ขุนเขาย่อมมีวันทลาย

สายน้ำย่อมมีวันเปลี่ยนทาง

แต่ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง

“ทศชาติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง”

ฉบับ ญาณวชิระ

: ชาติที่ ๔. พระเนมิราช พระมหากษัตริย์ผู้ทรงธรรม

“สิ่งที่ได้มาเพราะผู้อื่นให้

เปรียบเหมือนยานพาหนะหรือเงินทองที่ยืมเขามา

เราไม่ปรารถนาสิ่งของที่ผู้อื่นให้

บุญที่เราทำด้วยตัวของเราเอง

ย่อมเป็นทรัพย์ที่จะติดตามเราตลอดไป”

เนมิราช เป็นชาดกที่พระพุทธเจ้าตรัสเล่าถึงเรื่องราวในอดีตชาติของพระองค์ เมื่อครั้งพระองค์เกิดเป็นพระเจ้าเนมิราช ครองราชสมบัติในกรุงมิถิลานคร ทรงมีปณิธานที่จะบําเพ็ญ “อธิษฐานบารมี” ได้อธิษฐานใจ ที่จะปกครองแผ่นดินโดยธรรม สั่งสอนอาณาประชาราษฎร์ ให้ตั้งอยู่ในธรรม ให้บ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุข แม้เหล่าเทพทั้งหลาย จะเชื้อเชิญพระองค์ในทิพยสมบัติ ก็ไม่ปรารถนา  อธิษฐานใจ ที่จะทําบุญกุศลด้วยพระองค์เอง

เนมิราชชาดก ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก มหานิบาต และอรรถกถา  ขุททกนิกาย ชาดก มหานิบาต

ขณะตรัสเล่าเรื่องเนมิราชนั้น พระพุทธองค์ ประทับอยู่ที่พระราชอุทยานอัมพวันของพระเจ้ามฆเทวราช  ทรงอาศัยกรุงมิถิลานคร  แคว้นวิเทหะ นั้นเอง สําหรับบิณฑบาต

ในเวลาเย็นวันหนึ่ง พระพุทธองค์พร้อมด้วยหมู่พระภิกษุสงฆ์เป็นจํานวนมาก เสด็จจาริกผ่านไปในพระราชอุทยานอัมพวันนั้น พระพุทธองค์ทอดพระเนตรภูมิประเทศแห่งหนึ่ง เป็นสถานที่ร่มรื่นเย็นสบาย ทรงประสงค์จะตรัสเล่าเรื่องในอดีตชาติของพระองค์ ให้หมู่พระภิกษุสงฆ์ฟัง จึงทรงแย้ม พระโอษฐ์ พระอานนท์เถระ ทูลถามถึงเหตุที่ทรงแย้มพระโอษฐ์ จึงตรัสว่า “อานนท์ ภูมิประเทศนี้ เราเคยอาศัยเจริญฌาน เมื่อครั้งเกิดเป็นพระเจ้ามฆเทวราช” แล้วทรงทอดพระสุรเสียงนิ่งโดยดุษฎีอยู่ครู่หนึ่ง  หมู่พระภิกษุสงฆ์กราบทูลวิงวอนให้พระองค์ตรัสเล่าเรื่องพระเจ้ามฆเทวราชให้ฟัง จึงประทับนั่งบนอาสนะสําหรับพระพุทธเจ้า ที่พระภิกษุสงฆ์ปูเตรียมไว้ เริ่มตรัสเล่าเรื่องราวอดีตชาติ ของพระองค์ เมื่อครั้งเกิดเป็นพระเจ้ามฆเทวราช

ปฐมบรมราชวงศ์นักบวช

ในอดีตชาติ มีพระมหากษัตริย์พระนามว่า “มฆเทวราช” ครองราชสมบัติในกรุงมิถิลานคร  แคว้นวิเทหรัฐ พระองค์ทรงอยู่ในวัยเยาว์ เล่นสนุกสนานเพลิดเพลินอย่างพระราชกุมาร อยู่ประมาณ ๘๔,๐๐๐ ปี หลังจากนั้น จึงได้รับการอภิเษกเป็นสมเด็จพระมหาอุปราช อีกราว ๘๔,๐๐๐ ปี เมื่อพระบิดาสิ้นพระชนม์ จึงได้ขึ้นครองราชย์ เสวยราชสมบัติเป็นเวลา ๘๔,๐๐๐ ปี ครั้นขึ้นครองราชสมบัติ  ทรงรับสั่งพนักงานภูษามาลาไว้ว่า เมื่อใดก็ตามที่เห็นผมบนศีรษะของพระองค์หงอก  ให้บอกพระเจ้ามฆเทวราชทรงปกครองแผ่นดินด้วยทศพิธราชธรรมเสมอมา  

ครั้นกาลต่อมา  เจ้าพนักงานภูษามาลาเห็นผมหงอกบนพระเศียรของพระองค์แล้วจึงกราบทูลให้ทรงทราบ  พระองค์รับสั่งให้ถอนด้วยแหนบทองคํา วางไว้ในพระหัตถ์  ทรงทอดพระเนตร  เห็นผมหงอกแล้ว  เหมือนเห็นความตายปรากฏอยู่ที่พระนลาฏ ทรงดําริว่า ถึงเวลาที่จะต้องบวชแล้ว  จึงพระราชทานบ้านส่วย ให้เจ้าพนักงานภูษามาลา  แล้วตรัสเรียกพระโอรสองค์โตมา  ตรัสมอบราชสมบัติว่า “ลูก จงรับราชสมบัติ ปกครองบ้านเมือง พ่อจะบวช” พระโอรสทูลถามถึงเหตุที่ทรงผนวช  พระองค์จึงตรัสว่า “ผมหงอกบนศีรษะของพ่อ เป็นเทวทูตมาปรากฏ บ่งบอกให้รู้ว่า  พ่อแก่แล้ว จึงเป็นเวลาที่พ่อ จะต้องบวช”

พระองค์ทรงอภิเษกพระโอรสไว้ในราชสมบัติ ตรัสสอนว่า “แม้ตัวลูกเอง เมื่อเห็นผมหงอก  อย่างนี้แล้ว ก็จงบวช” แล้วเสด็จออกจากพระนคร ทรงผนวชเป็นฤๅษี ในพระราชอุทยานอัมพวันนั่นเอง เจริญพรหมวิหาร ๔ ตลอด ๘๔,๐๐๐ ปี ก็สิ้นพระชนม์ ไปเกิดในพรหมโลก

แม้พระมหากษัตริย์ ผู้เป็นพระราชโอรสของพระเจ้ามฆเทวราชพระองค์ต่อ ๆ มา ก็ปฏิบัติตามวงศ์ของปฐมบรมมหากษัตริยาธิราช สืบต่อมายาวนานเกือบ ๘๔,๐๐๐ พระองค์ พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ ทอดพระเนตรเห็นเส้นผมบนพระเศียรหงอกแล้ว ก็ทรงผนวช ในพระราชอุทยานอัมพวัน แห่งนี้ เจริญพรหมวิหาร ๔ ครั้นสิ้นพระชนม์ ก็ไปเกิดในพรหมโลก

กำเนิดพระเนมิราช

บรรดาพระมหากษัตริย์ ที่สืบต่อกันมา เกือบ ๘๔,๐๐๐ พระองค์นั้น พระเจ้ามฆเทวราช  ที่ทรงเป็นต้นราชวงศ์กษัตริย์นักบวช ซึ่งได้ไปเกิดในพรหมโลก ก่อนกษัตริย์ทุกพระองค์ ทรงตรวจดู   วงศ์ของพระองค์ ทราบว่า ราชวงศ์ของพระองค์ สืบทอดการออกบวชมายาวนานถึง ๘๓,๙๙๘ พระองค์  ก็ทรงยินดี ทรงพิจารณาต่อไปว่า  จากนี้ไป ราชวงศ์กษัตริย์นักบวช จะยังมีผู้สืบทอดอยู่อีกหรือไม่ หรือว่า จะขาดสูญราชวงศ์แล้ว ก็ทรงทราบว่า กษัตริย์พระองค์นี้ เป็นองค์สุดท้าย จะสิ้นสุดราชวงศ์นักบวช ลงแต่เพียงเท่านี้ ทรงคิดว่า ตัวพระองค์เองควรจะสืบต่อราชวงศ์ของพระองค์   จึงจุติจากพรหมโลก ลงมาถือปฏิสนธิในครรภ์แห่งพระอัครมเหสีของพระราชาในกรุงมิถิลานคร  เป็นพระมหากษัตริย์ลำดับที่ ๘๓,๙๙๙ แห่งราชวงศ์นักบวช

เมื่อพระกุมารประสูติ  พระราชาตรัสเรียกพราหมณ์มาทํานายลักษณะ พวกพราหมณ์ตรวจดูลักษณะแล้ว กราบทูลให้ทรงทราบว่า พระราชกุมารผู้สืบราชวงศ์นักบวชมาประสูติแล้ว หลังจากพระกุมารพระองค์นี้ จะไม่มีพระมหากษัตริย์พระองค์ใดจากราชวงศ์นี้ ออกบวชอีกต่อไป

พระราชาสดับดังนั้น ทรงดําริว่า พระโอรสพระองค์นี้ เกิดมาเพื่อสืบราชวงศ์ ดุจล้อรถนํารถให้เคลื่อนไป  จึงขนานนามว่า “เนมิกุมาร” แปลว่า “พระกุมารผู้เกิดมาเพื่อสืบต่อราชวงศ์”

พระเนมิกุมาร มีอุปนิสัยน้อมไปในการบริจาคทาน รักษาศีล และถืออุโบสถกรรม ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ครั้นอยู่ต่อมา พระชนกทอดพระเนตรเห็นเส้นผมบนพระเศียรหงอก ก็พระราชทานบ้านส่วย แก่เจ้าพนักงานภูษามาลา มอบราชสมบัติแก่พระราชโอรส แล้วทรงผนวช ในพระราชอุทยานอัมพวัน  ตามโบราณราชประเพณีนั่นเอง ครั้นสิ้นพระชนม์แล้ว ได้ไปเกิดในพรหมโลก

เมื่อพระเจ้าเนมิราช ครองราชสมบัติในกรุงมิถิลานคร พระองค์อธิษฐานใจที่จะปกครองแผ่นดินโดยธรรม  สั่งสอนอาณาประชาราษฎร์ของพระองค์ ให้ตั้งอยู่ในธรรม พระองค์โปรดให้สร้างโรงทาน  ๕ แห่ง คือ ที่ประตูพระนคร ๔ แห่ง ส่วนโรงทานอีก ๑ แห่ง ให้ตั้งตรงกลางพระนคร  ทรงมีพระราชอัธยาศัยน้อมไปในการให้ทาน  พระราชทานทรัพย์ที่โรงทาน แห่งละ ๑๐๐,๐๐๐ กหาปณะ  รวมเป็นทรัพย์ที่บริจาคในแต่ละวัน ถึง ๕๐๐,๐๐๐ กหาปณะ ทรงรักษาศีล ๕ เป็นประจํา สมาทานรักษาอุโบสถศีล ทุกวันพระอุโบสถ ทรงนําอาณาประชาราษฎร์ ให้ทาน แสดงธรรมสั่งสอน ให้ประชาชน ทราบทางที่จะไปเกิดในสวรรค์ กระตุ้นเตือนให้กลัวนรก ประชาชนฟังพระบรมราโชวาท ของพระองค์แล้ว ประพฤติธรรม ให้ทาน เป็นต้น ตั้งแต่นั้นมา บ้านเมืองก็ร่มเย็น เป็นสุข ประชาชน ที่ทําตามพระบรมราโชวาทของพระเจ้าเนมิราช ครั้นสิ้นชีวิต ก็ไปบังเกิดในสวรรค์  ขณะนั้นสวรรค์เต็มไปด้วยเหล่าเทวดา ส่วนนรก เงียบเหงา เหมือนว่างเปล่า

