่ชีสามารถทำได้ดีกว่าหน่วยงานอื่นทั้งหมด เพราะสีขาวเป็นสีแห่งความสะอาด บริสุทธิ์ ไม่เป็นที่หวาดระแวง เพียงแต่เราต้องได้เครื่องมือที่เหมาะสมก่อน”

ในวันสตรีสากล ๘ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ จึงขอรำลึกวันวาน โอวาทธรรมของพระอาจารย์เทอด ญาณวชิโร (อดีตพระราชกิจจาภรณ์) ในโอกาสที่ท่านได้เมตตาเดินทางมาให้กำลังใจ แก่ผู้เข้าอบรม และคณะพระวิทยากร ในโครงการเสริมสร้างศักยภาพแม่ชีไทย ด้านการปรึกษาเชิงพุทธจิตวิทยา นำกิจกรรมโดย พระมหา ดร. ประสิทธิ์ ญาณปฺปทีโป ประธานกลุ่มเพื่อชีวิตดีงาม ณ มหาปชาบดีเถรีวิทยาลัย ในพระสังฆราชูปถัมภ์ (มปถ.) สังกัดมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย (มมร.) ร่วมกับ สถาบันพัฒนาพระวิทยากร สำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และความมั่นคงแห่งสถาบันชาติ พระศาสนา พระมหากษัตริย์ วัดสระเกศ ระหว่างวันที่ ๙-๑๑ กันยายน พ.ศ.๒๕๖๐ และ ระหว่างวันที่ ๑๕-๑๗ กันยายน พ.ศ.๒๕๖๐ ที่ผ่านมา เพื่อเป็นพละ เป็นพลังใจในการก้าวเดินไปในวันนี้
