
พระครูอรุณกิจโกศล (พริ้ง โกสโล) หรือ หลวงพ่อพริ้ง เป็นพระอาจารย์ของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสณมหาเถระ) เมื่อครั้งท่านบรรพชาเป็นสามเณรแต่เยาว์วัย

ถือธุดงควัตรข้อรุกขมูล อยู่โคนต้นไม้ตลอดชีวิตจนถึงมรณภาพ
ปัจจุบันต้นไม้ยังมีชีวิตยืนต้นอยู่
โดย พระมงคลทีปาจารย์ ผู้เป็นศิษย์ และเป็นสหธรรมิก
ปฏิบัติธรรมร่วมกับเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ ขณะเป็นสามเณร
ได้ทำหลังคามุงบังเอาไว้ ประดิษฐานที่วัดแจ้ง เกาะสมุย จังหวัสุราษฎร์ธานี
หลวงพ่อพริ้งเป็นพระวิปัสสนาที่สำคัญของเกาะสมุย ตลอดชีวิตของท่านได้ถือธุดงควัตรข้อรุกขมูล อยู่โคนต้นไม้ตลอดชีวิตจนถึงมรณภาพ แม้จะอยู่ที่วัดแจ้งท่านก็ถือรุกขมูล
ปัจจุบันต้นไม้ที่หลวงพ่อพริ้งถือรุกขมูลก็ยังมีการรักษาไว้ โดยพระมงคลทีปาจารย์ ผู้เป็นศิษย์และเป็นสหธรรมิกปฏิบัติธรรมร่วมกับเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ขณะเป็นสามเณร ได้ทำหลังคามุงบังเอาไว้

๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗

พระเดชพระคุณพระพรหมสิทธิ (ธงชัย สุขญาโณ) เจ้าอาวาสวัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร กรรมการมหาเถรสมาคม และคณะสงฆ์วัดสระเกศ พร้อมด้วยสหธรรมิก สักการะ รูปเหมือนหลวงพ่อพริ้ง พระครูอรุณกิจโกศล (พริ้ง โกสโล) ณ วัดแจ้ง เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งท่านเป็นพระอาจารย์ของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ และ พระมงคลทีปาจารย์ สหธรรมิกที่ปฏิบัติธรรมร่วมกับเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ ขณะเป็นสามเณรอยู่วัดแจ้ง เกาะสมุย ในโอกาสเดินทางไปเป็นประธานประกอบพิธีลงไม้มงคล “อาคารพิพิธภัณฑ์ชาติภูมิ” สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสณมหาเถระ) ณ บ้านเฉวง ตำบลบ่อผุด อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นบ้านเกิดเจ้าประคุณสมเด็จฯ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๓ เดือน ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗




พระครูอรุณกิจโกศล (พริ้ง โกสโล) หรือ หลวงพ่อพริ้ง เป็นพระอาจารย์ของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสณมหาเถระ) เมื่อครั้งท่านบรรพชาเป็นสามเณรแต่เยาว์วัย
หลวงพ่อพริ้งเป็นพระวิปัสสนาที่สำคัญของเกาะสมุย ตลอดชีวิตของท่านถือธุดงควัตรข้อรุกขมูล อยู่โคนต้นไม้ตลอดชีวิตจนถึงมรณภาพ แม้จะอยู่ที่วัดแจ้งท่านก็ถือรุกขมูล

ปัจจุบันต้นไม้ที่หลวงพ่อพริ้งถือรุกขมูลก็ยังมีการรักษาไว้ โดยพระมงคลทีปาจารย์ ผู้เป็นศิษย์และเป็นสหธรรมิกที่ปฏิบัติธรรมร่วมกับเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ขณะเป็นสามเณร ได้ทำหลังคามุงบังเอาไว้ เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความเพียรในการภาวนาธุดงควัตรตามรอยพระพุทธเจ้าของหลวงพ่อพริ้ง



ในหนังสือ ”วิถีแห่งผู้นำ“ สมเด็จพระพุฒาจารย์ เรียบเรียงโดย พระครูอมรโฆษิต(ปรีชา สาเส็ง) เล่าเกี่ยวกับหลวงพ่อพริ้งไว้ตอนหนึ่ง เมื่อครั้งที่สามเณรเกี่ยว โชคชัย ฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อพริ้ง ว่า

