จากปลายปากกาอันอบอุ่น สู่หลักธรรมในชีวิตอันงดงาม
ทรัพย์ที่แท้จริง ไม่ว่าเกิดภพชาติใด ก็จะตามไปช่วยเหลือเกื้อกูลไม่ให้ลำบาก
จดหมายธรรม ที่สร้างแรงบันดาลใจ ให้เกิดความรัก ความศรัทธา แห่งความกตัญญู
“หลักการทำบุญและปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน”
เขียนโดย พระราชกิจจาภรณ์ (เทอด ญาณวชิโร)
จดหมายถึงโยมแม่ใหญ่ (ฉบับที่ ๔)
(ตอนที่ ๓ ) “โลกของสรรพสัตว์ทั้งสามตามคติทางพระพุทธศาสนา
(ตอนที่ ๑) “สัตว์โลกและการท่องเที่ยวไปในโลกเบื้องต่ำ ”
สัตว์โลกนับว่าเป็นโลกเบื้องต่ำ เป็นภพภูมิของสัตว์ที่มืดบอดทางด้านจิต ไม่มีปัญญาไม่มีเมตตา ดำเนินชีวิตด้วยสัญชาตญาณ เมื่อหิวก็เข่นฆ่ายื้อแย่ง เมื่ออิ่มก็นอน ผู้ที่ไม่มีศีล ๕ ซึ่งเป็นลักษณะจิตของมนุษย์ มักจะเกิดและท่องเที่ยวไปในภพภูมิเบื้องต่ำนี้
ภพภูมิเบื้องต่ำ ประกอบด้วย ๔ ภูมิ คือ
๑. ติรัจฉานภูมิ โลกของสัตว์เดรัจฉาน
๒. เปตติวิสยภูมิ โลกของเปรต
๓. อสุรกายภูมิ โลกของอสูรกาย
๔. นิรยภูมิ โลกของสัตว์นรก
ทั้ง ๔ ภูมินี้ พระพุทธองค์สอนให้หลีกเลี่ยง เพราะเป็นภูมิที่มืดมน มืดเพราะไม่มีกำลังสติปัญญา ที่จะคิดอ่านทำบุญทำกุศล มีโอกาสทำความดีได้น้อย แต่มีโอกาสทำบาปทุกลมหายใจ เมื่อไปเกิดในภพภูมิชั้นต่ำแล้ว การจะพ้นเป็นเรื่องยาก เพราะความที่ภพชาติปกปิดไว้ไม่ให้คิดที่จะพ้นไปจากภพชาตินั้น
จะยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ เช่น เกิดเป็นเสือ การที่เสือจะงดเว้นจากการล่าเนื้อเป็นอาหาร เพื่อที่จะพ้นจากการเป็นเสือในภพชาติต่อไปเป็นเรื่องยาก ส่งผลให้เกิดเป็นสัตว์ เดรัจฉาน ก็จะเป็นสัตว์เดรัจฉานต่อไปอีกหลายร้อยชาติ จนกว่าจะพ้นจากกรรม คือ จนกว่าการยึดติด (หลง) ในภพชาติสัตว์จะเบาบางลง จึงจะเปลี่ยนภพชาติใหม่ไปเกิดเป็นสิ่งอื่นตามกำลังบุญกุศล
เราคงเคยได้ยินได้ฟังพระสงฆ์เทศน์ว่า คนทำกรรมอย่างนั้นๆ ตายแล้วจะไปเกิดเป็นหมู หมา กา ไก่ เท่านั้นชาติ เท่านี้ชาติ เมื่อก่อนคิดไม่ได้ว่า ทำไมเกิดเป็นไก่แล้วต้องเกิดเป็นไก่ซ้ำอีก ครั้งแล้วครั้งเล่า บัดนี้เริ่มเข้าใจคำว่า “อุปาทาน” การยึดติดมากขึ้นเพราะอาศัยกรรมและการหลงยึดติดในภพชาติดังกล่าว จึงนำไปสู่การเกิดเป็นสัตว์ชนิดนั้นๆ บ่อยๆ
พอจะกล่าวให้เห็นเป็นตัวอย่างได้ว่า ผู้ที่เกิดเป็นคนก็ไม่มีใครอยากตายจากความเป็นคน เกิดเป็นสุนัขก็ไม่มีสุนัขตัวไหนอยากตายจากความเป็นสุนัข โดยที่สุดแม้สัตว์ตัวเล็กตัวน้อยอย่างมด ปลวก ยุง หรือ แมลงวันก็ไม่อยากตายจากชาติมด ชาติปลวก ชาติยุง และชาติแมลงวัน เช่น เราจะตียุงมันก็บินหนี ที่บินหนีก็เพราะมันกลัวว่าจะตายจากความเป็นยุง เกิดชาติหน้ามันก็เป็นยุงอีก เพราะอุปาทาน คือ การหลงยึดติดคิดไปว่าชาติยุงดี
