

อาจาริยบูชา ๙ มีนาคม พ.ศ.๒๕๖๓
ครบรอบ ๖ ปี วันสลายสรีรสังขาร
เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสณมหาเถระ)
อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศ
ประธานผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช
พระเถระผู้เป็นประวัติศาสตร์
ความทรงจำ พระพุทธศาสนาโลก

มหาจุฬาฯ งามสง่าสดชื่น กลางทะเลแห่งคลื่นลม
ร่วมบำเพ็ญกุศลอุทิศถวาย ในงานพระราชทานเพลิงศพ
เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์
(เกี่ยว อุปเสณมหาเถระ)
อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศ
ประธานผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช
๙ มีนาคม ๒๕๕๗
คำปรารภ
เจ้าประคุณอาจารย์สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสณมหาเถระ) ได้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ที่ปัจจุบันเรียกชื่อตามกฎหมายว่า มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในช่วง ๒๕๐๗ – ๒๕๒๑ รวมเวลา ๑๕ ปี ตั้งแต่ดำรงสมณศักดิ์ที่ พระราชวิสุทธิเมธี พระเทพคุณาภรณ์ พระธรรมคุณาภรณ์ และพระพรหมคุณาภรณ์ โดยลำดับ นับว่าเป็นเลขาธิการองค์จริงจังในกิจการอย่างยาวนานที่สุด ของมหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งนี้
ในสมัยนี้ เลขาธิการเป็นตำแหน่งของผู้เป็นหัวหน้าที่ทำงานจริง ในการดำเนินของมหาวิทยาลัยทั้งหลาย มิใช่เพียงตำแหน่งเกียรติยศ ดังมีคำอธิบายในหนังสือนี้แล้ว
ในฐานะเป็นผู้นำ เป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบการดำเนินงานของมหาจุฬาฯ มิใช่ท่านจะต้องทำงานไปทุกอย่าง แต่กิจการทั้งปวงในระยะเวลานั้นทั้งหมด ดำเนินไปในความควบคุมดูแลและความเห็นชอบของท่าน โดยเฉพาะในยุคสมัยนั้น มีการทำงานที่เป็นระบบแห่งความร่วมแรงร่วมใจ โดยเป็นไปในสามัคคีสมานฉันท์ จึงพูดง่ายๆ รวมๆ ว่าเป็นกิจการของมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในยุคที่เจ้าประคุณอาจารย์สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสณมหาเถระ) เป็นเลขาธิการ
ในหนังสือนี้ ได้เล่าเรื่องราวความเป็นไปในกิจการของมหาจุฬาฯ ในช่วงเวลา ๑๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๐๗ – ๒๕๑๗) เมื่อผู้เล่าสนองงานในฐานะผู้ช่วยของท่าน คือเป็นผู้ช่วยเลขาธิการ
การเขียนเล่าเรื่องราว และทำหนังสือนี้ขึ้น ขอถือเป็นการร่วมบำเพ็ญกุศลอุทิศถวาย ในวาระสำคัญยิ่ง แห่งงานพระราชทานเพลิงศพ
อนึ่ง การเขียนสะกดคำบางอย่าง อาจต่างไปจากที่ใช้กันมาบ้าง ในเมื่อเห็นว่าควรเปลี่ยนแปลงเพื่อความเหมาะสม เช่น แทนที่จะเขียน “วรสารเถร” ก็เขียนเป็น “วรสารเถระ”
ขอกุศลในการนี้ จงเป็นไปเพื่อความเจริญงอกงามของพุทธบริษัท ในไตรสิกขา และในไตรพิธีบุญกิริยา เพื่อความแผ่ไพศาลแห่งพระพุทธศาสนา และเพื่อความไพบูลย์แห่งประโยชน์สุขของปวงประชา อันเป็นจุดหมายในการบำเพ็ญศาสนกิจทั้งปวงของเจ้าประคุณอาจารย์สมเด็จพระพุฒาจารย์ ยั่งยืนนานสืบไป.