กาลนั้น หมู่เทวดาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ประชุมกันที่เทวสภา ชื่อ “สุธรรมา” ต่างสรรเสริญพระโพธิสัตว์ว่า “พระเจ้าเนมิราช เป็นพระอาจารย์ของพวกเรา เพราะอาศัยพระองค์แนะนําสั่งสอน พวกเรา จึงได้เสวยทิพยสมบัติในสวรรค์”

แม้ในโลกมนุษย์ มหาชนก็สรรเสริญคุณของพระโพธิสัตว์เช่นกัน เสียงเล่าขานสรรเสริญพระเนมิราชแผ่ไพศาลไป เหมือนน้ำมันที่เทราดลงกลางมหาสมุทรลอยฟ่องกระจายแผ่ไพศาลไปทั่วท้องน้ำ

เมื่อพระเจ้าเนมิราช ทรงบริจาคทานอยู่ พระองค์ก็เกิดความสงสัยในทานว่า ระหว่างการให้ทาน  กับการประพฤติพรหมจรรย์ อย่างไหน มีอานิสงส์มากกว่ากัน

พระเจ้าเนมิราช ทรงสมาทานอุโบสถศีล ในวันอุโบสถขึ้น ๑๕ ค่ำ ทรงเปลื้องเครื่องทรงของพระราชาออกหมด  บรรทมบนที่นอน ปูลาดที่พื้น หลับไปตลอดสองยาม ตื่นบรรทมในเวลาใกล้รุ่งสาง ทรงคู้บัลลังก์นั่งขัดสมาธิ ดำริว่า พระองค์ให้ทานเป็นจํานวนมากแก่มหาชน ทั้งศีล ก็รักษา  ระหว่างการให้ทาน กับการประพฤติพรหมจรรย์ อะไร มีอานิสงส์มากกว่ากัน ทรงพิจารณาอยู่ ก็ไม่สามารถตัดความสงสัยได้

ขณะนั้น พิภพแห่งท้าวสักกเทวราชเกิดรุ่มร้อน บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ก็แข็งกระด้าง  ท้าวสักกะทรงพิจารณาถึงสาเหตุ ก็ทราบว่า พระเจ้าเนมิราชกําลังเกิดความสงสัยในอานิสงส์ของการให้ทาน และการประพฤติพรหมจรรย์ว่า อย่างไหน มีอานิสงส์มากกว่ากัน ทรงประสงค์จะทําให้พระเจ้าเนมิราชคลายความสงสัย จึงเสด็จมาตามลําพังเพียงพระองค์เดียว  ทําให้พระราชนิเวศน์ส่องสว่างไปทั่ว แล้วเสด็จเข้าสู่ห้องบรรทมของพระเจ้าเนมิราช แผ่รัศมีสว่างรุ่งเรือง  สถิตอยู่ในอากาศ พระเจ้าเนมิราช เห็นเช่นนั้น เกิดพระโลมชาติชูชัน ขนพองสยองเกล้า เพราะไม่เคยเห็นแสงสว่างเจิดจรัสเช่นนี้มาก่อน ตรัสถามว่า “ท่านเป็นใคร เป็นเทวดา เป็นคนธรรพ์ หรือเป็นท้าวสักกะจอมเทพ เราไม่เคยเห็นรัศมีสุกสว่างเช่นนี้มาก่อนเลย”

ท้าวสักกะทราบว่า พระเจ้าเนมิราชขนลุกชูชัน จึงปลอบให้เบาพระทัย บอกให้ทราบว่า  พระองค์ คือ ท้าวสักกเทวราช แล้วเชิญให้ถามปัญหาที่สงสัย พระเจ้าเนมิราช ได้โอกาส  จึงตรัสถามอานิสงส์ของการให้ทาน และการประพฤติพรหมจรรย์ อย่างไหน มีผลานิสงส์มากกว่ากัน

ท้าวสักกะ ตรัสว่า“คนจะเกิดในขัตติยราชสกุลได้ ต้องเคยประพฤติพรหมจรรย์ขั้นต่ำ  จะเกิดเป็นเทวดาได้  ต้องประพฤติพรหมจรรย์ขั้นกลาง  และจะบริสุทธิ์ได้ ต้องประพฤติพรหมจรรย์   ขั้นสูงสุด  พรหมจรรย์ ไม่ใช่ว่าใคร ๆ จะได้มาด้วยการประกอบพิธีสวดอ้อนวอน  ผู้สละเหย้าเรือน  ออกบวชบําเพ็ญตบะธรรม จึงจะได้ไปบังเกิดในพรหมโลก การประพฤติพรหมจรรย์มีผลมากกว่าการให้ทาน ดังนี้”

เพื่อจะแสดงให้เห็นว่า การประพฤติพรหมจรรย์  มีอานิสงส์มากกว่าการให้ทาน  ท้าวสักกเทวราชจึงทรงยกตัวอย่างพระราชาในอดีตมาแสดง แม้ทรงบริจาคทานเป็นอันมาก  แต่ก็ไม่สามารถไปเกิดได้สูงไปกว่าสวรรค์ชั้นกามาวจรได้ ทรงตรัสว่า “ในกาลก่อน  พระเจ้าทุทีปราช ครองราชสมบัติในกรุงพาราณสี ทรงบริจาคทานมากมาย ครั้นสิ้นพระชนม์แล้ว  ได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นกามาวจรเท่านั้น

ส่วนพระราชาเหล่านี้ คือ พระเจ้าสาครราช พระเจ้าเสลราช พระเจ้ามุจลินทราช   พระเจ้าภคีรสราช พระเจ้าอุสินนราช พระเจ้าอัตถกราช  พระเจ้าอัสสถราช  พระเจ้าปุถุทธนราช  ก็ไม่สามารถไปเกิดได้สูงกว่ากามาวจรไปได้เช่นกัน คนที่อยู่ตัวคนเดียว ไร้เพื่อน ไม่มีความเบิกบานใจ  ไม่ได้ปีติจากความวิเวก ถึงเขาจะมีทรัพย์สมบัติมากมาย เทียบเท่าพระอินทร์ ก็ยังชื่อว่า  เป็นคนเข็ญใจอยู่นั่นเอง เพราะต้องอาศัยผู้อื่น จึงได้ความสุข

ครั้นยกตัวอย่างพระราชาในอดีตดังนี้แล้ว ท้าวสักกเทวราช ได้ยกตัวอย่างฤๅษี ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ครั้นตายไปแล้ว ได้ไปเกิดในพรหมโลกว่า

๑ สวรรค์ มี ๖ ชั้น คือ ๑. ชั้นจาตุมหาราชิกา ๒. ชั้นดาวดึงส์ ๓. ชั้นดุสิต ๔. ชั้นยามา ๕. ชั้นนิมมานรดี  ๖. ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี เรียกว่า “สวรรค์ชั้นกามาวจร” เพราะยังเป็นสวรรค์ที่ข้องเกี่ยวอยู่ในกาม มีรัก โลภ โกรธ หลง อยู่มาก  สูงขึ้นไปจากนี้ เป็นพรหมโลก มี ๒๐ ชั้น ผู้ที่จะไปเกิดในพรหมโลก ต้องประพฤติพรหมจรรย์อย่างสูง จนได้สมาธิขั้นฌาน เรียกว่า “พรหมโลก” เป็นสิ่งปรารถนาของเหล่าเทพ

“เหล่าฤๅษีทั้งหลาย มี ยามหนุฤๅษี  โสมยาคฤๅษี  มโนชฤๅษี สมุททฤๅษี มาฆฤๅษี ภรตฤๅษี กาลปุรักขิตฤๅษี อังคีรสฤๅษี กัสสปฤๅษี กีสวัจฉฤๅษี และอกัตติฤๅษี เป็นต้น ต่างสละเหย้าเรือน        ออกบวช บําเพ็ญตบะธรรม จึงสามารถก้าวข้ามสวรรค์ชั้นกามาวจร ไปเกิดในพรหมโลกได้  ท่านเหล่านี้ อาศัยอยู่ที่บริเวณแม่น้ำสีทา อันกว้างใหญ่ ในป่าหิมวันต์

ท้าวสักกเทวราช เมื่อจะพรรณนาอานิสงส์การประพฤติพรหมจรรย์ของเหล่าฤๅษี  ให้พระเจ้าเนมิราชเกิดความเลื่อมใส จึงตรัสต่อไปว่า “แม่น้ำสีทา ไหลมาตามซอกเขาสุวรรณบรรพต  เป็นแม่น้ำที่ใสมาก แม้แต่เรือก็ข้ามได้ยาก ขนาดขนหางนกยูงตกลงไป ก็จมลงถึงพื้น แม่น้ำนี้ จึงมีชื่อว่า “สีทา”

ที่ฝั่งแม่น้ำมีเขาสุวรรณบรรพตเปล่งแสงเรืองรอง มีสีเหมือนเปลวเพลิงลุกไหม้ โชติช่วงสุกสว่าง อยู่ตลอดเวลา มีต้นกฤษณางอกงามส่งกลิ่นหอม มีภูเขาน้อยใหญ่ ทอดเทือกสลับซับซ้อน ผืนป่า งอกงาม ปกคลุมไปด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ ผลิดอกออกผล งามสล้าง มีฤๅษีรุ่นเก่าแก่ประมาณหมื่นรูป อาศัยอยู่ที่ภูเขาแห่งนั้น

หม่อมฉัน เป็นผู้ประเสริฐสุดด้วยการให้ทาน ด้วยการสํารวมระวัง และการฝึกหัดตนเอง  อุปัฏฐากฤๅษีเหล่านั้น ผู้มีวัตรปฏิบัติงดงาม ไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะ ปลีกตนอยู่ผู้เดียว มีจิตเป็นสมาธิ มั่นคง

หม่อมฉัน น้อมนมัสการหมู่ฤๅษีเหล่านั้น ผู้ปฏิบัติตรง ถึงแม้จะมีชาติตระกูลหรือไม่ก็ตาม   สัตว์ทั้งหลาย มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ แม้เป็นคนในวรรณะ หากไม่มีธรรม ก็ต้องตกนรก ผู้อยู่ในวรรณะทั้งหลาย มีความบริสุทธิ์ ก็เพราะการประพฤติธรรม

ฤๅษีเหล่านั้นทั้งหมด ล้วนได้บรรลุโลกิยอภิญญา ๕ และสมาบัติ ๘ บางรูป ไปภิกษาจาร  ถึงอุตตรกุรุทวีป บางรูป นําผลชมพู่ใหญ่มาฉัน บางรูป นําผลไม้หลากชนิด ในป่าหิมวันต์มาฉัน บางรูป ไปภิกษาจารที่นครต่าง ๆ ในชมพูทวีป แม้เช่นนั้น ก็ไม่มีท่านใด ยึดติดในรส ฤๅษีเหล่านั้น ใช้เวลาให้หมดไปกับความสุขที่เกิดจากฌาน

อยู่มาวันหนึ่ง  มีฤๅษีรูปหนึ่ง  เหาะมาบิณฑบาตที่กรุงพาราณสีทางอากาศ  ท่านนุ่งห่มเรียบร้อย  มีสายตาทอดลง เดินมาจนถึงประตูเรือนปุโรหิต  ปุโรหิตเห็นแล้ว  เกิดความเลื่อมใสในความสงบของท่าน  จึงนิมนต์ให้มาฉันที่บ้าน ตั้งใจอุปัฏฐากอยู่สองสามวัน เมื่อเกิดความคุ้นเคยกันแล้ว  จึงเรียนถามถึงที่อยู่ของท่านฤๅษีบอกให้ทราบ  จึงถามต่อไปว่า  อยู่รูปเดียว หรืออยู่กันหลายรูป ปุโรหิตจึงทราบว่า ที่ภูเขาแห่งนั้น มีฤๅษีอยู่กันนับหมื่น ล้วนแต่ทรงอภิญญา ๕ และ สมาบัติ ๘ ทั้งนั้น