คนเราก็เหมือนกัน ที่เราเกิดเป็นคน ชาติแล้วชาติเล่า เวียนว่ายตายเกิดอยู่เช่นนี้ก็อาศัยการที่เรามีอุปาทานหลงยึดติดไปว่า ชาติคนดีเลิศประเสริฐ จึงไม่อยากตายจากความเป็นคน ที่เราต้องดิ้นรนขวนขวายจนสายตัวแทบขาด ก็เพราะกลัวจะตายจากความเป็นชาติคน
หรือแม้กระทั่งสัตว์ทั้งหลาย เช่น หมา กา ไก่ เป็นต้น ที่มันไม่ยอมอดตายก็เพราะมันกลัวจะตายจากความเป็นชาติหมา เนื่องจากหลงคิดว่าชาติหมาดีนั่นเอง
หากไม่มีบุญหรือกรรมอย่างอื่นมาตัดรอนขัดขวางก็จะทำให้กลับชาติมาเกิดเป็นชาติคนหรือชาติหมาเหมือนเดิม
อย่างนี้เรียกว่า มีความมืดบอด คือ มีอวิชชาความไม่รู้ ปกปิดสติปัญญาไว้ เกิดอุปาทานการยึดติด ไม่ให้คิดหาทางออกไปจากความเป็นมด ความเป็นปลวก ความเป็นสุนัขความเป็นคน ความเป็นเทวดา หรือแม้กระทั่งจากความเป็นพรหม
มนุษย์โลก โลกของความเป็นมนุษย์
มนุษย์โลกเป็นภพภูมิชั้นกลางที่สัตว์ท่องเที่ยวเวียนเกิด เป็นภพภูมิของผู้ที่บำเพ็ญบุญกุศล คือ ให้ทาน รักษาศีล บำเพ็ญสมาธิภาวนาตามสมควรแก่ฐานะ สำหรับมนุษย์โลกคง ไม่ต้องกล่าวให้กว้างขวางออกไป เพราะเรารู้กันดีอยู่แล้วว่า เป็นอย่างไร
ในที่นี้จะขอกล่าวแต่เพียงที่ท่านจำแนกมนุษย์ไว้เป็น ๔ ประเภท คือ
๑. มนุษย์นรก จำพวกคนที่มีความเป็นอยู่ทุกข์ทรมาน คนทั่วไปอยู่บ้านอยู่เรือน แต่เขากลับถูกจองจำ ติดคุกติดตาราง ถูกลงโทษทรมานแสนสาหัส
๒. มนุษย์เปรต จำพวกคนที่เป็นอยู่ลำบากอัตคัดขัดสน แสวงหาข้าวปลาอาหาร กว่าจะได้มาพอประทังชีวิต ก็แสนจะลำบากฝืดเคือง ขยันหาจนสายตัวแทบขาด ก็ไม่พออยู่ พอกิน มีแต่ความอดอยากยากแค้น
๓. มนุษย์เดรัจฉาน จำพวกคนที่ต้องอาศัยคนอื่นจึงจะดำรงชีวิตอยู่ได้ ไม่มีสติปัญญาพอที่จะคิดทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยตนเองในการประกอบอาชีพ ก็สุดแท้แต่ว่า เขาจะให้ทำอะไร จะชอบใจหรือไม่ชอบใจ ก็ต้องก้มหน้าทำไป เหมือนหมู หมา กา ไก่ วัว ควาย บางครั้งบางคราวก็ดุร้ายเหมือนสัตว์เดรัจฉาน
๔. มนุษย์ภูต เป็นมนุษย์จำพวกที่เป็นคนจริงๆ รู้จักบาปบุญคุณโทษ รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรควรทำไม่ควรทำ มีสติปัญญาในการประกอบอาชีพ
“ความแตกต่างของมนุษย์ขึ้นอยู่กับบุญและกรรมของแต่ละบุคคล”
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
จดหมายถึงโยมแม่ใหญ่ ฉบับที่ ๔ (ตอนที่ ๓) “โลกของสรรพสัตว์ทั้งสามตามคติทางพระพุทธศาสนา” จาก ธรรมนิพนธ์เรื่อง “หลักการทำบุญและปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน” เขียนโดย พระราชกิจจาภรณ์ (เทอด ญาณวชิโร)