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)
๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗


มหาจุฬาฯ งามสง่าสดชื่นกลางทะเลแห่งคลื่นลม
ตอนที่ ๑๔
หาคอมมิวนิสต์ เห็นโรงละครโลก
“โฉมหน้าอเมริกา ที่ปรารถนากันนักอยากจะตาม”
: พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)
ปัจจุบัน สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์

สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ถือลัทธิแยกตัวโดดเดี่ยว (isolationism) ตั้งตัวเป็นเอกเทศ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับประเทศอื่นๆ หรือโลกภายนอกมานาน แม้แต่ในสงครามโลกครั้งที่ ๑/World War I (1914-1918/๒๔๕๗-๒๔๖๑) ตอนแรกอเมริกาก็ตั้งตัวเป็นกลาง จนกระทั่งมีเหตุกระทบตัวอย่างแรง เช่น เรือลูซิทาเนีย (Lusitania) ของอังกฤษจมลง เพราะถูกตอร์ปิโดของเรือดําน้ำเยอรมัน มีคนโดยสารชาวอเมริกันตายไป ๑๒๘ คน ต่อมา เรือดําน้ำเยอรมันอาละวาดไม่เลือก จนกระทั่งเมื่อความสัมพันธ์กับเยอรมนีเสื่อมลงเรื่อยๆ ในที่สุด อเมริกาจึงเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามนั้น
หลังสงครามโลกครั้งที่๑ อเมริกายิ่งแยกตัวโดดเดี่ยวมากขึ้น พอจบสงคราม วุฒิสภาอเมริกันไม่ยอมให้สัตยาบันสนธิสัญญาแวร์ไซลส์ปี ๒๔๖๒ (Versailles Treaty of 1919) ที่ว่าด้วยการยุติสงครามนั้น และอเมริกาก็ไม่ได้เป็นสมาชิกสันนิบาตชาติ/ League of Nations ที่ประธานาธิบดีวิลสัน (Woodrow Wilson) อุตส่าห์ไปริเริ่ม คนอเมริกันส่วนมากเห็นว่าการที่อเมริกาเข้าร่วมสงครามนั้นเป็นความผิดพลาด
ยิ่งใกล้สงครามโลกครั้งที่ ๒ คนอเมริกันยิ่งคิดแยกตัวหนักขึ้น จนถึงขั้นเป็นการถือแยกตัวโดดเดี่ยวสุดโต่ง (extreme isolationism) มีการออกกฎหมายวางตัวเป็นกลาง (neutrality laws) ออกมาเป็นชุด จนกระทั่งญี่ปุ่นบุกจีนในปี 1937/๒๔๘๐ มีการฆ่าฟันทําลายล้างอย่างโหดร้ายทารุณ เรือปืนอเมริกันถูกเครื่องบินญี่ปุ่นโจมตีจมลงในแม่น้ำแยงซี/Yangtze River รัฐบาลอเมริกันจะเอาเรื่อง แต่ชาวอเมริกันก็ยังไม่ค่อยถือสา
จนเยอรมนีบุกโปแลนด์เปิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ ในปี 1939 กระทั่งฝรั่งเศสถูกยึดครองในปี1940 อเมริกาตกลงหนุนฝ่ายสัมพันธมิตร ด้วยการเงินและยุทโธปกรณ์ เน้นการให้กู้ให้ยืม แม้ว่าในปี 1941 รัฐบาลส่งเรือส่งทหารไปช่วยรบบ้าง ประชาชนก็ยังไม่ให้เข้าร่วมสงคราม
แต่ทางด้านแปซิฟิก/Pacific เมื่อญี่ปุ่นขยายสงครามในจีน บุกมาถึงอินโดจีนไปยังหมู่เกาะอินเดียตะวันออก/East Indies ก็เกิดความขัดแย้งและตึงเครียดมากขึ้นๆ