ปุโรหิต เกิดศรัทธา จิตน้อมไปในการออกบวช จึงขอให้ฤๅษีพาไปบวชในที่นั้นด้วย ฤๅษีกล่าวว่า ไม่สามารถบวชให้ข้าราชบริพารชั้นผู้ใหญ่ได้ ปุโรหิตจึงบอกว่า จะกราบทูลขอ  พระบรมราชานุญาต วันรุ่งขึ้น ปุโรหิตเข้าเฝ้าพระราชา กราบทูลขอพระบรมราชานุญาตออกบวช พระราชาตรัสถามถึงสาเหตุที่จะบวช ปุโรหิตกราบทูลว่า เห็นโทษในการครองเรือน และเห็นอานิสงส์ในเนกขัมมะ จึงต้องการบวช พระราชาจึงทรงอนุญาต แต่เมื่อบวชแล้ว ขอให้หาโอกาส มาเยี่ยมพระองค์บ้าง ปุโรหิตรับพระบรมราชโองการแล้ว ถวายบังคม กลับเรือน สอนบุตรภรรยา มอบสมบัติให้ ถือบริขารนักบวช นั่งคอยฤๅษีมารับ

ฝ่ายฤๅษี เหาะมาทางอากาศ รับปุโรหิตไปบวชในป่าหิมวันต์ ครั้นบวชแล้ว ให้ฤๅษีปุโรหิต  ผู้บวชใหม่ พักอาศัยอยู่ในป่าแห่งนั้น นําภัตตาหารมาให้บริโภค แล้วบอกกสิณบริกรรม ฤๅษีปุโรหิต บวชได้ไม่นาน ก็บําเพ็ญสมณธรรม จนบรรลุอภิญญา ๕ และสมาบัติ ๘ จากนั้น ก็สามารถเที่ยวบิณฑบาตมาฉันได้ ด้วยตนเอง

ครั้นกาลต่อมา ฤๅษีปุโรหิต คิดถึงคําพระราชาว่า ให้หาโอกาสไปเยี่ยมพระองค์บ้าง จึงกราบลาฤๅษีทั้งหลาย เหาะไปกรุงพาราณสี เที่ยวบิณฑบาต ไปจนถึงประตูพระราชวัง พระเจ้ากรุงพาราณสี ทอดพระเนตรเห็น ก็จําได้ว่า เป็นปุโรหิตผู้เป็นอาจารย์ของพระองค์ จึงนิมนต์เข้าไปในพระราชนิเวศน์  ตรัสถามถึงที่อยู่ ฤๅษีปุโรหิตทูลตอบว่า อยู่ทางทิศเหนือ ใกล้ฝั่งแม่น้ำสีทา  ในระหว่างภูเขา สุวรรณบรรพต ในป่าหิมวันต์ พระราชาตรัสถามว่า ท่านอยู่ที่นั้น รูปเดียว หรือ  มีฤๅษีอื่น ๆ อยู่ด้วย  ฤๅษีผู้เป็นอาจารย์ทูลให้ทรงทราบว่า ในป่าแห่งนั้น มีฤๅษีอยู่นับหมื่นรูป และท่านเหล่านั้น ล้วนทรงอภิญญา ๕ และสมาบัติ ๘

พระราชา ทรงสดับคุณสมบัติเหล่าฤๅษี มีพระประสงค์จะถวายอาหารแก่ฤๅษีทั้งหมด จึงแจ้งความประสงค์ให้ฤๅษีปุโรหิตทราบ ฤๅษีทูลว่า ท่านเหล่านั้น ไม่ยินดีในรส  จึงไม่อาจนําท่านมาที่นี้ได้ ฤๅษีปุโรหิต จึงทูลแนะนําพระราชาว่า หากมีพระประสงค์จะถวายทาน  แก่ฤๅษีทุกรูป พระองค์ต้องเสด็จออกจากพระนคร ไปประทับแรมอยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำสีทา จึงจะมีโอกาส ได้ถวายทานแก่ฤๅษีเหล่านั้น

ด้วยแรงศรัทธา  พระราชาจึงเสด็จออกจากพระนคร พร้อมด้วยจาตุรงคเสนา ไปจนสุดชายแดน พระราชอาณาเขตของพระองค์

ฤๅษีปุโรหิต นําพระราชาไปถึงฝั่งแม่น้ำสีทานที โปรดให้ตั้งค่ายประทับแรมที่ริมฝั่งแม่น้ำ  ทูลเตือนพระราชาไม่ให้ประมาท แล้วเหาะไปที่อยู่ของตน และเหาะกลับมาในวันรุ่งขึ้น พระราชา            ถวายอาหารฤๅษีผู้เป็นอาจารย์ ด้วยความเคารพแล้ว ตรัสว่า วันรุ่งขึ้น พระองค์จะมีโอกาสได้ถวายอาหารแก่ฤๅษีหมื่นรูปในป่าแห่งนี้หรือไม่ ฤๅษีปุโรหิตรับพระราชดํารัสแล้ว กลับไปแจ้งให้ฤๅษีทั้งหลายทราบว่า พระเจ้าพาราณสี เสด็จมาประทับอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำสีทานที มีพระราชประสงค์จะถวายอาหารแก่เหล่าฤๅษีทั้งหลาย จึงขอให้ไปยังค่ายหลวง รับภิกษาเพื่ออนุเคราะห์พระองค์  ฤๅษีเหล่านั้น จึงเหาะลงมาที่ใกล้ค่ายหลวง

พระราชา เสด็จต้อนรับฤๅษีเหล่านั้น แล้วอาราธนาให้เข้าไปในค่ายหลวง นิมนต์ให้นั่งบนอาสนะ ทรงเลี้ยงดูหมู่ฤๅษี ให้อิ่มหนําด้วยอาหารที่จัดเตรียมไว้อย่างดี ทรงเกิดความเลื่อมใสในอิริยาบถของฤๅษีเหล่านั้น จึงนิมนต์ให้ฉันในวันรุ่งขึ้นอีก ทรงถวายทานแก่ฤๅษีหมื่นรูป  โดยทํานองนี้ ตลอดหมื่นปี โปรดให้สร้างนครในสถานที่นั้น ให้ประชาชนประกอบเกษตรกรรม

มหาบพิตร ! พระเจ้ากรุงพาราณสีในกาลนั้น มิใช่ใครอื่น คือ หม่อมฉันนี่เอง  หม่อมฉันเป็นผู้ประเสริฐด้วยทาน เพราะว่า ครั้งนั้น ได้บริจาคทานมาก แต่ก็ไม่สามารถ ไปบังเกิดในพรหมโลกได้  แต่ฤๅษีทั้งหมด รับทานที่หม่อมฉันบริจาค ก้าวล่วงสวรรค์ชั้นกามาวจร ไปบังเกิดในพรหมโลก

“การประพฤติพรหมจรรย์ มีผลานิสงส์มากกว่าการให้ทาน ขอพระองค์ทรงทราบ ตามที่กล่าวมานั้นเถิด

ท้าวสักกเทวราช ทรงถวายอนุศาสน์พระเจ้าเนมิราชว่า “การประพฤติพรหมจรรย์  มีผลมากกว่าทานอย่างแน่นอน แต่ถึงอย่างนั้น พระองค์ก็อย่าได้ประมาทในธรรมทั้งสอง  จงทรงบริจาคทาน และจงทรงรักษาศีลด้วย” ครั้นตรัสเช่นนี้แล้ว ก็เสด็จกลับวิมานของพระองค์

ครั้งนั้น หมู่เทพยดาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้ทูลถามท้าวสักกะว่า “พระองค์ หายไปไหนมา”  ท้าวสักกะ ตรัสตอบว่า “พระเจ้าเนมิราช ราชาแห่งกรุงมิถิลานคร เกิดความสงสัยว่า ระหว่างการให้ทาน กับการประพฤติพรหมจรรย์ สิ่งไหน มีอานิสงส์มากกว่ากัน เราจึงไปแก้ปัญหาให้พระองค์ สิ้นสงสัย” แล้วท้าวสักกะ ก็ได้ตรัสคุณของพระเจ้าเนมิราชอย่างมากมาย ให้หมู่เทวดาฟัง

หมู่เทวดา ได้ฟังท้าวสักกะตรัสดังนี้ ต้องการเห็นพระเจ้าเนมิราช  จึงร้องขอให้ท้าวสักกะทูลเชิญพระเจ้าเนมิราช เสด็จมาสวรรค์ว่า “พระเจ้าเนมิราช เป็นพระอาจารย์ของพวกข้าพเจ้า  พวกข้าพเจ้า ได้ฟังโอวาทของพระองค์ อาศัยพระองค์ จึงได้ทิพยสมบัตินี้ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ต้องการ เห็นพระราชาแห่งมิถิลานคร”

ท้าวสักกะ จึงมีบัญชาให้มาตลีเทพบุตร เทพสารถีเทียมรถเวชยันต์ไปกรุงมิถิลานคร  เชิญเสด็จพระเจ้าเนมิราชขึ้นยานทิพย์นําเสด็จสู่สวรรค์

ชั่วขณะ ที่ท้าวสักกะตรัสอยู่กับเทวดาทั้งหลาย แล้วตรัสเรียกมาตลีเทพบุตร มาตรัสสั่ง และมาตลีเทพสารถีกําลังเทียมเวชยันตราชรถอยู่นั้น เวลาในโลกมนุษย์ ได้ผ่านไปแล้วหนึ่งเดือน

วันนั้น เป็นวันเพ็ญอุโบสถ พระเจ้าเนมิราชทรงรักษาอุโบสถศีล ทรงเปิดสีหบัญชรด้านทิศตะวันออก ประทับนั่งอยู่ในพระตําหนัก แวดล้อมด้วยหมู่อํามาตย์ ทรงพิจารณาศีลอยู่  เวชยันตราชรถปรากฏขึ้นเคียงคู่กับพระจันทร์วันเพ็ญทรงกลดอยู่กลางผืนฟ้า

ประชาชนที่กินอาหารเย็นเสร็จแล้ว ออกมานั่งพูดคุยสนทนากันอยู่ที่ชานเรือนของตนด้วยความสนุกสนานเพลิดเพลิน  ต่างชี้ชวนกันให้ชมดวงจันทร์ พลันนั้น ก็เห็นแสงสว่างเจิดจรัส  ปรากฏคู่ดวงจันทร์ จึงทักว่า “วันนี้ พระจันทร์ขึ้นสองดวง วันนี้ พระจันทร์ขึ้นสองดวง”

ครั้นแล้ว ดวงจันทร์อีกดวงหนึ่ง ก็กลับกลายเป็นราชรถปรากฏแก่ประชาชน ซึ่งกําลังนั่งสนทนาชี้ชวนกันอยู่ว่า “นั้นไม่ใช่ดวงจันทร์ แต่เป็นราชรถ” ราชรถที่ปรากฏนั้น เคลื่อนที่ด้วยความเร็ว ราวกับเทียมด้วยม้าสินธพพันตัว มีมาตลีเทพบุตรเป็นสารถี  

ประชาชนสงสัยว่า  ยานทิพย์นี้ มารับใคร ต่างเห็นว่า “ราชรถนี้ ไม่ได้มาเพื่อใครอื่น นอกจากพระราชาของพวกเรา  พระองค์ทรงเป็นพระธรรมิกมหาราชผู้ทรงธรรม ราชรถนี้ เหมาะสมกับพระราชาของพวกเราโดยแท้” ต่างก็เกิดความร่าเริงยินดี เกิดพิศวงขนพองสยองเกล้าไปตามกัน

ขณะประชาชนกําลังกล่าวกันอย่างนี้ มาตลีเทพบุตรได้ขับราชรถเคลื่อนมาอย่างรวดเร็ว  จอดราชรถที่สีหบัญชร  จัดแจงเตรียมที่ประทับพร้อมกับเชิญพระเจ้าเนมิราชเสด็จขึ้นว่า “ขอเชิญเสด็จมาประทับบนราชรถนี้เถิด หมู่เทพในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พร้อมด้วยพระอินทร์ ปรารถนาที่จะเห็นพระองค์ จึงประชุมคอยเฝ้าอยู่ ณ เทวสภาสุธรรมา”

