ห่างหายไปนานเป็นปี ผู้เขียนก็พบแต่กับความสูญเสียซ้ำแล้วซ้ำเล่า วันนี้เมื่อได้ย้อนกลับมารำลึกถึงความเมตตาของท่านอาจารย์เจ้าคุณพระราชกิจจาภรณ์ (เทอด ญาณวชิโร) ในขณะนั้น ซึ่งได้ทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาทุกด้านอย่างเสียสละเต็มกำลัง และยังถูกกระทำมากมายจากหน่วยงานที่ได้ชื่อว่า ดูแลพระสงฆ์ ทำให้ผู้เขียนงงไปหมดมาหลายปี นับตั้งแต่วันนั้น วันที่ ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๑
เช้าวันนั้นผู้เขียนไปวิ่งออกกำลังกายที่สนามฟุตบอลเทศบาลสักพัก ฟ้าก็มืดมัว ฝนห่าใหญ่ก็ตกลงมาอย่างแรง เป็นเรื่องน่าแปลกว่า ฝนตกลงมาเม็ดใหญ่มาก ราวกับฟ้าร้องไห้ และตกลงมาเป็นเส้นตรงที่ผู้เขียนกำลังวิ่งอยู่พอดี ทำให้เปียกปอนไปหมด อีกสักพักฝนก็หยุด ผู้เขียนก็วิ่งกลับบ้าน พอมาถึงบ้านสายๆ ก็อ่านข่าว แล้วก็ช็อก เมื่อเห็นภาพพระอาจารย์และคณะสงฆ์ถูกจับ อะไรกัน งงไปหมด โทรไปถามพระอาจารย์ท่านใด ก็ไม่มีคำตอบ ใครๆ ก็กลัวไปหมด แม้แต่พระก็กลัว ใช่ เพราะมันน่ากลัวจริงๆ ไม่มีใครรู้ว่าทำไมจึงเกิดขึ้นเช่นนี้ “จับพระ” อย่างไม่มีเหตุผล แล้วพระอาจารย์ที่ถูกจับล่ะ จิตใจท่านจะเป็นอย่างไร ท่านไม่อาจแม้แต่จะพูด …มันเกิดอะไรขึ้น …
และแล้วเมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๖๔ ผู้สื่อข่าว รายงานว่าศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดี อท ๒๐๕/๒๕๖๑ ในการตัดสินให้พระเถระวัดสระเกศเป็นผู้บริสุทธิ์ หลังจากก่อนหน้านี้ทางสำนักพุทธศาสนาได้ร้อง และเจ้าหน้าที่ตำรวจได้บุกจับกุมพระเถระ ต่อมามีการฝากขังนานกว่า ๑ ปี (เหตุการณ์เกิดขึ้นระหว่าง ปี พ.ศ. ๒๕๖๑ – ๒๕๖๒) (ทั้งๆ ที่ไม่มีความผิด แค่ถูกกล่าวหาเท่านั้นเอง ต้องอยู่ในเรือนจำอย่างลำบากและทรมานเป็นปีกว่า : ผู้เขียนรำพึงรำพัน) …ก่อนที่ต่อมาอดีตพระเถระจะได้รับการประกันตัวภายหลัง
เนื่องจากพบว่าโจทก์ฟ้องผิด
และฝ่ายโจทก์แก้ฟ้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม มีกระแสสังคมบางส่วนได้ตั้งคำถามถึงทางมหาเถรสมาคม และทางสำนักพุทธ ถึงเรื่องความยุติธรรม โดยอ้างตาม พรบ.สงฆ์ ว่าหากถูกฝากขัง แม้ไม่มีความผิด แต่ก็ถือว่าขาดจากความเป็นพระ โดยที่มีกรรมาธิการศาสนา และนักวิชาการด้านพุทธศาสนาบางส่วน ตั้งคำถามถึงการที่พิจารณาโดยไม่ได้นำพระวินัยและกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องพิจารณาร่วม รวมถึงตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เข้าข่ายทุจริตในหน้าที่ใช่หรือไม่ ? (จาก มติชนสุดสัปดาห์ online วันศุกร์ที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๖๔) สำหรับคดีนี้เพียงคดีเดียว ต้องทำให้พระอาจารย์และคณะสงฆ์ต้องติดคุกอย่างไม่มีความผิดถึง ๔๕๐ วัน ช่างไร้ความยุติธรรมอย่างสิ้นเชิง
(จากซ้าย) พระครูสิริวิหารการ, พระศรีคุณาภรณ์, พระพรหมสิทธิ, พระราชอุปเสนาภรณ์ และ พระราชกิจจาภรณ์ ในขณะนั้น (ภาพในอดีต)
การจับพระผู้บริสุทธิ์ไปขังถึงปีกว่า ไม่ใช่เรื่องธรรมดา มันโหดร้ายมากๆ เมื่อจับพระผิดแล้วไม่แก้ไข ขังพระอย่างไร้ความยุติธรรม มิหนำซ้ำ ยังไม่ให้ครองจีวรเป็นพระอีก ทั้งๆ ท่านถูกจับไปโดยไม่มีความผิด จนพูดไม่ออก จุกอกไปหมด ทั้งความกลัวก็แผ่ขยายไปทั่ว จนทำให้ความจริงต้องถูกปิดไว้ตลอดกาลหรือเปล่า ทำไมพระอาจารย์และคณะสงฆ์ซึ่งทำแต่ความดี ต้องถูกกระทำอย่างนี้ คำถามวนเวียนซ้ำไปซ้ำมา จนแทบไม่มีทางออก