ภายหลังจากสามเณรเกี่ยว โชคชัย บรรพชาครบ ๗ วัน ก็ถึงกำหนดที่จะต้องลาสิกขาไปศึกษาต่อ แต่สามเณรเกี่ยวก็เปลี่ยนเป้าหมายชีวิตอย่างกะทันหัน โดยได้บอกโยมบิดาโยมมารดาว่า จะขอบวชเป็นสามเณรอยู่ต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง แม้โยมทั้งสองรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้คัดค้านหรือเหนี่ยวรั้งแต่ประการใด สามเณรเกี่ยวบวชอยู่ต่อมาจนครบ ๑ เดือน โยมบิดามารดาก็มาบอกให้ลาสิกขา เนื่องจากเกรงว่า จะไม่ทันเวลาที่ต้องไปเรียนตามกำหนดที่ติดต่อไว้แล้ว


สามเณรเกี่ยวบอกปฏิเสธการลาสิกขาต่อโยมบิดามารดา และปฏิเสธการลาสิกขาต่อมาอีกหลายต่อหลายครั้ง ในที่สุดก็ตัดสินใจเลือกเส้นทางพระศาสนาตามรอยบาทพระบรมศาสดาบวชอยู่เรื่อยมาจนมรณภาพคืนสู่ธรรมชาติในร่มผ้ากาสาวพัสตร์นั่นเอง

“ความสุขจากการบวชที่เกิดขึ้นในจิตใจของสามเณรเกี่ยว เป็นเหตุให้ท่านไม่อยากจะสึกหาลาเพศนั้น คงเป็นเพราะเหตุแห่งบุญกุศลที่เคยทำมาแต่ก่อนเก่าหนุนส่งก็เป็นได้ นับได้ว่า ท่านผู้นี้บำเพ็ญบารมีมาเพื่อเป็นที่เคารพนบไหว้ เป็นครูบาอาจารย์ของหมู่มหาชนโดยแท้”



ความรู้สึกสุขสงบทำให้ความสนใจที่จะศึกษาทางโลกต่อในระดับที่สูงขึ้นของสามเณรเกี่ยวหมดความสำคัญลงอย่างสิ้นเชิง ในขณะที่ความสนใจที่จะศึกษาพระธรรมกลับมีพลังเร่งเร้ามากขึ้น จนในที่สุดท่านตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตอย่างพุทธบุตรต่อไปอย่างไม่มีกำหนด โยมบิดามารดาจึงนำไปฝากเป็นศิษย์หลวงพ่อพริ้ง โกสโล ที่วัดแจ้ง ซึ่งเป็นพระวิปัสสนาจารย์สำคัญของเกาะสมุย ผู้ถือธุดงค์เป็นวัตร ชอบปลีกวิเวกเจริญวิปัสสนาอยู่ตามป่าช้า

สามเณรเกี่ยว จึงมีโอกาสได้เรียนพระกรรมฐานในเบื้องต้นจากหลวงพ่อพริ้ง โดยหลวงพ่อพริ้งได้นำเจริญพระกรรมฐานบนหลุมฝังศพขณะมีอายุ ๑๒ ปีเท่านั้น

ต่อมาภายหลัง เมื่อเข้ามาอยู่กรุงเทพ ก็ได้เรียนพระกรรมฐานเพิ่มจากเจ้าพระคุณสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อยู่ ญาโณทยมหาเถร) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกพระองค์ที่ ๑๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งเป็นที่ทราบโดยทั่วไปว่า พระองค์ท่านมีความชำนาญด้านกสิณ และยังเป็นที่ทราบกันว่า ท่านได้ให้ความสนใจเกี่ยวกับวิธีการเจริญพระกรรมฐานตามแนวต่างๆ และฝึกจนมีความชำนาญในแต่ละวิธี สามารถสวดพระปาติโมกข์ได้ในพรรษาแรกแห่งการอุปสมบทเป็นพระภิกษุ และเรียนสำเร็จเปรียญธรรม ๙ ประโยค อันเป็นการศึกษาพระปริยัติธรรมขั้นสูงสุดของคณะสงฆ์ และเป็นหนึ่งในพระเถระผู้มีบทบาทสำคัญต่อพระพุทธศาสนาจนถูกขนานนามว่า พระเจ้า ๕ พระองค์ แห่งวงการคณะสงฆ์ไทย ในเวลาต่อมา

