พระมหาอภิชาติ ธมฺมาภินนฺโท วัดพุทธารามเกาหลี  เมืองอันซัน ประเทศเกาหลีใต้
พระมหาอภิชาติ ธมฺมาภินนฺโท วัดพุทธารามเกาหลี เมืองอันซัน ประเทศเกาหลีใต้

ทำอย่างไร…พื้นที่ของใจจึงจะกว้างขึ้น

โดย พระมหาอภิชาติ ธมฺมาภินนฺโท วัดพุทธารามเกาหลี  เมืองอันซัน ประเทศเกาหลีใต้

ปีใหม่นี้ขอเล่าเรื่องสัพเพเหระทั่วๆ ไป ในระหว่างการเดินทางมาปฏิบัติศาสนกิจที่วัดพุทธารามเกาหลี มีหลายเรื่องราวที่อยากจะเล่าให้ฟัง ให้คุณโยมได้อ่านเล่นๆ กันต่อนะ  

         รอยยิ้มที่ไม่ถูก “ลืม”

วันแรกและครั้งแรกที่เดินทางมาปฏิบัติศาสนกิจที่เกาหลี ขณะที่อยู่ในสนามบินผู้เขียนกับพระเพื่อนรูปหนึ่งก็เดินไปแลกเงิน จากเงินไทยเป็นเงินวอน พนักงานธนาคารก็บอกว่า แลกเท่าไหร่ แล้วก็ขอพาสปอร์ต ผู้เขียนก็ยื่นพาสปอร์ตพร้อมกับเงินไทยให้ ไม่นานพนักงานธนาคารก็ยื่นพาสปอร์ตให้ ผู้เขียนก็เก็บไว้ อีกไม่นานพนักงานธนาคารก็ยื่นซองเงินที่แลกให้ พร้อมกับบอกว่า ขอบคุณค่ะ

ผู้เขียนรับซองมาแล้วก็ถามว่า แล้วพาสปอร์ตอาตมาล่ะ พนักงานก็ทำหน้างง แล้วก็หาดูบริเวณเคาน์เตอร์ แล้วก็หันไปถามพนักงานอีกคนหนึ่ง ก็ได้รับคำตอบว่า ให้ท่านไปแล้ว ผู้เขียนก็ค้นหาในย่ามหาอย่างไรก็หาไม่เจอ ก็ตกใจอยู่พักหนึ่ง พนักงานก็ลุ้นไปด้วย ผู้เขียนก็หาดูที่กระเป๋าอังสะของตัวเอง แล้วก็บอกว่า เจอแล้ว พนักงานก็ยิ้ม ผู้เขียนก็ยิ้มเหมือนกัน แต่ยิ้มด้วยความเขินอายแล้วก็เดินจากมายิ้มหัวเราะตัวเอง คิดในใจเราเป็นขนาดนี้แล้วเหรอ

โปรดระวัง ! กระจก

มีเหตุการณ์หนึ่งที่วัดพุทธารามเกาหลี ในช่วงเข้าสู่ฤดูหนาวอากาศก็เริ่มหนาวมาก ประมาณ ๕ โมงครึ่งก็เริ่มมืดแล้ว วันนั้นประมาณ ๒ ทุ่มเห็นจะได้ เด็กวัดก็เริ่มนอนกันหมดแล้ว ไฟทางเดินก็ปิดแล้ว ไฟในห้องสวดมนต์ก็ปิดแล้ว ผู้เขียนเดินไปเข้าห้องน้ำ ก็ไม่ได้คิดอะไร เดินไปชนประตูดังปัง เด็กวัดประมาณ ๖-๗ คน ก็ลุกขึ้นหันมาดูที่ต้นเสียง มีหลายคนแอบหัวเราะ คริๆ ผู้เขียนถามว่า ใครปิดประตู ก็ไม่มีใครรู้ เพราะอยู่มา ๓ เดือนแล้วประตูตรงนี้ไม่เคยปิด แล้ววันหนึ่งประตูปิด จะชนก็เป็นเรื่องธรรมดา ใจหนึ่งก็อยากจะหาคนปิดประตูนะ แต่ก็ไม่เห็นประโยชน์อะไรจากการที่จะตำหนิคนอื่น ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะตัวเราที่ไม่มีสติเอง คิดอย่างนี้แล้ว ก็เลยได้ดวงตาเห็นธรรม (ทำ) เลย คือไปหากระดาษมาเขียนข้อความว่า ระวังกระจก แล้วก็เอาผ้าเทปกาวมาติดไว้ คนอื่นจะได้ไม่ชนเหมือนเรา

ความตั้งใจ คือ ทำให้ต่อเนื่อง

ผู้เขียนมาอยู่วัดพุทธารามเกาหลีครั้งที่สอง มีความตั้งใจอย่างหนึ่งที่จะฝึกใจตนเอง คือ ตั้งใจไว้ว่าทุกครั้งที่เดินเข้าออกบริเวณประตู ถ้าเจอรองเท้าวางไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย จะจัดให้เรียบร้อยทุกครั้ง ตื่นมาทุกเช้าก่อนจะเข้าห้องน้ำก็จัด ตอนเช้า สาย บ่าย ค่ำ เดินไปเข้าห้องน้ำ หรือเดินไปทำธุระอย่างอื่น ถ้าเห็นก็จะจัด สิบวันแรกสังเกตเห็นใจของตัวเอง ใจที่ไม่อยากทำ ใจที่อยากจะตำหนิคนอื่น อยากจะตำหนิเด็กวัด เราจัดให้เป็นระเบียบเรียบร้อยแล้วทำไมไม่ทำตาม บางครั้งไม่ถึงสืบนาที รองเท้าก็ไม่เป็นระเบียบอีกแล้ว