ในที่สุด ณ วันที่ ๗ ธันวาคม ๒๔๘๔/1941 กองบินญี่ปุ่น ๓๖๐ ลํา ได้เข้าโจมตีแบบฉับพลันไม่ให้ทันรู้ตัวที่ฐานทัพเรืออเมริกันในอ่าวเพิร์ล/Pearl Harbor ทําลายกําลังยุทธการทางนาวีของอเมริกาที่นั่น ทําให้เรือ ๑๘ ลํา จมลงหรือไม่ก็เสียหายร้ายแรง พร้อมทั้งเครื่องบินพินาศ ๓๔๗ ลํา และทหารตาย ๒,๔๐๓ คน บาดเจ็บ ๑,๑๗๘ คน
ณ บัดนั้น ชาวอเมริกันตื่นตระหนกและโกรธแค้นมาก รวมใจเป็นหนึ่งเดียวกันได้แล้ว วันรุ่งขึ้น รัฐสภาอเมริกันก็มีมติให้ประกาศสงครามกับญี่ปุ่น
จากนั้น ๓ วัน เยอรมนีและอิตาลีก็ประกาศสงครามกับอเมริกา แล้วสงครามก็ดําเนินไปจนจบสงครามโลกครั้งที่๒ ใน พ.ศ. ๒๔๘๘ ดังกล่าวข้างต้น นับแต่นั้น อเมริกาก็สลัดตัวออกจากลัทธิแยกตัวโดดเดี่ยว (isolationism) สืบมา
อย่างไรก็ดีสงครามใหญ่นี้มิได้ทําให้อเมริกาบอบช้ำอะไรมาก ไม่เหมือนประเทศอื่นๆ ที่เป็นสนามรบในยุโรป เอเชีย และแอฟริกา มิใช่เพราะดินแดนอเมริกากว้างใหญ่ แต่เพราะส่งกองทัพออกไปรบนอกประเทศ ดินแดนของตนเองแทบไม่ถูกกระทบเลย
เมื่ออเมริกาประกาศสงครามนั้น เขารบกันมาเข้าปีที่ ๓ แล้ว ความสูญเสียทั้งหมดเมื่อเทียบกับชาติอื่นนับว่าไม่มาก ดูจากตัวเลขคนที่ตายทั้งหมดในสงครามโลกครั้งที่๒ ที่ประมาณว่า ๔๕ ล้านคน (ตัวเลขจริงไม่มีใครรู้ได้ คะเนหรือประมาณกันตั้งแต่ ๔๐ ถึง ๕๕ ล้านคน, บางแห่งก็ว่า ระหว่าง ๓๕ ถึง ๖๐ ล้านคน) แยกเป็นทหาร ๑๕-๒๐ ล้านคน และพลเรือน ๒๕-๓๐ ล้านคน
กองทัพอเมริกันได้ขยายใหญ่ขึ้นในสงครามนี้จนมีกําลังพล ๑๖ ล้านคน และ อเมริกาเสียทหารตายไป ๒.๙๒ แสนคน (ทหารโซเวียตตาย ๗.๕ ล้าน เยอรมัน ๓.๕ ล้าน จีน ๒.๒ ล้าน ญี่ปุ่น ๑.๕ ล้าน อังกฤษ ๓ แสนเศษ ฝรั่งเศส ๒.๑ แสน อิตาลี๒ แสน) ส่วนพลเรือนอเมริกันตายเพียง ๖ พันคน (สหภาพโซเวียตตาย ๑๐-๑๙ ล้าน จีน ๖-๑๐ ล้าน เยอรมัน ๕ แสน ญี่ปุ่น ๖ แสน ฝรั่งเศส ๔ แสน อิตาลี ๑.๔๕ แสน อังกฤษ ๖.๕ หมื่น, นี่ บอกเฉพาะประเทศคู่สงคราม ไม่นับชาติอื่น เช่น ยิวที่นาซีฆ่าราว ๖ ล้านคน)
นอกจากในดินแดนไม่บอบช้ำแล้ว ในระดับหนึ่งก็กลายเป็นเวลาที่จะสะสมทุนทรัพย์และชื่นบานหรรษาพัฒนากันเต็มที่ คนที่ได้รับแจ้งข่าวสูญเสียพ่อ เสียลูก สามีพี่น้องในสนามรบนอกแดนก็โศกเศร้าไป แต่สังคมส่วนใหญ่อยู่สุขสบายกันดี
นอกจากให้กู้ยืมเงินแก่ประเทศที่ทําสงครามแล้ว ก็ต้องรีบเร่งผลิตอาวุธ ยุทโธปกรณ์ส่งไป ทั้งเรือรบ เครื่องบิน รถถัง ปืนใหญ่ฯลฯ ตั้งโรงงานและขยายโรงงานทําอุปกรณ์เหล่านี้ไม่พอ ต้องเปลี่ยนโรงงานทําอุตสาหกรรมอย่างอื่นมาทําอาวุธ และพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการพิชิตอย่างเร่งด่วน เช่น ที่ดีทรอยท์/Detroit โรงงานรถยนต์เปลี่ยนมาผลิตรถถัง ทํางานกันวันละตลอด ๒๔ ชั่วโมง