เรียนกรรมฐานที่ป่าช้า
สำหรับการเรียนพระกรรมฐาน แม้สามเณรเกี่ยวจะอายุยังน้อย อยู่ในวัยเพียง ๑๒ ปีเท่านั้น เพิ่งเข้าสู่ร่มผ้ากาสาวพัสตร์ได้ไม่นานนัก แต่ก็ได้เริ่มฝึกปฏิบัติสมาธิภาวนาอย่างจริงจัง โดยมีหลวงพ่อพริ้ง โกสโล พระวิปัสสนาจารย์ใหญ่แห่งเกาะสมุยเป็นผู้แนะนำสั่งสอน
ในพรรษาแรกของการบวชเณรนั่นเอง โยมบิดามารดาได้นำไปฝากเป็นศิษย์หลวงพ่อพริ้ง สามเณรเกี่ยวจึงได้เริ่มเรียนรู้วิธีการเจริญสมาธิภาวนาอย่างจริงจัง โดยหลวงพ่อพริ้งผู้เป็นอาจารย์ได้นำศิษย์น้อยของท่านออกเจริญพระกรรมฐาน อันเป็นการเรียนรู้ภาคปฏิบัติควบคู่ไปกับพระปริยัติ
แม้ในเวลานั้น สามเณรเกี่ยวยังไม่เข้าใจการปฏิบัติสมาธิภาวนากว้างขวางเท่าใดนัก แต่หลวงพ่อพริ้งผู้เป็นอาจารย์ก็มุ่งหวังที่จะให้ศิษย์ของท่าน ได้มีพื้นฐานการทำสมาธิ อุบายวิธีทำจิตให้สงบ อันเป็นแนวทางการเจริญสมาธิภาวนาตามหลักคำสั่งสอนของพระบรมศาสดา
สามเณรเกี่ยวจึงเป็นหนึ่งในศิษย์หลวงพ่อพริ้ง ที่มีโอกาสเจริญสมาธิภาวนาตามคำแนะนำของท่านตั้งแต่ยังเยาว์วัย
ในการเจริญสมาธิภาวนา หรือเจริญกรรมฐานตามวิธีของหลวงพ่อพริ้งนั้น ท่านแนะนำให้เจริญกรรมฐานโดยยึดแนวทางอานาปานสติ คือ มีสติรู้ลมหายใจเข้าออก
“หากขณะใดที่จิตไม่สงบ ฟุ้งซ่าน ซัดส่ายมาก จะบริกรรมพุทโธกำกับลมหายใจเข้าออกไปด้วย ก็ได้ แต่ให้ถือหลักสำคัญในขณะกำหนดลมหายใจให้มีสติรู้อยู่ หรือ มีความรู้สึกตัวรู้อยู่ที่ลมหายใจเข้าออก”

สำหรับวิธีการสอนนั้น หลวงพ่อพริ้งอธิบายให้รู้ถึงวิธีการมีสติในการยืน เดิน นั่ง นอน ว่าทำอย่างไรเป็นเบื้องต้นก่อน จากนั้น จึงอธิบายขั้นตอนการมีสติกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก อันเป็นการแนะนำให้รู้พื้นฐานการภาวนา เป็นการแนะนำรูปแบบการเจริญกรรมฐานเบื้องต้นสำหรับผู้ปฏิบัติใหม่ เมื่ออธิบายให้เกิดความเข้าใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ต่อมา ท่านก็นำออกไปปฏิบัติกรรมฐาน โดยเลือกสถานที่วิเวกสงบปราศจากผู้คนพลุกพล่านเข้าออก เหมาะสำหรับการเจริญภาวนา
สถานที่ที่ท่านเลือกให้เป็นที่สำหรับเจริญภาวนาแก่ศิษย์ของท่านมักจะเป็นเปลว หรือป่าช้าที่ฝังศพ ซึ่งเป็นป่าหนาดงทึบ ที่หาได้ไม่ยากนักในชนบทสมัยนั้น เป็นป่าช้าอยู่ใกล้ทะเล เมื่อมีคนตายหลวงพ่อพริ้งก็ให้ขุดหลุมฝัง โดยทำกองทรายเป็นเนินดินสูงขึ้นมา เพราะป่าช้าอยู่ใกล้ทะเล เนินหลุมศพจึงเป็นเนินดินทรายขาว