พระเจ้าเนมิราชทรงทราบว่า มาตลีเทพบุตรจะนําพระองค์ไปเทวโลกซึ่งพระองค์ไม่เคยเห็นมาก่อน  จึงตรัสเรียกนางใน  และอาณาประชาราษฎร์มารับสั่งว่า  พระองค์ไปไม่นานก็จะกลับ  จงทำบุญ  ให้ทาน  อย่าได้ประมาท  แล้วเสด็จขึ้นราชรถทิพย์

ท่องแดนนรก

เมื่อพระเจ้าเนมิราชเสด็จขึ้นประทับบนเวชยันตราชรถแล้ว แม้ท้าวสักกะ  มิได้สั่งไว้ว่า  จะให้นําเสด็จไปทางไหน  แต่เพราะความเป็นทูตพิเศษจากสวรรค์  มาตลีเทพสารถีจึงได้ทูลถาม  พระเจ้าเนมิราชว่า“พระองค์ จะให้นําเสด็จผ่านไปทางไหนก่อน ระหว่างสถานที่อยู่ของเหล่าสัตว์  ผู้ทําบาป กับที่อยู่ของเหล่าสัตว์ผู้ทําบุญ”

พระเจ้าเนมิราชยังไม่เคยเห็นสถานที่ทั้งสองแห่ง จึงประสงค์จะให้เทพสารถีของพระอินทร์  นําดูทั้งนรกและสวรรค์ มาตลีเทพบุตรทูลว่า ไม่สามารถนําเสด็จผ่านเส้นทางทั้งสองแห่งในเวลาเดียวกันได้  จึงให้พระเจ้าเนมิราชเลือกทางใดทางหนึ่งก่อน พระราชาดําริว่า  ถึงอย่างไร  พระองค์ก็จะไปเทวโลกอยู่แล้ว จึงควรดูนรกซึ่งเป็นที่อยู่ของเหล่าสัตว์ผู้ทําบาปก่อน ค่อยผ่านไปทางสวรรค์ทีหลัง

นรกขุมที่ ๑ นรกแม่น้ำเวตรณีนที

มาตลีเทพบุตรจึงขับราชรถนําพระเจ้าเนมิราชผ่านไปทางนรก ชี้ให้ดูแม่น้ำซึ่งข้ามได้แสนยาก  ชื่อว่า “เวตรณี” เต็มไปด้วยน้ำกรด แสบร้อน เดือดพล่านเหมือนเปลวเพลิง  ซึ่งปรากฏขึ้นตามฤดู  ด้วยผลแห่งกรรมของสัตว์นั้น พวกนายนิรยบาลถือศัตราวุธ มีดาบ มีด โตมร หอก และไม้ค้อน ซึ่งมีเปลวไฟลุกโชติช่วง ไล่ต้อนสัตว์นรก ให้ตกลงไปในแม่น้ำ สัตว์นรกเหล่านั้น ถูกไล่ตี  ทนความเจ็บปวดไม่ได้ ก็วิ่งหนีพลัดตกลงไปในแม่น้ำเวตรณี ทนทุกข์ทรมานอยู่ในแม่น้ำนั้น  

ในแม่น้ำเวตรณีนั้น เต็มไปด้วยพันธุ์ไม้เลื้อยที่มีหนามแหลมคมเท่าใบหอก ห้อยย้อยระโยงระยางไปทั่ว มีเปลวไฟร้อนแรงโชติช่วงติดอยู่ที่ปลายแหลม สัตว์นรกเหล่านั้น ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในแม่น้ำเวตรณีหลายพันปี ถูกเถาวัลย์มีหนามแหลมคมกริบเลื้อยรัดขาดเป็นท่อน ๆ  มีหลาวเหล็กประมาณเท่าลําตาลเปลวไฟลุกโชนผุดขึ้นใต้เถาวัลย์เหล่านั้น  สัตว์นรกถูกทรมานอยู่ที่เถาวัลย์นั้น เป็นเวลายาวนาน ครั้นพลัดจากเถาวัลย์ ก็ตกไปเสียบอยู่ที่ปลายหลาว  ร่างกายถูกหลาวแทงติดตรึงไหม้อยู่ที่ปลายหลาวนั้น เหมือนปลาถูกเสียบย่างไฟ  เมื่อหลาวเหล็กลุกเป็นไฟ  สัตว์นรกทั้งหลาย ก็ลุกเป็นไฟตามไปด้วย ใต้หลาวเหล็ก ยังมีใบบัวเหล็กแหลมคม ดุจมีดโกนลุกเป็นไฟ อยู่ผิวน้ำ เมื่อสัตว์นรกเหล่านั้น พลัดจากหลาวก็ตกลงไปในใบบัวเหล็ก ได้รับความเจ็บปวดทุกขเวทนา  ส่งเสียงโอดครวญอยู่นานแสนนาน

ครั้นตกลงไปในน้ำกรด แม่น้ำก็ลุกเป็นไฟ แผดเผาสัตว์นรกทั้งหลายให้ลุกเป็นไฟ ตามไปด้วย  แม้ควันก็คละคลุ้งขึ้น ส่วนภายใต้พื้นน้ำนั้น  ก็เต็มไปด้วยเครื่องประหารอันคมกริบ ดักอยู่ สัตว์นรกเหล่านั้น  ได้รับความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน จึงดิ้นรนทุรนทุรายมุดหนีลงไปในน้ำ ก็กลับถูกเครื่องประหาร อันคมกริบนั้น ตัดขาดเป็นท่อน ๆ เมื่อไม่สามารถอดกลั้นความทุกข์ทรมานได้ ก็ร้องไห้ โอดครวญ  โหยหวน สยดสยอง ด้วยความเจ็บปวด น่าสะพรึงกลัว ถูกกระแสน้ำพัดลอยไปลอยมา

ส่วนพวกนายนิรยบาล ที่ยืนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ ก็ยิงด้วยลูกศร ใช้มีด โตมร หอก แทงสัตว์นรกเหล่านั้น  เหมือนแทงปลา สัตว์นรกก็ร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดทุกขเวทนาแสนสาหัส ต่างส่งเสียงร้องโหยหวน ดังสนั่นไม่ขาดสาย

ครั้นแล้ว พวกนายนิรยบาล ก็เอาเบ็ดเหล็กลุกโชนด้วยเปลวไฟ เกี่ยวสัตว์นรกเหล่านั้นลากขึ้นมา ให้นอนหงายบนแผ่นดินเหล็กร้อน เอาก้อนเหล็กที่ติดไฟลุกโพลงยัดใส่ปากของพวกสัตว์นรก

พระเจ้าเนมิราช ทอดพระเนตรเห็นเหล่าสัตว์ถูกทรมานในแม่น้ำเวตรณีก็สะดุ้งกลัว  ตรัสถามมาตลีเทพบุตรว่า สัตว์เหล่านี้ ได้ทํากรรมอะไรไว้ จึงถูกทรมานเช่นนี้ มาตลีเทพสารถี กราบทูลถึงวิบากกรรมของสัตว์นรกทั้งหลายว่า “เมื่อครั้งเกิดเป็นมนุษย์ สัตว์เหล่านี้ เป็นผู้มีอํานาจเหนือคนอื่น  แล้วใช้อํานาจในทางมิชอบ เบียดเบียนผู้ที่อ่อนแอกว่า ให้ได้รับความลําบากทุกข์ทรมาน  เขาได้ทํากรรมหยาบช้าเช่นนี้ จึงตกลงในนรกเวตรณีนที”

นรกขุมที่ ๒ นรกสุนัขร้าย

มาตลีเทพสารถีขับราชรถเคลื่อนต่อไปข้างหน้า ชี้ให้พระเจ้าเนมิราชดูฝูงสุนัข มีฝูงสุนัขแดง  ฝูงสุนัขดํา ฝูงสุนัขเหลือง ตัวโตเท่าช้าง ฝูงแร้ง และฝูงกาปากเหล็ก เป็นต้น กําลังยื้อแย่ง ฉีกกิน  สัตว์นรกอยู่ พระราชาเกิดความสะดุ้งกลัว แล้วตรัสถามว่า สัตว์เหล่านี้ ได้ทํากรรมอะไรไว้  จึงถูกฝูงสัตว์ดุร้าย ถูกฝูงกาปากเหล็ก รุมฉีกกินเนื้อเช่นนี้

มาตลีเทพสารถี ได้กราบทูลว่า “สัตว์เหล่านี้ เมื่อครั้งเกิดเป็นมนุษย์ มีความตระหนี่ถี่เหนียว  คอยห้ามผู้อื่นบริจาคทาน ทําบาปกรรมหยาบช้ามาก ชอบด่าพระภิกษุสงฆ์ สามเณร และ สมณพราหมณ์ผู้มีศีล จึงถูกฝูงกาปากเหล็กรุมจิกกิน สุนัขเหล่านั้น ตัวโตเท่าช้าง วิ่งไล่สัตว์นรกเหมือนไล่เนื้อ กัดเนื้อแหว่งเป็นชิ้น ๆ ครั้นสัตว์นรกล้มลงบนแผ่นดินเหล็กที่มีเปลวเพลิงลุกไหม้ สุนัขนั้นใช้ขาหน้าทั้งสองเหยียบอกไว้ แล้วฉีกกินเนื้อสัตว์นรกซึ่งร้องลั่น ตะเกียกตะกายหนีเหลือแต่กระดูก

ส่วนฝูงแร้ง มีจะงอยปากเป็นเหล็ก ตัวใหญ่เท่าดุมเกวียนบรรทุกสินค้า แร้งเหล่านั้น  จิกกระดูกด้วยจะงอยปากอันคมเหมือนปลายทวน เจาะกินเยื่อในกระดูก ฝูงกามีจะงอยปากเป็นเหล็ก น่ากลัวยิ่ง ก็รุมจิกกินสัตว์นรกที่มันเห็นเช่นกัน

นรกขุมที่ ๓ นรกแผ่นดินเหล็กร้อนแรง

จากนั้น มาตลีเทพบุตรขับราชรถต่อไปข้างหน้า ชี้ให้พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรดูสัตว์นรกที่กําลังเดินเหยียบแผ่นดินเหล็กร้อนแรง ถูกเปลวไฟแผดเผา พวกนายนิรยบาล ตีด้วยกระบองเหล็ก เท่าลําตาล สัตว์นรกล้มลงนอนร้องโหยหวนครวญครางอยู่ จากนั้น นายนิรยบาล ก็ทุบด้วยกระบองเหล็ก จนร่างกายแหลกละเอียด

พระเจ้าเนมิราช ตรัสถามถึงกรรมของสัตว์นรกเหล่านั้น มาตลีเทพบุตร กราบทูลให้ทราบว่า “สัตว์นรกเหล่านี้ เมื่อครั้งเกิดเป็นมนุษย์ ชอบเบียดเบียนทําร้ายชายหญิงผู้มีธรรม เป็นคนหยาบช้า  จึงต้องประสบทุกข์ทรมานเช่นนี้”

นรกขุมที่ ๔ นรกหลุมถ่านเพลิง

มาตลีเทพสารถี ขับราชรถต่อไปข้างหน้า ชี้ให้พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรดูนายนิรยบาล กําลังแทงสัตว์นรกด้วยอาวุธที่มีเปลวไฟลุกโชนร้อนแรง ไล่ต้อนให้สัตว์นรกเหล่านั้น ตกลงไปในหลุมถ่านเพลิง เมื่อสัตว์นรกเหล่านั้น จมอยู่ในหลุมถ่านเพลิงสูงถึงเอว นายนิรยบาล  ก็เอาตะแกรงเหล็ก ตักถ่านเพลิง โปรยลงบนศีรษะ สัตว์นรกเหล่านั้น ถูกถ่านเพลิงแผดเผา ก็ร้องไห้ครวญคราง อย่างทุกข์ทรมาน ดิ้นรน ตะเกียกตะกาย ลนลานหนี