ในที่สุดฟ้าก็มีตา หลังพายุผ่านพ้น ฟ้าก็เริ่มเปิดสว่างขึ้นเรื่อยๆ บนซากปรักหักพังของพระเจดีย์ ผู้เขียนก็ระลึกถึงข้อธรรมซึ่งท่านอาจารย์เจ้าคุณเทอดในขณะนั้น เคยกล่าวไว้ว่า
“ทุกซากปรักหักพังของพระเจดีย์
กรวดหิน ดินทรายทุกเม็ด
ที่แตกกระจายไป
ก็คือพระเจดีย์องค์เล็กๆ
มากมายนับไม่ถ้วน”
ดังนั้น การที่พระเจดีย์องค์หนึ่งถูกทำลายไป ก็จะก่อเกิดพระเจดีย์มากมายนับไม่ถ้วนนั่นเอง
เช่นเดียวกับลมหายใจและรอยเท้าของพระพุทธเจ้าที่ก้าวเดินไป แม้ลมหายใจจะอยู่ในอากาศ และรอยเท้าจะถูกกลบไปด้วยกาลเวลา แต่ธรรมะในใจของพระองค์ที่ทรงค้นพบและประกาศธรรมมากว่า ๒๖๐๐ ปี จักปรากฏอยู่ในพระธรรมและการพากเพียรปฏิบัติขัดเกลาตนในพระสงฆ์ทุกรูปที่เดินตามพระองค์ท่านทุกย่างก้าว ไม่ว่าจะนานเท่าใด พระพุทธศาสนาจักยังคงปรากฏอยู่ในการปฏิบัติตามพระธรรมวินัยของพระสงฆ์ และพุทธบริษัทรุ่นแล้วรุ่นเล่าตลอดไป เพื่อยังความสันติและสงบเย็นให้เกิดขึ้นภายในใจ สังคม และโลกใบนี้ …
ทุกการเดินทางตามรอยพระพุทธเจ้าไปสู่การดับทุกข์ในสังสารวัฏก็ยิ่งแจ่มชัดขึ้น เพราะทุกข์ในสังสารวัฏนั้น น่าสยดสยองจริงๆ ดังใน “บันทึกธรรม สัมมาสมาธิ” ที่ท่านอาจารย์เจ้าคุณเทอดในขณะนั้น (พระอาจารย์ญาณวชิระ) เขียนไว้ตอนหนึ่ง…
พระราชกิจจาภรณ์ และพระราชอุปเสนาภรณ์ ในขณะนั้น (ภาพในอดีต)
“เห็นโทษของการใส่ความกัน
เห็นการลงโทษทัณฑ์ที่ไม่เป็นธรรม
เห็นการทรมาน เห็นการจับกุมคุมขัง
เห็นโทษในสังสารวัฏ
จนขนพองสยองเกล้า
รู้สึกว่าสังสารวัฏลุกเป็นไฟอยู่ตลอดเวลา…”
ญาณวชิระ
ผู้เขียนก็มาธรรมวิจัยต่อว่า นั่นก็คือ ในความเป็นจริง ทุกอย่างล้วนอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา ในทุกสิ่งอย่าง และเห็นว่า ความเห็นผิดของคนสังสารวัฏนี้ อันตรายนัก ช่างทำร้ายได้แม้แต่พระผู้บริสุทธิ์ … แต่เขาหารู้ไม่ว่า การทำร้ายพระ หรือการทำร้ายผู้อื่น ก็คือ การทำร้ายตนเองนั่นเอง
ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค ตอนหนึ่งว่า สัตว์ทั้งหลายในสังสารวัฏ แทบไม่มีเลยที่จะไม่เคยเป็นแม่ เป็นพ่อ เป็นพี่ชายน้องชาย เป็นพี่สาวน้องสาว เป็นบุตร เป็นธิดาของกันและกันมาก่อน
น โส ภิกฺขเว สตฺโต สุลภรูโป โย น มาตา ภูตปุพฺโพ อิมินา ทีเฆน อทฺธุนา. : ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์ที่ไม่เคยเป็นมารดา โดยกาลนานนี้ มิใช่หาได้ง่ายเลย
น โส ภิกฺขเว สตฺโต สุลภรูโป โย น ปิตา ภูตปุพฺโพ อิมินา ทีเฆน อทฺธุนา. : ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์ที่ไม่เคยเป็นบิดา โดยกาลนานนี้ มิใช่หาได้ง่ายเลย
น โส ภิกฺขเว สตฺโต สุลภรูโป โย น ภาตา ภูตปุพฺโพ อิมินา ทีเฆน อทฺธุนา. : ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์ที่ไม่เคยเป็นพี่ชายน้องชาย โดยกาลนานนี้ มิใช่หาได้ง่ายเลย
น โส ภิกฺขเว สตฺโต สุลภรูโป โย น ภคินี ภูตปุพฺโพ อิมินา ทีเฆน อทฺธุนา. : ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์ที่ไม่เคยเป็นพี่สาวน้องสาว โดยกาลนานนี้ มิใช่หาได้ง่ายเลย
น โส ภิกฺขเว สตฺโต สุลภรูโป โย น ปุตฺโต ภูตปุพฺโพ อิมินา ทีเฆน อทฺธุนา. : ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์ที่ไม่เคยเป็นบุตร โดยกาลนานนี้ มิใช่หาได้ง่ายเลย
น โส ภิกฺขเว สตฺโต สุลภรูโป โย น ธีตา ภูตปุพฺโพ อิมินา ทีเฆน อทฺธุนา. : ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์ที่ไม่เคยเป็นธิดา โดยกาลนานนี้ มิใช่หาได้ง่ายเลย …