เวลาที่หลวงพ่อพริ้งนำลูกศิษย์ไปนั่งกรรมฐานมักเป็นเวลากลางคืน หลังจากทำวัตรเย็นบอกวัตรเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านจะให้ลูกศิษย์ของท่านเลือกหลุมศพรูปละหลุม เอาผ้าอาบน้ำปูรองเป็นอาสนะคลุมบนหลุมศพแล้วก็นั่งเจริญภาวนาอยู่บนนั้นจนดึกพอประมาณจึงกลับเข้าวัด
“การนำลงมือปฏิบัติ คือ วิธีสอนกรรมฐานแก่ลูกศิษย์ของหลวงพ่อพริ้ง”
หลวงพ่อพริ้งผู้เป็นอาจารย์ได้นำสามเณรเกี่ยวเข้าสู่ป่าช้าเพื่อการเจริญกรรมฐาน
โดยจัดให้พระและสามเณรแต่ละรูปนั่งอยู่บนหลุมฝังศพที่พูนดินขึ้นเป็นเนินรูปละหลุม ที่นั่งบนหลุมศพของพระและสามเณรแต่ละรูปต้องมีระยะห่างกันพอให้ตะโกนเรียกกันได้ยินเท่านั้น
เมื่อนั่งประจำที่แล้วหากเกิดความกลัวก็อย่าเพิ่งภาวนาองค์กรรมฐาน ให้สวดปะฏิสังขาโย ฯลฯ อัชชะ มะยา ฯลฯ และยะถาปัจจะยัง ฯลฯ ไปเรื่อยๆ เพื่อขจัดความหวาดกลัว ถ้ายังไม่หายกลัวก็ให้สวดไปจนครบ ๑๐๘ จบ
แรกๆ สามเณรเกี่ยวก็กลัวจนตัวสั่น แต่พอนานวันเข้าก็เริ่มชินจนเห็นเป็นธรรมดาไป เมื่อฝึกนั่งกรรมฐานจนได้หลักแล้ว หลวงพ่อพริ้งก็พาเดินธุดงค์ไปรอบๆ เกาะสมุยจนชำนาญในการเดินธุดงค์ และฝึกพิจารณาอสุภกรรมฐานจนกระจ่าง
หลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสณมหาเถระ) เป็นพระเถระรูปหนึ่ง เมื่อแรกตั้งใจบรรพชาเป็นสามเณรเพียง ๗ วัน แต่กลับดำรงตนอยู่ในสมณเพศตราบลมหายใจสุดท้าย

ตลอดชีวิตของท่านสามารถสร้างพระสงฆ์ไทยและพระสงฆ์นานาชาติ เพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลคนทุกข์บนโลก ได้มากมายมหาศาล อย่างไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในแผ่นดินไทย

หลวงพ่อพริ้ง วิปัสสนาจารย์แห่งเกาะสมุย
พระครูอรุณกิจโกศล (พริ้ง โกสโล) หรือที่ชาวบ้านเรียกขานติดปากว่า หลวงพ่อพริ้ง แห่งวัดแจ้ง อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีปูมหลังจากอัตโนประวัติ เล่าว่า ท่านเกิดเมื่อวันจันทร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีมะโรง ตรงกับวันที่ ๒๖ กันยายน พุทธศักราช ๒๔๓๔ ที่ตำบลเลม็ด อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นบุตรคนโตในจำนวน ๑๑ คน ของนายวอน เมืองนิเวศ และนางใย เมืองนิเวศ ได้ศึกษาร่ำเรียนในชั้นต้นจากพระสมุห์จอน วัดป่าลิไลก์ อำเภอไชยา จนเมื่ออายุได้ ๑๗ ปี จึงบรรพชาเป็นสามเณรที่วัดป่าลิไลก์ โดยมีพระอธิการปาน เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๕๒