พระเจ้าเนมิราช ทอดพระเนตรเห็นดังนั้น จึงตรัสถามถึงสาเหตุว่า ทําไมสัตว์พวกนี้  จึงถูกนายนิรยบาลไล่ต้อนทรมานเหมือนคนต้อนโคที่ไม่ยอมเข้าคอกเช่นนั้น

มาตลีเทพบุตร ได้กราบทูลผลกรรมของสัตว์นรกเหล่านั้นว่า“สัตว์นรกเหล่านี้ สร้างหนี้สินไว้ ติดสินบนหัวหน้า ทั้งยังสร้างพยานเท็จขึ้นมา คดโกงทรัพย์สินของประชาชน ทั้งสร้างหนี้สินโดยรวม ให้แก่ประชาชนอีกด้วย เพราะกรรมหยาบช้านั้น จึงต้องมาทนทุกข์ทรมาน ร้องไห้ดิ้นรนอยู่ในหลุมถ่านเพลิงนี้”

นรกขุมที่ ๕ นรกกระทะทองแดง

มาตลีเทพบุตร ขับราชรถต่อไปข้างหน้า เหล่าสัตว์นรก ถูกนายนิรยบาลหน้าตาดุร้ายน่ากลัว   จับเท้าโยนไปในหม้อกระทะทองแดง ที่กําลังเดือดพล่าน พระเจ้าเนมิราช ทอดพระเนตรเห็น จึงตรัสถามว่า สัตว์นรกเหล่านี้ ทํากรรมอะไรไว้ จึงตกในนรกโลหกุมภีนี้ มาตลีเทพสารถี  กราบทูลถึงวิบากกรรมของสัตว์เหล่านี้ว่า “เมื่อครั้งเกิดเป็นมนุษย์ พวกเขาเบียดเบียน อาฆาต ด่าทอพระภิกษุสงฆ์ หรือพราหมณ์ผู้มีศีล ได้ทำกรรมหยาบช้า จึงตกนรกโลหกุมภีนรกนี้”

นรกขุมที่ ๖ นรกโซ่ทองแดง

มาตลีเทพสารถี ขับราชรถต่อไปข้างหน้า พระเจ้าเนมิราช ทอดพระเนตรเห็นนายนิรยบาล  เอาโซ่ทองแดงที่มีเปลวไฟลุกไหม้ ผูกคอสัตว์นรกผลักให้คว่ำหน้าลง ดึงให้รัดคอ แล้วลากลงไปแช่ในหม้อน้ำร้อนที่กําลังเดือดพล่าน แล้วดึงขึ้นมาทุบตี ตัดหัวโยนทิ้งไป จึงตรัสถามว่า  สัตว์เหล่านั้น ได้กระทํากรรมอะไรไว้

มาตลีเทพบุตร กราบทูลวิบากกรรม ที่สัตว์นรกทั้งหลายทําไว้ว่า “เมื่อครั้งเกิดเป็นมนุษย์  สัตว์เหล่านี้ ก่อกรรมทําเข็ญด้วยการวางแร้ว วางบ่วงดักจับนก เพราะบาปกรรมหยาบช้า ที่สัตว์นรกนั้นกระทําไว้ จึงถูกตัดศีรษะ ทิ้งให้นอนอยู่เช่นนี้

นรกขุมที่ ๗ นรกแม่น้ำกลายเป็นแกลบ

มาตลีเทพบุตร ขับราชรถต่อไป ผ่านสถานที่ร่มรื่นสวยงาม พระเจ้าเนมิราช ทอดพระเนตรเห็นแม่น้ำสายใหญ่ มีน้ำใสเย็นน่าดื่มกิน ไหลเอื่อยเรื่อยรินอยู่ตามปกติ ณ ดินแดนแห่งนี้ สัตว์นรก  ถูกความร้อนของไฟนรกแผดเผา ทนความหิวกระหายไม่ได้ จึงเดินย่ำแผ่นเหล็กร้อนแรง  มีเปลวไฟลุกไหม้โชติช่วงลงแม่น้ำ ด้วยหวังจะดื่มกินดับความหิวกระหาย เมื่อถึงริมฝั่ง ทันใดนั้น แม่น้ำก็กลับกลายเป็นเปลวไฟลุกไหม้ น้ำใสเย็นที่น่าดื่มกินก็กลายเป็นแกลบ ใบไม้กลายเป็นเปลวไฟลุกไหม้ไปทั่ว สัตว์นรกทนความกระหายไม่ได้ จึงเคี้ยวกินแกลบและใบไม้ที่เปลวไฟลุกไหม้ แทนการดื่มน้ำ  แกลบและใบไม้นั้น ก็แผดเผาลําไส้ไหลออกทางทวาร สัตว์นรกไม่สามารถทนทุกข์ทรมานได้  ต่างประคองแขนยืนร้องไห้คร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน

พระเจ้าเนมิราช ตรัสถามว่า “แม่น้ำนี้ มีน้ำมาก มีตลิ่งราบเรียบ มีท่าน้ำใสสะอาด ไหลเอื่อยเรื่อยริน ตลอดเวลา สัตว์นรกเหล่านั้น เร่าร้อนเพราะไฟนรก ครั้นจะดื่มน้ำในแม่น้ำนั้น น้ำก็กลายเป็นแกลบไป สัตว์นรกเหล่านั้น ได้ทําบาปอะไรไว้ จึงถูกทรมานด้วยความกระหายเช่นนี้”

มาตลีเทพสารถี กราบทูลวิบากกรรมของสัตว์นรกทั้งหลายว่า “เมื่อครั้งเกิดเป็นมนุษย์  สัตว์เหล่านี้ประกอบอาชีพค้าขายไม่สุจริต ขายข้าวเปลือกผสมข้าวลีบและแกลบให้ลูกค้า บางครั้งก็เอาใบไม้บ้าง แกลบบ้าง ทรายและดิน เป็นต้น ผสมกัน เวลาเสนอขายสินค้า ก็บอกว่า  จะให้ข้าวเปลือกที่มีคุณภาพดี ครั้นรับเงินจากผู้ซื้อแล้ว กลับให้ข้าวเปลือกที่ไม่ได้คุณภาพตามที่ตกลงกันไว้  เมื่อตกนรก ด้วยผลแห่งกรรมนั้น จึงทําให้น้ำกลายเป็นแกลบไป”

นรกขุมที่ ๘ นรกหลาวเหล็ก

มาตลีเทพบุตร ขับราชรถต่อไป พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นนายนิรยบาลไล่ต้อนสัตว์นรกแล้วล้อมไว้  เหมือนนายพรานไล่ต้อนล้อมฝูงกวางในป่า  แล้วแทงสีข้างของสัตว์นรกเหล่านั้นด้วยอาวุธชนิดต่าง ๆ เป็นแผลเหวอะหวะ เหมือนคนเอาเหล็กแหลมแทงใบไม้แห้ง จึงตรัสถามมาตลีเทพบุตรว่า “นายนิรยบาลเอาลูกศร หอก โตมร แทงสัตว์นรกผู้ร้องไห้อยู่ เพราะทําบาปกรรมอะไรไว้ จึงถูกฆ่าด้วยหอก นอนเกลื่อนกลาดอยู่เช่นนี้”

มาตลีเทพบุตร กราบทูลว่า “เมื่อครั้งเกิดเป็นมนุษย์ สัตว์นรกเหล่านี้ ไม่ประกอบอาชีพอะไร  ไม่มีหลักแหล่ง เป็นคนจรจัด เลี้ยงชีวิตด้วยการลักขโมยสิ่งของคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นข้าวเปลือก  ทรัพย์สิน เงิน ทอง แพะ แกะ กระบือ และสัตว์เลี้ยงอื่น ๆ มาเลี้ยงชีวิตตน ได้ทําบาปกรรมชั่วช้า  จึงถูกฆ่าด้วยหอก นอนดิ้นรนทรมานอยู่”

นรกขุมที่ ๙ นรกทุบตี

มาตลีเทพบุตร ขับราชรถต่อไป พระเจ้าเนมิราช เห็นนายนิรยบาลผูกคอสัตว์นรกพวกหนึ่งไว้ ด้วยเชือกเหล็กร้อนลุกเป็นไฟ แล้วลากดึงมากระชากให้ล้มลงบนแผ่นดินที่มีเปลวไฟลุกไหม้ ตามทุบตี สับ ฟัน ด้วยอาวุธต่าง ๆ จึงตรัสถามว่า “เหล่าสัตว์นรก ถูกนายนิรยบาลผูกคอด้วยเชือกเหล็กที่มีเปลวไฟร้อนแรง ลากดึงมา กระชากให้ล้มลงบนแผ่นดินที่มีเปลวไฟ ลุกไหม้ ทุบตี สับ ฟัน  ด้วยอาวุธต่าง ๆ สัตว์นรกเหล่านี้ ถูกนายนิรยบาลผูกคอไว้ เพราะเหตุอะไร

อีกพวกหนึ่ง  ถูกนายนิรยบาลเฉือนออกเป็นชิ้น ๆ นอนอยู่ สัตว์นรกเหล่านี้ ทําบาปอะไรไว้ จึงถูกเฉือนให้นอน ดิ้นรนทรมานอยู่

มาตลีเทพบุตร กราบทูลว่า “สัตว์นรกเหล่านี้ เมื่อครั้งเกิดเป็นมนุษย์ เคยเป็นเจ้าของโรงฆ่าสัตว์ ได้ฆ่ากระบือ แพะ และแกะ แล้ว วางขายตามท้องตลาด จึงถูกตัดเป็นท่อน ๆ นอนดิ้นรนทรมานอยู่”

นรกขุมที่ ๑๐ นรกอุจจาระปัสสาวะ

มาตลีเทพสารถี ขับราชรถต่อไป ห้วงน้ำเบื้องหน้าเป็นห้วงน้ำอุจจาระและปัสสาวะเหล็กเน่าเหม็น  กลิ่นฟุ้งกระจาย  พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นสัตว์นรกกินอุจจาระและปัสสาวะของตน  จึงตรัสถามมาตลีเทพบุตรว่า “สัตว์นรกเหล่านี้ หิวโหย ไม่อาจอดกลั้นความหิวได้ จึงเคี้ยวกินอุจจาระและปัสสาวะที่เดือดพล่าน ควันฟุ้งลอยอบอวลด้วยเปลวไฟร้อนแรง โหมไหม้ สัตว์นรกเหล่านี้ ทํากรรมอะไรไว้ จึงกินอุจจาระและปัสสาวะของตนเป็นอาหาร”

มาตลีเทพบุตร ทูลว่า “เมื่อครั้งเกิดเป็นมนุษย์ สัตว์นรกเหล่านี้ เป็นอันธพาล เกเร  เกรี้ยวกราด โวยวาย สร้างความเดือดร้อนให้แก่สังคม เบียดเบียนเพื่อนบ้าน มิตรสหาย ให้ได้รับความลําบากอยู่ตลอด จึงต้องเกิดมากินอุจจาระและปัสสาวะของตน”

นรกขุมที่ ๑๑ นรกน้ำเลือดน้ำหนอง

มาตลีเทพบุตร ขับราชรถผ่านไปทางนรกอื่นอีก ห้วงน้ำใหญ่เบื้องหน้า เต็มไปด้วยน้ำเลือดและน้ำหนอง เน่าเหม็นขื่นคาวกลิ่นฟุ้งกระจาย พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นสัตว์นรกเหล่านี้ถูกความหิวแผดเผา ไม่สามารถอดกลั้นความหิวได้ จึงดื่มกินน้ำเลือดและน้ำหนองสกปรก ได้ตรัสถามว่า “สายน้ำนี้ เต็มไปด้วยน้ำเลือดและน้ำหนอง มีกลิ่นเหม็น ไม่สะอาด เน่าฟุ้ง สัตว์นรก ถูกไฟนรก แผดเผา เร่าร้อน หิวกระหาย จึงดื่มกินน้ำเลือดและน้ำหนองจากห้วงน้ำนั้น สัตว์นรกเหล่านี้ ได้ทําบาปอะไรไว้ จึงดื่มกินน้ำเลือดและน้ำหนองเป็นอาหาร”