พวกผู้ชายประมาณ ๑๕ ล้านคน เข้ากองทัพออกไปสนามรบ ประเทศชาติจึงขาดแรงงาน เป็นเหตุให้สตรีนอกจากออกไปร่วมรบราว ๒๖๐,๐๐๐ คนแล้ว ประมาณ ๖.๕ ล้านคน ออกจากบ้าน อพยพจากชนบทเข้าเมือง มาทําการผลิตในโรงงาน สํานักข่าว ABC News บันทึกไว้ว่าด้วยกําลังงานที่มีสตรีร่วมนี้เดือนหนึ่งผลิตรถถังได้ ๔,๐๐๐ คัน เครื่องบิน ๔,๕๐๐ ลํา และเรือที่เคยใช้เวลาต่อ ๑ ปี บัดนี้ทําเสร็จใน ๑๗ วัน
ความต้องการกําลังและอุปกรณ์อย่างเร่งด่วนในสงคราม ทําให้อเมริกาคึกคักมีอุตสาหกรรมเขมแข็งก้าวหน้า พัฒนาเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ผู้คนพลเมืองก็พากันร่ำรวย
ก่อนเข้าสงครามใหญ่นี้สหรัฐอเมริกามีกําลังทัพเล็กน้อยเป็นอันดับที่ ๑๙ ของโลก ต่อจากฮอลแลนด์และโปรตุเกศ อุตสาหกรรมกําลังตกอยู่ในภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ สงครามทําให้ทุกคนรวมใจกันได้เป็นหนึ่งเดียว และเรียกร้องให้ตื่นตัวกระตือรือร้นผลิต พลิกฟื้นทุกอย่างที่จําเป็นเร่งด่วนขึ้นมา พอเสร็จสงคราม อเมริกากลายเป็นผู้ร่ำรวย และมีกําลังทัพผงาดขึ้นมาเป็นอันดับ ๑ ในฐานะผู้นําโลกเสรี
พอสงครามเสร็จ ประเทศอื่นหดหายย่อยยับ แต่อเมริกาโดดเด่นขึ้นมายิ่งใหญ่กลายเป็นเจ้าหนี้ที่ช่วยโอบอุ้มคนอื่น โรงงานที่ผลิตยุทโธปกรณ์กับทั้งเทคโนโลยีที่ได้พัฒนาแล้วอย่างมาก เปลี่ยนมาผลิตอุปกรณ์เพิ่มพูนความสะดวกสบาย ประชาชนสะสมรายได้ไว้โดยไม่มีโอกาสใช้จ่ายในยามสงคราม ก็มีเงินพร้อมจะใช้กันใหญ่ ทหารผ่านศึกกว่า ๑๑ ล้านคน กลับประเทศ รัฐบาลออกกฎหมายให้ทุนเรียนมหาวิทยาลัยได้ฟรี เกิดสมัยนิยมอ่าน “พอกเกตบุ๊ค” (๒๔๙๑ ปีเดียว ขาย pocket books ๑๓๕ ล้านเล่ม) จะสร้างบ้าน ก็มีเงินให้ยืม ผู้หญิงก็ออกจากโรงงานกลับไปเลี้ยงลูกดูแลบ้าน
การก่อสร้างเบ่งบาน (building boom) เกิดบ้านจัดสรรผุดโผล่มากมายในชานเมือง ภายในไม่กี่ปีคนอเมริกัน ๑ ใน ๓ อยู่ในบ้านชานเมือง พร้อมด้วยอุปกรณ์ไฟฟ้าเกร่อขึ้นมา อะไรๆ ก็แค่เปิดปิดสวิทช์ เข้าสู่ยุคทรานซิสเตอร์/transistor ได้ใช้ตู้เย็น นาฬิกาไฟฟ้า วิทยุไฟฟ้า วิทยุมือหิ้ว วิทยุในรถยนต์ เครื่องเล่นจานเสียง เครื่องซักผ้า เครื่องล้างจานชาม เครื่องดูดฝุ่น มีไนลอน/nylon แฟชั่นฟู่ฟ่า ได้แต่งตัวแบบ “ นิวลุก/New Look” ทีวี/TV ซึ่งเกิดก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ แต่ถูกสงครามขัดชะงักไป ก็ได้โอกาสพัฒนาขึ้นมาเป็นเครื่องให้ข่าวสารการบันเทิงประจําบ้านและสถานหย่อนใจ
โรงงานเลิกผลิตรถรบรถถัง หันมาผลิตรถเที่ยวโชว์รถโอ่อ่า รถนําสมัยออกมากันใหญ่ สมัยนั้น น้ำมันก็ราคาแสนถูก ลิตรละราว ๘๐ สตางค์ (แกลลอนละ 25 เซนต์เทียบตามอัตราแลกเปลี่ยนเวลานั้นราวดอลลาร์ละ ๒๐ บาท) รถยนต์ราคาตั้งแต่คันละ 1,800$ ถึง 5,000$ (ราว ๓๖,๐๐๐ – ๑ แสนบาท) ในบ้านห้าหลัง ๔ หลังมีรถยนต์
ในปี1956/๒๔๙๙ อเมริกาออกรัฐบัญญัติจัดทุน ๓๓ พันล้านดอลลาร์ให้สร้างทางหลวงระหว่างรัฐเพิ่มอีก ๖๗,๒๐๐ กม. คนอเมริกันนั่งรถเดินทางเที่ยวกันใหญ่ สถานีเติมน้ำมัน ร้านอาหารด่วน ที่พักรถแรมคืนคนเดินทาง ผุดขึ้นทั่วทุกหนแห่ง มีสถิติว่า ในช่วงทศวรรษ 1950s (พ.ศ. ๒๔๙๓-๒๕๐๒) คนอเมริกันตายด้วยอุบัติเหตุรถยนต์ มากกว่าทหารอเมริกันตายในสงครามโลกครั้งที่ ๒
อเมริกามาถึงยุคบริโภคนิยม (consumerism) เป็นสังคมมั่งคั่งพรั่งพร้อม (affluent society, คํานี้เกิดในปี1958/๒๕๐๑) เหมือนจะได้สัมฤทธิ์ฝันอเมริกัน (American dream) และเข้าสู่ยุคของคนหนุ่มสาว อยู่กันหรูหราสะดวกสบาย แต่จะสุขหรือไม่ คน อเมริกันยุคนั้นเองก็ดูจะไม่ยอมรับ ดังที่หนุ่มสาวยุคนั้นแหละประกาศออกมา
ขณะที่ญี่ปุ่นและยุโรปแทบจะเหลือแต่ซาก อเมริกาผลิตสินค้า ๒ ใน ๓ ที่ขายในโลก เศรษฐกิจเจริญเอาๆ ตําราว่า ตั้งแต่ปี 1947/๒๔๙๐ เศรษฐกิจของอเมริกาเติบโตเรื่อยมา ๒๕ ปี ทหารผ่านศึกอเมริกันหางานแสนง่าย เงินเดือนก็ดี ต่างกันห่างไกลกับก่อนสงครามโลกที่เศรษฐกิจตกต่ำ เงินฝืด ตอนนั้น คนแต่งงานช้า และระวังตัวไม่ค่อยยอมมีบุตร แต่ตอนนี้เงินคล่อง คนสําราญบันเทิงเต็มที่ ปรากฏว่ามีเด็กเกิดใหม่ๆ เพิ่มจํานวนขึ้นมากมายอย่างรวดเร็ว เป็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “baby boom” (ยังหาคําแปลที่กะทัดรัดเหมาะดีไม่ได้ อาจจะใช้ไปพลางก่อนว่า “บานเบาะ” หรือ “แบเบาะบาน”)
เด็กที่เกิดในช่วงเวลานี้คือ 1946-1964/๒๔๘๙-๒๕๐๗ (บางตํารานับแค่ 1947-1961) เรียกรวมๆ ว่า baby-boom generation เพิ่มประชากรอเมริกันขึ้นมา ๗๕ ล้านคน โดยเฉพาะปีที่เกิดมากที่สุดคือ พ.ศ. ๒๕๐๐ (ค.ศ. 1957) เกิดปีเดียว ๔.๓ ล้านคน
เด็กรุ่นบานเบาะนี้ทําให้ถิ่นชานเมือง และการก่อสร้างเบ่งบาน ดังที่กล่าวแล้ว ทั้งบ้าน โรงเรียน และห้างร้านขายของเพิ่มขึ้นมากมาย เมื่อพวกเขาเติบโตขึ้น ก็ได้ทําให้สังคมอเมริกันเกิดความเปลี่ยนแปลงไปมากในทางวัฒนธรรม เป็นต้น
และบัดนี้ ยุคที่กําลังจะผ่านไปก็คือช่วงสมัยที่คนรุ่นบานเบาะซึ่งโตเป็นผู้ใหญ่จนได้ครองอเมริกาสืบมากําลังจะสิ้นสุดลง แล้วพวกคนรุ่นนี้ก็กําลังจะกลายเป็นคนชรา ที่อเมริกาจะต้องแบกภาระหนักในการเลี้ยงดูผู้สูงอายุรุ่นใหม่ที่มีขนาดใหญ่มากสืบต่อไป

โปรดติดตามตอนต่อไป …