ครั้นมีอายุครบอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ก็ได้เข้าพิธีอุปสมบท ณ วัดสโมสร อำเภอไชยา เมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๕๖ เวลา ๑๔.๐๐ น. โดยมีพระครูโสภณเจตสิการาม (คง) วัดโพธาราม ตำบลพุมเรียง อำเภอไชยา เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการคล้ำ วัดป่าลิไลก์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระสมุห์จอน ธมฺมจารี วัดสโมสร เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า “ โกสโล ”
หลวงพ่อพริ้งสนใจในทางวิปัสสนากรรมฐาน ท่านจึงย้ายที่จำพรรษาไปเรื่อย หลังจากอุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้ว ท่านได้จำพรรษาที่วัดสโมสร เพื่อร่ำเรียนวิชาอยู่ระยะหนึ่ง ก่อนไปจำพรรษาที่วัดเขาแก้ว อำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นเวลาหลายพรรษา
จากนั้น ได้จาริกข้ามมายังเกาะสมุย พำนักที่วัดคงคาราม อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งขณะนั้นมีพระสมุห์พร้อม ธมฺมทินฺโน พระน้องชายแท้ๆ ของท่านเป็นเจ้าอาวาส ซึ่งต่อมา พระสมุห์พร้อม ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ที่ “พระครูวิบูลทีปรัต” แล้วย้ายไปเป็นเจ้าอาวาสวัดราษฎร์เจริญ เกาะพะงัน ขณะยังมีฐานะเป็นตำบลพะงัน ขึ้นอยู่กับอำเภอสมุย
หลวงพ่อพริ้ง โกสโล จำพรรษาอยู่ที่วัดคงคาราม จนกระทั่งเจ้าอาวาสวัดแจ้ง ตำบลหน้าทอนว่างลง จึงได้รับอาราธนาจากพระยาเจริญราชภักดี (สิงห์ สุวรรณรักษ์) นายอำเภอเกาะสมุย พร้อมด้วยชาวบ้าน นิมนต์ท่านมาจำพรรษาที่วัดแจ้ง ในปี พ.ศ. ๒๔๗๑ ซึ่งเป็นปีเดียวกันกับที่เด็กชายเกี่ยวถือกำเนิดบนเกาะสมุย และ ได้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดแจ้ง อำเภอเกาะสมุย เมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๑

เรียนนักธรรมที่วัดแจ้ง
วัดแจ้งเป็นวัดสำคัญด้านการศึกษาปริยัติและปฏิบัติของเกาะสมุย เมื่อคราวสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสเสด็จตรวจการคณะสงฆ์ที่สมุย ทรงขึ้นท่าที่หน้าทอน ก็มีกำหนดเข้าเยี่ยมวัดแจ้ง พระองค์บรรยายถึงสภาพวัดแจ้งในเวลานั้นว่า มีพระยืนแถวรอรับเสด็จราว ๗-๘ รูป มีนักเรียน ชี และชาวบ้าน นั่งเรียงแถวรอรับเสด็จ บางคนมีเครื่องสักการะและผลไม้มาถวาย อุโบสถวัดแจ้งเป็นไม้กระดานตีเป็นหลืบ กว้างขวางสะอาดสะอ้าน ส่วนกุฏิสงฆ์ยังมีสภาพเป็นฝาขัดแตะ มุงด้วยจาก

วัดแจ้งคงได้รับการพัฒนาต่อเนื่องมาตามลำดับจนถึงยุคที่พระยาเจริญราชภักดี (สิงห์ สุวรรณรักษ์) นิมนต์หลวงพ่อพริ้งมาเป็นเจ้าอาวาส จึงได้มีการเรียนการสอนปริยัติและปฏิบัติควบคู่กันไป
เมื่อสามเณรเกี่ยวบรรพชาเป็นสามเณร ได้ตั้งตนอยู่ในโอวาทของหลวงพ่อพริ้งอย่างเคร่งครัด ปฏิบัติกิจวัตรของตนเองอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ได้เรียนรู้ข้อวัตร ไหว้พระสวดมนต์ ทำวัตรเช้า – เย็น บิณฑบาตตามกิจสงฆ์อันสมควรแก่สมณะ
ต่อมา ท่านมีฉันทะที่จะแสวงหาความรู้ศึกษาข้อวัตร ข้อธรรมให้ยิ่งๆ ขึ้นไปอีก คือ การศึกษานักธรรม