มาตลีเทพสารถี กราบทูลว่า “เมื่อครั้งเกิดเป็นมนุษย์ สัตว์นรกเหล่านี้ ทํากรรมหยาบช้า  ได้ฆ่าบิดามารดา และพระอรหันต์ ชื่อว่า ต้องปาราชิกในชีวิตคฤหัสถ์ จึงดื่มกินน้ำเลือดและน้ำหนองเป็นอาหาร”

นรกขุมที่ ๑๒ นรกเบ็ด

มาตลีเทพสารถี ขับราชรถต่อไป พระเจ้าเนมิราชเห็นนายนิรยบาลเอาเบ็ดเหล็กโตเท่าต้นตาล  มีเปลวไฟลุกไหม้ เกี่ยวลิ้นสัตว์นรกลากมา กระชากให้ล้มลงบนแผ่นเหล็กร้อน มีเปลวไฟลุกไหม้  จับให้นอนหงาย แล้วเอาตะขอเหล็กสับหนัง เหมือนสับหนังโค สัตว์นรก เหล่านั้น ดิ้นรน กระเสือกกระสนหนี เหมือนปลาดิ้นอยู่บนบก ทนทุกข์ทรมานไม่ได้ จึงร้องไห้ คร่ำครวญ โอดโอยน้ำลายไหลออกมา พระเจ้าเนมิราช ตรัสถามมาตลีเทพบุตรว่า “ดูลิ้นของสัตว์นรกที่ถูกเบ็ดเกี่ยว และถูกแล่หนังแผ่ออก ดิ้นรน กระเสือกกระสน ร้องไห้ น้ำลายไหล เหมือนปลาถูกโยนขึ้นไปบนบก ดิ้นรนอยู่ สัตว์นรกเหล่านี้ ทําบาปกรรมอะไรไว้ จึงกลืนกินเบ็ดนอนดิ้นรนอยู่”

มาตลีเทพบุตร ทูลว่า “เมื่อครั้งเกิดเป็นมนุษย์ เขาอยู่ในตําแหน่งที่มีอํานาจในการตีราคาประกวดประมูลงาน ได้ตีค่าสิ่งของให้น้อยกว่าราคาที่เป็นจริง ทํากรรมด้วยการโก่งราคาสินค้า  เพราะถูกล่อด้วยความโลภในเหยื่อคือทรัพย์ เหมือนคนเสียบเหยื่อล่อปลาให้ติดเบ็ด คนโกง  ถูกกรรมของตนหุ้มห่อไว้ ไม่มีใครสามารถช่วยป้องกันสัตว์นรกจากกรรมที่คดโกงผู้อื่นได้ จึงต้อง                   กลืนกินเบ็ดนอนอยู่”

นรกขุมที่ ๑๓ นรกภูเขาเพลิง

มาตลีเทพบุตร ขับราชรถต่อไป พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นหญิงนรก ซึ่งยืนอยู่ในหลุมถ่านเพลิงใหญ่ ที่มีเปลวไฟลุกโหมโชติช่วง ถูกนายนิรยบาลแทงด้วยอาวุธต่าง ๆ เหมือนคนเลี้ยงโค แทงฝูงโคที่ไม่เข้าคอก นายนิรยบาลจับที่ขาหญิงนรกเหล่านั้น แล้วโยนลงไปในหลุมถ่านเพลิง ด้วยพละกําลังมหาศาล พระเจ้าเนมิราช ตรัสถามว่า “หญิงนรกเหล่านี้  มีร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล น่าเกลียด น่ากลัว มีแมลงวันตอม เปรอะเปื้อนด้วยเลือดและหนอง บางคนไม่มีหัว ยืนประคองแขน ร้องไห้ บางคนจมอยู่ในพื้นถึงเอว ภูเขาไฟกลิ้งมาจากสี่ทิศ บดทับ  หญิงนรกเหล่านั้น แหลกละเอียด ภูเขากลิ้งทับหญิงเหล่านั้น ทั้งที่จมอยู่ในแผ่นดินถึงเอวอย่างนี้ ภูเขาเหล็กลุกโพลงตั้งขึ้นทางทิศตะวันออก กลิ้งมาเสียงดังสนั่นหวั่นไหวคํารามดุจสายฟ้า บดร่างหญิงนรก ให้แหลกละเอียด

“เมื่อภูเขาลูกนั้นกลิ้งไป หยุดอยู่ทางข้างทิศตะวันตก  ร่างของหญิงนรกเหล่านั้น ก็ปรากฏขึ้นอีก แล้วภูเขาไฟ ก็เคลื่อนเข้ามาบดทับอีก หญิงนรกเหล่านั้น ทนทุกข์ทรมานไม่ได้ จึงประคองแขนร้องไห้ อย่างน่าเวทนา ภูเขาสองลูก ปรากฏขึ้น บดร่างของหญิงนรกเหล่านั้น เลือดไหลออก เหมือนหีบอ้อย บางครั้งภูเขาปรากฏสามลูก บางครั้งสี่ลูก  บดขยี้ร่างของหญิงนรกเหล่านั้น หญิงนรกเหล่านั้นทําบาปกรรมอะไรไว้ จึงต้องมาจมอยู่ในภูเขาไฟนี้

มาตลีเทพสารถี กราบทูลว่า “เมื่อครั้งเกิดเป็นมนุษย์ หญิงนรกเหล่านั้น เป็นสตรีไม่ทําหน้าที่การงานอะไร ประพฤติตัวไม่ดี เป็นหญิงนักเลง นอกใจสามี มีจิตยินดีในชายอื่น คบหาชายอื่นเพราะราคะ  จึงถูกภูเขาไฟลุกโพลงกลิ้งมาจากทิศทั้งสี่ บดขยี้ให้แหลกละเอียด”

นรกขุมที่ ๑๔ นรกหลุมเพลิง

มาตลีเทพบุตร ขับราชรถต่อไป  พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นสัตว์นรกนั้น  ยืนร้องโอดครวญอยู่ในบ่อใหญ่ เต็มไปด้วยถ่านเพลิง โหมไหม้ สัตว์นรกเหล่านั้น ถูกนายนิรยบาลไล่ต้อน  แทงด้วยอาวุธต่าง ๆ ให้ตกลงไปในหลุมถ่านเพลิง เหมือนนายโคบาลต้อนแทงฝูงโคที่ไม่เข้าคอก   ต่อจากนั้น นายนิรยบาล จับขาสัตว์นรกเหล่านั้น โยนลงไปในหลุมเพลิงใหญ่ จึงตรัสถามถึงสาเหตุนายนิรยบาลทั้งหลาย จับสัตว์นรกเหล่านี้โยนลงไปในนรก

มาตลีเทพสารถี กราบทูลพระราชาว่า “เมื่อครั้งเกิดเป็นมนุษย์ เขาได้ทํากรรมชั่ว เป็นชู้กับภรรยาของชายอื่น  จึงมาตกนรก รับทุกข์ทรมานในนรกยาวนาน ไม่มีใครสามารถป้องกันกรรมของเขาได้”

นรกขุมที่ ๑๕ นรกหมกไหม้

ครั้นมาตลีเทพบุตร กราบทูลอย่างนี้แล้ว ได้ขับราชรถต่อไปข้างหน้า พระเจ้าเนมิราชได้ทอดพระเนตรเห็นสัตว์นรกที่หมกไหม้ในหลุมถ่านเพลิงขนาดใหญ่ สัตว์นรกเหล่านั้น มีรูปร่างหน้าตาพิลึกแตกต่างกันไป พระเจ้าเนมิราช ตรัสถามถึงสัตว์นรกที่มีรูปร่างพิลึกต่าง ๆ ประสบทุกข์ทรมาน แสนสาหัสอย่างยิ่งเช่นนี้

มาตลีเทพบุตร กราบทูลให้ทราบว่า “เมื่อครั้งเกิดเป็นมนุษย์ สัตว์นรกเหล่านี้ เป็นพวกมิจฉาทิฏฐิ ทํากรรมที่เกิดจากความเห็นผิด ยังชักชวนผู้อื่นให้เห็นผิดเช่นนั้นด้วย เพราะสัตว์นรกเหล่านั้น เป็นผู้มีมิจฉาทิฏฐิ จึงต้องเสวยทุกขเวทนาอันกล้าแข็ง เผ็ดร้อน ประมาณยิ่งอยู่อย่างนี้”

ขณะที่มาตลีเทพสารถีกําลังกราบทูลถึงนรกหมกไหม้ ก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่หมู่เทวดาในเทวโลกนั่งประชุมกันในเทวสภาชื่อ “สุธรรมา” ต่างรอคอยการเสด็จมาของพระเจ้าเนมิราช

ท้าวสักกเทวราชทรงใคร่ครวญดูว่า ทําไม มาตลีเทพบุตรจึงได้ชักช้านัก ก็ทราบว่า  มาตลีเทพบุตรกําลังนําพระเจ้าเนมิราชเที่ยวชมนรก เพื่อแสดงความเป็นทูตพิเศษของตน

ท้าวสักกะ ทรงหวั่นเกรงว่า อายุของพระเจ้าเนมิราช มีอยู่น้อยนิดมาก  หากเทียบกับเวลาในสวรรค์จะหมดสิ้นไป  ก่อนที่มาตลีเทพบุตรจะนําพระเจ้าเนมิราชชมนรกได้ครบ ทุกแห่ง  ครั้นทรงดําริดังนี้แล้ว จึงส่งเทพบุตรตนหนึ่ง ซึ่งมีความเร็วมาก ไปแจ้งให้มาตลีเทพบุตรรีบเชิญเสด็จพระเจ้าเนมิราชมาโดยเร็ว มาตลีเทพบุตรทราบแล้ว จึงแสดงนรกทั้งหมด ให้ปรากฏพร้อมกันทีเดียว ทั้ง ๔ ทิศ

๒ เนื่องจากอายุของมนุษย์ในโลก สั้นมาก เมื่อเทียบกับอายุของนรกและสวรรค์ ๑๐๐ ปี ในเมืองมนุษย์ เป็น ๑ วัน  ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ท้าวสักกะ ทราบความข้อนี้ จึงเกรงว่า หากมาตลีเทพบุตร มัวนําพระเจ้าเนมิราช เที่ยวดูนรกชักช้าอยู่  ก็จะทําให้พระเจ้าเนมิราช หมดอายุในโลกมนุษย์ ไม่สามารถกลับไปโลกมนุษย์ได้อีก

ท่องแดนสวรรค์

เมื่อมาตลีเทพบุตร ได้นําเสด็จพระเจ้าเนมิราชชมนรกทั้งหมด ครั้นแล้ว จึงรีบนําเสด็จขึ้นไปวิมานของท้าวสักกเทวราช ตามคําเร่งเร้าของเทพบุตรตนนั้น

วิมานแก้วมณี ๕ ยอด

มาตลีเทพบุตรขับราชรถมุ่งตรงไปยังเทวโลกอย่างรีบเร่ง พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตร  เห็นวิมานของเทพธิดานามว่า “พีรณี” มียอด ๕ ยอด ล้วนทําด้วยแก้วมณี มีขนาดใหญ่ถึง ๑๒ โยชน์ ประดับตกแต่งอย่างงดงาม มีอุทยานและสระโบกขรณีน่ารื่นรมย์ มีต้นกัลปพฤกษ์ล้อมรอบ  พระองค์ทอดพระเนตรเห็นเทพธิดานั่งอยู่ภายในปราสาท  แวดล้อมด้วยหมู่เทพอัปสรพันนาง  เปิดหน้าต่างแก้วมณีมองดูภายนอก จึงตรัสถามมาตลีเทพบุตรว่า “เทพธิดานั้น ทําบุญอะไรไว้  จึงได้มาเกิดในสวรรค์ เพลิดเพลินอยู่ในวิมาน”

มาตลีเทพบุตร กราบทูลพระราชาว่า “เทพธิดา ที่พระองค์ทรงหมายถึงนั้น ชื่อ “พีรณี”  เมื่อครั้งเกิดเป็นมนุษย์ เป็นนางทาสในเรือนของพราหมณ์คนหนึ่ง นางรู้ว่า ผู้ที่มาเป็นแขกในเรือนของนาย คือ พระภิกษุ จึงนิมนต์ให้นั่ง มีความยินดีที่ได้เห็นพระภิกษุนั้น เหมือนมารดาเห็นบุตรผู้จากไปนาน  ได้มีโอกาสกลับบ้าน นางดูแลพระภิกษุนั้น ด้วยความเคารพ บางครั้งได้ถวายสิ่งของ   ของตน แม้เล็กน้อย เป็นผู้สํารวมระวัง คอยจัดแจงทาน จึงมาบันเทิงอยู่ในวิมานนี้

คราวนั้น เป็นยุคสมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ พราหมณ์ผู้เป็นนาย  ต้องการถวายสลากภัตแด่พระภิกษุสงฆ์ จึงสั่งภรรยาให้ช่วยจัดเตรียมสลากภัต ๘ ที่ แต่ละที่ ให้มีราคา ๑ กหาปณะ สําหรับพระภิกษุแต่ละรูป แต่ภรรยาตลอดจนบุตรธิดา ต่างก็ปฏิเสธ ไม่ยอมจัดเตรียม พราหมณ์จึงถามสาวใช้ว่า ทําได้หรือไม่ นางรับว่า ทําได้ แล้ว จัดแจงข้าวต้ม ของขบเคี้ยว และภัตตาหาร เป็นต้น ด้วยความเคารพ ได้ทันเวลาที่พระภิกษุมาถึง นิมนต์ให้นั่งบนอาสนะที่ปูเตรียมไว้ เอาดอกไม้สดมาประดับตกแต่งไว้หน้าบ้าน สาวใช้นั้น เพลิดเพลินยินดีตลอดเวลาที่ได้จัดเตรียมของถวาย ดูแลพระภิกษุด้วยความเคารพ ได้ถวายอะไร ๆ ซึ่งเป็นของของตน  ด้วยผลบุญนั้น จึงได้มาเกิดบนสวรรค์

วิมานทองทั้ง ๗

ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว มาตลีเทพสารถี ได้ขับราชรถผ่านไปทางวิมานทองทั้ง ๗ ของเทพบุตร  ชื่อ “โสณทินนะ” พระเจ้าเนมิราช ทอดพระเนตรเห็นวิมานและสิริสมบัติของโสณทินนเทพบุตรนั้น  จึงตรัสถามถึงบุญกุศลที่เทพบุตรนั้นได้ทําไว้

มาตลีเทพสารถี กราบทูลว่า “เทพบุตรนี้ เป็นคหบดี ชื่อ โสณทินนะ บริจาคเงินสร้างวิหาร  ทั้ง ๗ หลัง ถวายพระภิกษุสงฆ์ ได้ปฏิบัติบํารุงพระภิกษุสงฆ์ด้วยความเคารพ ทั้งถวายผ้านุ่ง ผ้าห่ม  ภัตตาหาร เสนาสนะ และเครื่องประทีป รักษาอุโบสถศีล ในวันพระ ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ และ ๘ ค่ำ  สํารวมในศีลตลอดเวลา จึงมาเกิดในสวรรค์ บันเทิงอยู่ในวิมานนี้”

วิมานแก้วผลึก

ครั้นกล่าวถึงกุศลกรรมของโสณทินนเทพบุตร อย่างนี้แล้ว มาตลีเทพบุตร ก็ขับราชรถ ผ่านไปทางวิมานแก้วผลึก วิมานแก้วผลึกนั้น สูง ๒๕ โยชน์ ประกอบด้วยเสาทําด้วยแก้ว ๗  ประการ  หลายร้อยต้น ประดับด้วยยอดหลายร้อยยอด มีกระดิ่งห้อยเป็นแถวรายรอบส่งเสียงดังไพเราะ  มีธงสีทองและสีเงิน โบกสะบัดปลิวไสว มีอุทยานและหมู่ไม้ ดารดาษด้วยบุปผชาตินานาชนิด  ประกอบด้วยสระโบกขรณีน่ายินดี มีป่าที่น่ารื่นรมย์ เต็มไปด้วยเทพอัปสรผู้ชํานาญในการฟ้อนรําขับร้อง และประโคมดนตรี

พระเจ้าเนมิราช ทอดพระเนตรเห็นวิมานแก้วผลึกนั้น มีพระหฤทัยยินดี ตรัสถามถึงบุญกุศลที่เทพอัปสรเหล่านั้นทําไว้ว่า “วิมานอันบุญญานุภาพตกแต่งดีแล้วนี้ เกลื่อนไปด้วยหมู่อัปสร  ผู้ประเสริฐ รุ่งเรืองด้วยปลียอด บริบูรณ์ด้วยข้าวและน้ำ งดงามด้วยการฟ้อนรํา ขับร้อง มีแสงสว่าง ส่องออกมาจากแก้วผลึก เรารู้สึกปลื้มใจที่ได้มาเห็นเทพอัปสรเหล่านี้ ได้ทํากุศลอะไรไว้ จึงได้มาเกิดในวิมานนี้”

มาตลีเทพบุตร กราบทูลว่า “เมื่อครั้งเกิดเป็นมนุษย์ เทพอัปสรเหล่านี้ เป็นผู้มีศีล ชอบให้ทาน มีจิตเลื่อมใส เป็นคนมีสัจจะ ไม่ประมาทในการรักษาอุโบสถศีล เป็นผู้สํารวมระวัง และยินดีในการจัดแจงทาน จึงมาบันเทิงอยู่ในวิมานนี้”

วิมานแก้วต่าง ๆ

จากนั้น มาตลีเทพบุตร ขับราชรถต่อไป แสดงวิมานแก้วมณีต่าง ๆ แด่พระเจ้าเนมิราช  วิมานแก้วเหล่านั้น ประดิษฐานอยู่ในสถานที่ราบเรียบ เปล่งรัศมีดุจภูเขาแก้วมณี กึกก้อง บันลือลั่นด้วยการฟ้อนรํา ขับร้อง และประโคมดนตรี เกลื่อนไปด้วยเทพบุตรเป็นอันมาก  วิมานแก้วผลึกนั้น ประดับด้วยยอดมิใช่น้อย วิมานบางแห่ง ประดับด้วยแก้วไพฑูรย์ บางแห่ง ประดับด้วยทอง มีวนอุทยานปกคลุมไปด้วยบุปผชาตินานาพันธุ์ แวดล้อมไปด้วยแม่น้ำใสสะอาด เจื้อยแจ้วไปด้วยฝูงวิหคส่งเสียงร้อง มีหมู่เทพอัปสรแวดล้อม เป็นสถานที่อยู่ของเทพบุตรผู้มีบุญ

พระเจ้าเนมิราช ทอดพระเนตรเห็นเช่นนั้น จึงตรัสถามถึงกุศลกรรมของเทพบุตรเหล่านั้น  

มาตลีเทพสารถี กราบทูลว่า “เมื่อครั้งเกิดเป็นมนุษย์ เทพบุตรเหล่านี้ เป็นผู้มีศีล ได้ก่อสร้างสวนดอกไม้ บ่อน้ำ สระน้ำ และสะพาน ได้ปฏิบัติพระอรหันต์ ด้วยความเคารพ ได้ถวายจีวร บิณฑบาต ยารักษาโรค และเสนาสนะ แด่ท่านผู้บำเพ็ญตน ด้วยจิตเลื่อมใส ได้รักษาอุโบสถศีลในวันพระ ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ และ ๘ ค่ำ เป็นผู้สํารวมในศีลตลอดเวลา ยินดีในการให้ทาน จึงมาเกิดในสวรรค์ บันเทิงอยู่ในวิมานนี้”

วิมานสาวกพระกัสสปพุทธเจ้า

ในขณะที่มาตลีเทพสารถีนําพระเจ้าเนมิราชชมวิมานบนสวรรค์อยู่นั้น ท้าวสักกเทวราช ดําริว่า มาตลีเทพบุตร ชักช้าเกินไป จึงส่งเทพบุตรผู้ว่องไว ไปเตือนให้ทราบอีก มาตลีเทพบุตร คิดว่า ตนชักช้าไม่ได้แล้ว จึงแสดงวิมานเทพเป็นอันมาก พร้อมกันทีเดียว พระเจ้าเนมิราช ตรัสถามถึงกรรมของเหล่าเทพบุตรผู้เสวยทิพยสมบัติในวิมานนั้น ๆ

มาตลีเทพบุตร กราบทูลให้ทราบว่า “ในกาลก่อน เทพบุตรทั้งหมด เป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีศรัทธาตั้งมั่นในพระสัทธรรม ได้ปฏิบัติตามคําสั่งสอนของพระศาสดา เทพบุตรเหล่านั้น บวชในพระศาสนาของพระกัสสปพุทธเจ้า เป็นผู้มีศีล บริสุทธิ์ บําเพ็ญสมณธรรม  จนได้บรรลุโสดาปัตติผล แต่ไม่สามารถบรรลุธรรมได้เป็นพระอรหันต์ ครั้นสิ้นชีวิตแล้ว ได้มาเกิดในวิมานทองเหล่านี้ สถานที่เหล่านั้น เป็นที่สถิตของสาวกพระกัสสปพุทธเจ้า ขอเชิญพระองค์ทอดพระเนตรเถิด”

ภูเขาสัตตบริภัณฑ์ วิมานท้าวจตุโลกบาล

ครั้นมาตลีเทพบุตร นําพระเจ้าเนมิราช ชมวิมานที่ปรากฏอยู่ในอากาศอย่างนี้แล้ว จึงเสด็จตรงไปยังที่อยู่ของท้าวสักกเทวราช แม้เร่งรีบเช่นนั้น ก็ยังมีความอุตสาหะ อุตส่าห์ชี้ให้พระเจ้าเนมิราช ดูภูเขาสัตตบริภัณฑ์ ซึ่งทอดเทือกโอบล้อมภูเขาสิเนรุ พระเจ้าเนมิราช ประทับอยู่บนยานทิพย์  เทียมด้วยม้าสินธพหนึ่งพันตัว เสด็จไป ทรงเห็นหมู่ภูเขาในระหว่างนทีสีทันดร จึงตรัสถามเทพทูตมาตลี ว่า “ภูเขาเหล่านั้น ชื่ออะไร”