เมื่อเจอเราก็ทำ ขยันก็ทำ ขี้เกียจก็ทำ  ไม่อยากทำก็ทำเพราะเป็นความตั้งใจ ใครจะทำตามหรือไม่ทำตามก็ไม่ว่า ไม่บ่น ไม่หงุดหงิด พอทำไปเรื่อยๆ จะครบหนึ่งเดือน พื้นที่ของใจมันกว้างขึ้นๆ ใจที่อยากจะตำหนิคนอื่นมันหายไป สิ่งที่มาแทนที่คือความสุข เรามองเห็นประโยชน์ของสิ่งที่ทำ ที่สำคัญได้ฝึกใจตัวเองด้วย หลังๆ เด็กวัดหลายคนก็สังเกตเห็นพระจัดรองเท้า ก็จัดตาม เวลาญาติโยมมาวัดเห็นรองเท้าเป็นระเบียบ ญาติโยมก็ทำตาม ความเป็นระเบียบก็เกิดขึ้น

ในทางพระพุทธศาสนาการทำอย่างนี้ การฝึกอย่างนี้ ท่านเรียกว่า สาตัจจะกิริยา คือ กิริยาที่กระทำต่อเนื่อง ขยันก็ทำ ไม่ขยันก็ทำ ขี้เกียจก็ทำ ไม่ขี้เกียจก็ทำ ถ้าเราฝึกใจเรา ฝึกตัวเราอย่างนี้ให้ต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการงานทางโลก หรือการงานทางธรรม สักวันหนึ่งก็จะสำเร็จ

ปีใหม่ สำหรับใครที่อยากจะเริ่มฝึกตัวเอง ฝึกใจตัวเองก็ให้เริ่มด้วยเรื่องๆ เล็กๆ ก่อนก็ได้ เช่น ตื่นนอนมาจะเก็บที่นอน หรือ ตื่นมาจะนั่งสมาธิสัก ๕ นาที เป็นการทำตัวเองให้เป็นของขวัญแก่ตัวเอง แต่ขอให้ทำทุกวัน ให้เป็นสาตัจจะกิริยา คือ กิริยาที่กระทำต่อเนื่อง

ในเรื่องของการฝึกใจนี้ครูบาอาจารย์บอกว่า ในตัวเราจะมีมารอยู่ ๒ ตัว คือ มารขาว กับมารดำ เปรียบเสมือนความดีกับความชั่ว ตัวที่จะชนะ ก็คือตัวที่เราให้อาหารมันเรื่อยๆ

ส่งท้ายด้วยนิทาน “แค่ใส่รองเท้าก็พอ”

มีลูกศิษย์กับพระอาจารย์รูปหนึ่ง วันหนึ่งลูกศิษย์ก็มาสนทนาธรรมกับพระอาจารย์ ลูกศิษย์ก็เล่าให้พระอาจารย์ฟังถึงความลำบากของตัวเอง ว่าตัวเองเป็นคนเท้าบาง เวลาเดินไปไหนมาไหนจะเจ็บมาก ก็เลยพูดให้อาจารย์ฟังว่า อาจารย์ครับ วันหนึ่งถ้าผมรวยนะมีเงินมากๆ ผมจะหุ้มทางเดินบนโลกนี้ด้วยหนังอย่างดีเลย เวลาเดินไปไหนมาไหนจะได้สบายเท้า พระอาจารย์นั่งฟังอยู่ก็ไม่พูดอะไร เดินไปหยิบรองเท้าหนังมาให้ลูกศิษย์ใส่ แล้วบอกว่า ไม่ต้องหุ้มทางเดินด้วยหนังทั่วโลกหรอก แค่ใส่รองเท้าก็พอ 

เรื่องที่เล่าให้ฟังทุกเรื่องไม่มีบทสรุป ไม่มีคำตอบว่านะว่าอะไรดีที่สุด เรื่องราวที่เข้ากับจังหวะของชีวิต คือเรื่องที่ดีที่สุด อะไรที่เป็นไปตามจังหวะชีวิต ไม่ผิดกฎหมายบ้านเมือง ไม่ผิดศีลธรรมอันดีงามของสังคม คือสิ่งที่ดีที่สุด

สิ่งที่เราทำก็เหมือนกัน งานที่เราทำก็เหมือนกัน งานที่เป็นไปตามจังหวะชีวิต คืองานที่ดีที่สุด สิ่งที่เราคิดพูดทำ อะไรที่เราเห็นว่าเหมาะว่าควร อะไรที่เป็นไปตามจังหวะชีวิต คือสิ่งที่ดีที่สุด

ทำอย่างไร…พื้นที่ของใจจึงจะกว้างขึ้น โดย พระมหาอภิชาติ ธมฺมาภินนฺโท วัดพุทธารามเกาหลี  เมืองอันซัน ประเทศเกาหลีใต้ จากคอลัมน์ จาริกบ้าน จารึกธรรม (หน้าพระไตรสรณคมน์ นสพ.คมชัดลึก วันพฤหัสบดีที่ ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๓)

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here