พระมองโลก มองความเป็นไป มองเหตุปัจจัย รวมทั้งมองการเมืองโดยมองแบบพระ ไม่ใช่มองแบบชาวบ้าน คือพระมองด้วยเจตนาเพื่อรู้เข้าใจสภาพของมนุษย์และภาวะการของโลกตามที่มันเป็น ให้ชัดเจนเพียงพอเพื่อสนองเจตนาที่จะแก้ปัญหาของโลกของมนุษย์ ให้ลุถึงประโยชน์สุข โดยไม่มีเจตนาที่เป็นเรื่องของตนเอง ไม่มีวัตถุประสงค์ของตนเอง หรือโยงอิงหมู่พวกใด ที่จะได้จะเอาอะไรๆ หรือเพื่อใคร เพื่อพวกใด จึงเรียกว่า รู้โลก เพื่อแก้ปัญหาของมนุษย์ พหุชนหิตายะ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่คนมาก พหุชนสุขายะ เพื่อความสุขของคนมาก โลกานุกัมปายะ เพื่อเกื้อการุณย์แก่โลก
ที่ว่านี้ ก็โยงมาถึงการที่จะเล่าเรื่องของมหาจุฬาฯ กลายเป็นว่าจะพูดถึงมหาจุฬาฯ แต่เลยไปพูดถึงทั้งโลก ที่จริง นี่แหละคือเรื่องที่ควรพูดเพราะว่ามหาจุฬาฯก็ดำเนินเดินหน้าไป ในบ้านเมือง ในโลก อย่างน้อยก็ต้องรู้ตระหนักว่าตัวเป็นอยู่เป็นไปในสภาพแวดล้อม ท่ามกลางบ้านเมือง และในโลก ที่กำลังเป็นไปอย่างไร ตอนนั้นเวลานั้นมหาจฬาฯ อยู่ในบรรยากาศในสภาพแวดล้อมที่เป็นอย่างไร ไม่ใช่เดินไปในความมืด มองอะไรมัวๆ เมื่อตัวไม่รู้ก็ย่อมอดไม่ได้ที่จะคิด แล้วก็เลยคิดเห็นไป กลายเป็นลุ่มหลงไม่ตรงตามจริง จะต้องรู้ให้พอที่จะมองเห็น ไม่ใช่มัวแต่หรืออยู่แค่คิดเห็น
ยิ่งกว่านั้น ในที่สุด แม้มองถึงจุดหมายที่แท้ เมื่อมาเรียนที่มหาจุฬาฯก็เพื่อมีการศึกษา ที่จะให้เจริญงอกงามในธรรมวินัย แล้วสามารถไปบำเพ็ญกิจเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน เพื่อคนทั้งมวล ทั้งโลก ด้วยรู้เข้าใจทั่วทันโลกดังได้กล่าวมาแล้วนั่นเอง : พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)

กราบขอบพระคุณที่มา : สำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศ วัดสระเกศ www.watsrakesa.com และ หนังสือมหาจุฬาฯ งามสง่าสดชื่น กลางทะเลแห่งคลื่นลม : พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) พิมพ์ร่วมบำเพ็ญกุศลอุทิศถวาย ในงานพระราชทานเพลิงศพ เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒจารย์ (เกี่ยว อุปเสณมหาเถระ) อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศ ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ๙ มีนาคม ๒๕๕๗

ดาวน์โหลดธรรมนิพนธ์ “มหาจุฬาฯ งามสง่าสดชื่นกลางทะเลแห่งคลื่นลม” : พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺตโต) ได้ที่ เว็บไซต์ วัดญาณเวศกวัน https://www.watnyanaves.net/th/book_detail/604
https://www.watnyanaves.net/uploads/File/books/pdf/_.Pr.4_580301.pdf