มาตลีเทพบุตร ขับราชรถมุ่งหน้าไป พลางกราบทูลว่า “ภูเขาเหล่านี้ ตั้งเรียงราย เป็นปราการธรรมชาติ ๗ ชั้น คือ ภูเขา “สุทัสสน์” อยู่นอกสุด ถัดจากภูเขาสุทัสสน์นั้นไป  คือ ภูเขา “กรวิก” ภูเขากรวิกนั้น สูงกว่าภูเขาสุทัสสน์ มีทะเลนทีสีทันดร คั่นอยู่ในระหว่าง ภูเขาทั้ง ๒ ลูกนี้ ถัดจาก ภูเขากรวิกเข้ามา คือ ภูเขา “อิสินธร” ภูเขาอิสินธรนั้น สูงกว่าภูเขากรวิก มีทะเลนทีสีทันดร คั่นอยู่ระหว่าง ๒ ภูเขานั้น ถัดจากภูเขาอิสินธร คือ ภูเขา “ยุคันธร” ภูเขายุคันธรนั้น สูงกว่าภูเขาอิสินธร  มีทะเลนทีสีทันดร คั่นอยู่ระหว่างภูเขา ๒ ลูกนั้น ถัดจากภูเขายุคันธร คือ ภูเขา “เนมินธร” ภูเขาเนมินธรนั้น สูงกว่าภูเขายุคันธร มีทะเลนทีสีทันดร คั่นอยู่ระหว่าง ๒ ภูเขานั้น ถัดจากภูเขาเนมินธร คือ  ภูเขา “วินตกะ” ภูเขาวินตกะนั้น สูงกว่าภูเขาเนมินธร มีทะเลนทีสีทันดร คั่นอยู่ระหว่าง ๒ ภูเขานั้น ถัดจากภูเขาวินตกะ คือ ภูเขา “อัสสกัณณะ” ภูเขาอัสสกัณณะนั้น สูงกว่าภูเขาวินตกะ  มีทะเลนทีสีทันดร คั่นอยู่ระหว่าง ๒ ภูเขานั้นเช่นกัน ภูเขาทั้ง ๒ เหล่านั้น สูงขึ้นไปโดยลําดับ  มีทะเลนทีสีทันดร คั่นอยู่ระหว่างภูเขาแต่ละลูก ดุจขั้นบันได ขอเชิญพระองค์ ทอดพระเนตรภูเขาเหล่านี้ ซึ่งเป็นที่อยู่ของท้าวจาตุมหาราช เทวดาผู้รักษาโลก ประจําทิศทั้ง ๔ บางครั้งเรียกว่า  “ท้าวจตุโลกบาล” ท้าวธตรฐประจําทิศตะวันออก ท้าววิรุฬหก ประจําทิศใต้ ท้าววิรูปักษ์ ประจําทิศตะวันตก ท้าวกุเวร ประจําทิศเหนือ”

๓ นทีสีทันดร เป็นแม่น้ำที่ขั้นอยู่ระหว่างภพดาวดึงส์

จิตตกูฏ ประตูสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์

มาตลีเทพบุตร แสดงเทวโลกชั้นจาตุมหาราช แด่พระเจ้าเนมิราชอย่างนี้แล้ว ได้ขับราชรถต่อไป ชี้ให้ดูรูปเหมือนพระอินทร์ ซึ่งประดิษฐานอยู่ที่ซุ้มประตู “จิตตกูฏ” บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์   พระเจ้าเนมิราช ทอดพระเนตรเห็นแล้ว ตรัสถามว่า “ประตูนี้ ชื่ออะไร”

มาตลีเทพสารถี กราบทูลว่า “ประตูนี้ เขาเรียกว่า “จิตตกูฏ” เป็นทางเสด็จเข้าออกของท้าวสักกเทวราช เป็นประตูเทพนคร ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาสิเนรุ สลักเสลาด้วยรูปจิตรกรรมต่าง ๆ  รุ่งเรือง วิจิตร บรรจง ด้วยรูปเหมือนท้าวสักกเทวราช คอยรักษาเทพนคร ประหนึ่งเสือโคร่งรักษาป่า” ครั้นทูลอย่างนี้แล้ว มาตลีเทพสารถี ได้ทูลเชิญเสด็จพระเจ้าเนมิราช เสด็จเข้าสู่เทพนคร

สู่เทวสมาคม

พระเจ้าเนมิราช ประทับอยู่บนยานทิพย์ ทอดพระเนตรเทวสภา ชื่อ “สุธรรมา” ตรัสถาม  มาตลีเทพสารถีว่า สถานที่พระองค์ประทับอยู่นี้ ชื่ออะไร มาตลีเทพสารถี กราบทูลว่า “วิมานนี้  เป็นเทวสภา ชื่อว่า “สุธรรมา” รุ่งเรืองด้วยแก้วไพฑูรย์ งามวิจิตร ถูกเนรมิตขึ้นด้วยบุญญานุภาพ  มีเสา ๘ เหลี่ยม ทําด้วยแก้วไพฑูรย์ทุกต้น เป็นสถานที่เหล่าเทพชั้นดาวดึงส์ทั้งหมด มีพระอินทร์เป็นประมุข มาประชุมกันคิดประโยชน์ของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย

ฝ่ายเทวดาทั้งหลาย นั่งคอยการเสด็จมาของพระเจ้าเนมิราช ครั้นทราบว่า พระเจ้าเนมิราช  เสด็จมาแล้ว ต่างก็ถือของหอม ธูปเทียน เครื่องอบ และดอกไม้ทิพย์ ไปคอยอยู่ที่ทางจะเสด็จเข้ามา  ตั้งแต่ซุ้มประตูจิตตกูฏ บูชาพระโพธิสัตว์ด้วยของหอม และดอกไม้นานาพันธุ์ ห้อมล้อม นําเสด็จเข้าสู่สุธรรมาเทวสภา

พระเจ้าเนมิราช เสด็จลงจากราชรถ เข้าสู่เทวสภา เทวดาทั้งหลายในที่นั้น เชิญเสด็จให้ประทับนั่งบนทิพยอาสน์

๔ รูปเหมือนพระอินทร์นี้ ท้าวสักกะ เนรมิตไว้ เมื่อคราวทําสงครามกับท้าวเวปจิตติ เพื่อเป็นขวัญและกําลังใจให้เทพนักรบ ข้อความดังกล่าว ปรากฏอยู่ใน “ธชัคคสูตร สังยุตตนิกาย สคาถวรรค และอรรถกถา ธชัคคสูตร”

เทวดาทั้งหลาย เห็นพระเจ้าเนมิราชเสด็จมาถึง ต่างก็แซ่ซ้องสาธุการต้อนรับด้วยความยินดี ว่า  “ข้าแต่มหาราชเจ้า พระองค์เสด็จมาดีแล้ว เสด็จมาไกล ก็เหมือนใกล้ พระองค์ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่  ขอเชิญประทับนั่งใกล้กับท้าวสักกเทวราชเถิด”

ส่วนท้าวสักกเทวราช ทรงยินดี กล่าวสรรเสริญพระเจ้าเนมิราช เชิญชวนให้ประทับอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ท่ามกลางหมู่เทวดา ด้วยการอยู่อันเป็นทิพย์

พระเจ้าเนมิราช ตรัสห้ามว่า “สิ่งที่ได้มาเพราะผู้อื่นให้ เปรียบเหมือนยานพาหนะ หรือ เงินทอง ที่ยืมเขามา เราไม่ปรารถนาสิ่งของที่ผู้อื่นให้ บุญทั้งหลายที่เราทําเอง ย่อมเป็นทรัพย์ที่จะติดตามเรา ตลอดไป เราจะกลับไปทํากุศลให้มากในโลกมนุษย์ ด้วยการบริจาคทาน  การประพฤติธรรมสม่ำเสมอ การสํารวมระวัง และการฝึกอินทรีย์ ซึ่งทําไว้แล้ว จะมีความสุข และไม่เดือดร้อนในภายหลัง” พระโพธิสัตว์ ประทับอยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ๗ วัน ตามการนับในโลกมนุษย์ ทรงแสดงธรรมด้วยพระสุรเสียงไพเราะ แก่เทวดาทั้งหลาย ทําให้หมู่เทพ ต่างเกิดความยินดีปรีดา

ครั้นแล้ว ทรงสรรเสริญมาตลีเทพสารถีว่า “มาตลีเทพบุตร มีอุปการะแก่เรามาก ได้นําชมสถานที่อยู่ของทวยเทพ ผู้มีกรรมดี และสถานที่อยู่ของสัตว์นรก ผู้มีกรรมหยาบช้า”

พระเจ้าเนมิราช ปรารถนาจะกลับไปโลกมนุษย์ ท้าวสักกเทวราช จึงรับสั่งมาตลีเทพบุตร ให้นําพระเจ้าเนมิราช เสด็จกลับสู่กรุงมิถิลานคร มาตลีเทพสารถี ได้จัดเตรียมราชรถ รอรับเสด็จกลับ แล้ว ขับไปถึงกรุงมิถิลานครทางทิศใต้

มหาชน เห็นยานทิพย์ ก็ยินดีว่า พระราชาของเรา เสด็จกลับมาแล้ว มาตลีเทพสารถี ทําประทักษิณกรุงมิถิลานคร แล้วนําพระโพธิสัตว์ เสด็จลงที่สีหบัญชรเหมือนเดิม แล้วทูลลากลับวิมาน

ส่วนมหาชน ได้แวดล้อมพระราชา ทูลถามถึงเทวโลกว่า เป็นอย่างไร พระเจ้าเนมิราช  ตรัสเล่าถึงสมบัติของเหล่าเทวดา และสมบัติของท้าวสักกเทวราช ให้ประชาชนฟัง แล้วทรงแสดงธรรมแก่อาณาประชาราษฎร์ว่า “แม้พวกท่านทั้งหลาย จงทําบุญ มีการให้ทาน เป็นต้น ก็จะบังเกิดในเทวโลกเช่นกัน”

ครั้นกาลต่อมา เมื่อนายภูษามาลา กราบทูลให้ทราบว่า มีพระเกศาหงอกแล้ว จึงทรงให้ถอนพระเกศาหงอก ด้วยแหนบทองคำ วางในพระหัตถ์ ทอดพระเนตรเห็นพระเกศาหงอกนั้น แล้ว  ทรงสลดพระทัย ได้พระราชทานบ้านส่วย แก่นายภูษามาลา มีพระราชประสงค์จะทรงผนวชจึงมอบราชสมบัติ แก่พระราชโอรส

พระราชโอรส ทูลถามว่า “พระองค์จะทรงผนวช เพราะเหตุไร” พระเจ้าเนมิราช จึงตรัสบอกเหตุผล เหมือนพระราชาพระองค์ก่อน ๆ ทรงผนวชแล้ว ประทับอยู่ ณ พระราชอุทยานอัมพวันนั้น  นั่นเอง เจริญพรหมวิหาร ๔ จนได้บรรลุฌาน มีฌานไม่เสื่อม ได้ไปบังเกิดในพรหมโลก

กลับชาติมาเกิดสมัยพุทธกาล

ครั้นพระพุทธองค์ ตรัสเล่าเรื่องในอดีตชาติของพระองค์ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังแล้ว ได้ตรัสสรุปว่า

“ภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่ตถาคต ออกมหาภิเนษกรมณ์ แม้ในอดีตชาติ ตถาคต ก็ออกมหาภิเนษกรมณ์เหมือนกัน” ครั้นตรัสดังนี้แล้ว ทรงแสดงอริยสัจ ๔ ประชุมสรุป ชาดกว่า“ท้าวสักกเทวราชในครั้งนั้น กลับชาติมาเกิดเป็นภิกษุ ชื่อ “อนุรุทธะ” ในชาตินี้  มาตลีเทพสารถี กลับชาติมาเกิดเป็นภิกษุ ชื่อ “อานนท์” กษัตริย์ ๘๔,๐๐๐ องค์ เป็นพุทธบริษัท  ส่วนพระเจ้าเนมิราช  คือ เราผู้สัมมาสัมพุทธเจ้านี่เอง”

“ทศชาติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เปลี่ยนแปลง” ฉบับ ญาณวชิระ : ชาติที่ ๔. พระเนมิราช พระมหากษัตริย์ผู้ทรงธรรม

https://podcasts.apple.com/dk/podcast/%E0%B8%AB%E0%B8%99-%E0%B8%87%E0%B8%AA-%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%AA-%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95-%E0%B8%9B%E0%B8%93-%E0%B8%98%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%9A-%E0%B8%A3-%E0%B8%A9%E0%B9%84%E0%B8%A1-%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A5-%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%87-%E0%B8%89%E0%B8%9A-%E0%B8%9A-%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%A7%E0%B8%8A-%E0%B8%A3%E0%B8%B0-%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%97-4/id1480673036?i=1000581755394

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here