ดังนั้น เมื่อวัดแจ้งมีสามเณรอยู่ด้วยกันหลายรูป หลวงพ่อพริ้งจึงได้ริเริ่มให้มีการเรียนนักธรรม โดยท่านเป็นผู้สอนเอง สามเณรเกี่ยวจึงได้เรียนนักธรรมในปีแรกที่บวช โดยไม่ต้องไปเรียนต่อที่อื่น
ผลการสอบนักธรรมในปีนั้น มีสามเณรหลายรูปสอบตก ส่วนสามเณรเกี่ยวสามารถสอบผ่านนักธรรมชั้นตรีได้โดยไม่ยากนัก

กราบขอบพระคุณภาพถ่ายจาก สำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมและความมั่นคงแห่งสถาบันชาติ พระศาสนา พระมหากษัตริย์ วัดสระเกศฯ
หลวงพ่อสมเด็จ ฯ เล่าถึงสภาพการเรียนการสอนนักธรรมที่เกาะสมุยเวลานั้น ว่า “ สมัยนี้พอพูดถึงเรียนนักธรรมก็ดูเป็นธรรมดา เราต้องนึกย้อนกลับไปเกาะสมุยเมื่อ ๖๐- ๗๐ ปีที่แล้ว เอาแค่จะข้ามไปมาระหว่างสมุยกับสุราษฎร์ก็ยังลำบาก




: กราบขอบพระคุณ ภาพจาก สำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม
และความมั่นคงแห่งสถาบันชาติ พระศาสนา พระมหากษัตริย์ วัดสระเกศ

“แต่เดิมที่วัดแจ้ง ไม่มีการศึกษานักธรรมเป็นหลักมาก่อน ซึ่งก็เหมือนกับวัดอื่นๆ บนเกาะสมุย เนื่องจากการคมนาคม การสื่อสาร และการเรียนการสอนบนเกาะเป็นไปด้วยความยากลำบาก แม้ตำหรับตำราก็หายาก จะมีผู้เรียนอยู่บ้างก็เป็นเรื่องฉันทะเฉพาะตน สอนกันตามมีตามเกิด หากต้องการเรียนเป็นหลักเป็นเกณฑ์ ต้องข้ามไปเรียนที่โรงเรียนภาษาบาลีผดุงพุทโธวาท พุมเรียง สุราษฏร์ธานี ซึ่ง พระมหากลั่น ปิยทสฺสี ผู้ก่อตั้ง “

และในเวลาต่อมา หลวงพ่อสมเด็จฯ ก็ได้ไปเรียนที่โรงเรียนภาษาบาลีผดุงพุทโธวาท จึงเป็นศิษย์ร่วมสำนักเดียวกับท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ
หลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ เล่าต่อมาว่า ในสมัยโน้นจะร่ำเรียนอะไรก็ดูจะเป็นเรื่องยากไปเสียหมด เกาะสมุยไปมาก็ยาก หนังสือจะอ่านอย่างทุกวันนี้ก็ไม่มี จะมีก็แต่อาจารย์ผู้สอน
“ต้องใช้วิธีเขียนตามที่หลวงพ่อพริ้งท่านให้จดใส่สมุด เพื่อเอามาท่อง แต่อาจารย์ท่านก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องยาก”
จากหนังสือ ”วิถีแห่งผู้นำ“ สมเด็จพระพุฒาจารย์ เรียบเรียงโดย พระครูอมรโฆษิต (ปรีชา สาเส็ง) จัดพิมพ์โดย สถาบันพัฒนาพระวิทยากร

พระพรหมสิทธิ และคณะสงฆ์วัดสระเกศ พร้อมด้วยสหธรรมิก สักการบูชา รูปเหมือนพระครูอรุณกิจโกศล (พริ้ง โกสโล) พระอาจารย์หลวงพ่อสมเด็จฯ ณ วัดแจ้ง เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี
