สุขใจที่ได้รอ : พระพิทยา ฐานิสสโร เขียน

0
947

สุขใจที่ได้รอ

พระพิทยา ฐานิสสโร

สุขใจที่ได้รอ : พระพิทยา ฐานิสสโร
สุขใจที่ได้รอ : พระพิทยา ฐานิสสโร

สุขใจที่ได้รอ โดย พระพิทยา ฐานิสสโร

กลุ่มวัยรุ่นอิตาเลียนขอร้องให้ไปเยี่ยมพวกเขาที่ Domodossola ประเทศอิตาลี เพราะพวกเขามีเรื่องจะปรึกษา ซึ่งต้องนั่งรถไฟจากวัดที่อยู่ คานเดอร์สเตก สวิตเซอร์แลนด์ประมาณ ๑ ชั่วโมง นัดเจอกันที่จัตุรัสกลางเมืองเวลาบ่าย ๒ โมง ออกจากวัดประมาณเที่ยงครึ่ง พอไปถึงที่นัดหมายประมาณบ่าย ๒ โมงห้านาที ไม่มีใครแม้แต่คนเดียว นั่งรออยู่ที่บริเวณนั้นประมาณ ๑ ชั่วโมงครึ่ง ก็ไม่มีใครปรากฎ ตัดสินใจเดินไปที่โบสถ์บนเขา ไปนั่งสมาธิ เดินภาวนารวมแล้วประมาณ ๓ ชั่วโมง หลังจากนั้นจึงเดินทางกลับวัด

ระหว่างที่เดินจากสถานีรถไฟคานเดอร์สเตกเพื่อไปวัด ก็ถอดหมวกไหมพรมเพื่อใส่ในย่ามแต่หมวกหล่นพื้นโดยไม่รู้ รถยนต์ที่ขับรถผ่านไปไม่นานเวียนกลับมา พร้อมหมวกไหมพรม จึงรับหมวกและกล่าวขอบคุณ ชายหนุ่มสวิสต์ที่นำหมวกมาให้ขับรถไปข้างหน้าเพื่อกลับรถอีกครั้ง เมื่อถึงวัด เปิดดูข้อความที่ได้รับตอนเวลาเที่ยงห้าสิบจากคอมพิวเตอร์ว่า วันนี้พวกเรามีนัดเรียนกะทันหัน ต้องขอโทษด้วย ไว้นัดกันวันหลัง ขอบคุณ

ทุกช่วงเวลาของชีวิตล้วนมีคุณค่า มีความสำคัญ และเป็นเวลาที่ดีที่สุดเมื่อเราสามารถดำรง ณ ปัจจุบันขณะอย่างปล่อยวาง

หลายครั้งที่เรื่องราว เหตุการณ์ สถานการณ์ในชีวิตไม่เป็นไปตามแผน ตามกำหนดการ ตามความคาดหวังแม้เราทำหน้าที่ในส่วนของเราดีที่สุดแล้ว โดยที่คนส่วนใหญ่จะเป็นทุกข์ กระวนกระวาย ไม่พอใจ โกรธ เมื่อเหตุการณ์ไม่เป็นไปตามแผน ตามความคาดหวัง ทำให้เขาเหล่านั้นสูญเสียช่วงเวลาที่ดี ที่สำคัญ ที่มีคุณค่าแห่งชีวิตไปแบบไม่รู้ตัว และมีคนอีกจำนวนไม่น้อย ไม่ยอมจบทั้งที่เหตุการณ์เรื่องราวนั้นได้จบไปแล้ว โดยการยกเรื่องราวเหตุการณ์นั้นมาพูด ตัดพ้อ น้อยเนื้อต่ำใจหรือทวงบุญคุณ โทษบุคคลหรือสิ่งแวดล้อมที่ทำให้ตนพลาด ไม่ได้ดังที่หวัง ผิดสัญญา ผิดนัดหรือไม่เป็นไปตามแผนที่กำหนดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้อดีตที่เป็นทุกข์กลายมาเป็นปัจจุบันที่ต้องทุกข์ซ้ำซาก

travel with emptiness by พระพิทยา ฐานิสสโร
travel with emptiness by พระพิทยา ฐานิสสโร

           เมื่อใดก็ตามที่เราเอาความเห็นของตัวเองเป็นใหญ่ และยึดติดในความเห็นตน ขณะนั้นเราสูญเสียความเมตตาต่อตนเอง จิตใจเราจะคับแคบและไม่มีเหตุผล ทำให้เป็นคนที่หงุดหงิด เป็นทุกข์ได้ง่าย เพราะเมื่อเป็นเช่นนั้นเราส่วนใหญ่จะด่วนสรุปโทษสิ่งหรือบุคคลภายนอกทันทีเมื่อมีเรื่องราวหรือสถานการณ์ไม่เป็นดังตั้งใจ อย่างที่หวังไว้ โดยที่เรายังไม่รู้ต้นสายปลายเหตุที่แท้จริง และอาจมีการปรุงแต่งความเห็นผิดเพิ่มด้วยการคิดว่า ตนเองถูก ตนเองตั้งใจเสียสละ ทำทุกอย่างๆ ดีที่สุด แต่คนอื่นไม่ให้ค่า เห็นความสำคัญหรือไม่รับผิดชอบ เป็นเหตุให้โอกาสแห่งการเรียนรู้ เติบโตภายในของเขาเหล่านั้นมีน้อยและเป็นเรื่องยาก

เงื่อนไข ปัจจัยภายนอกที่อยู่เหนือการควบคุมสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ แม้เราไม่ต้องการให้เกิดขึ้นก็ตาม ผู้มีปัญญาทั้งหลาย จึงพร้อมเสมอกับการพลัดพรากแบบมีชีวิตและไม่มีชีวิต พร้อมต่อการสูญเสียในทุกรูปแบบ ฝึกจิตตนให้รับรู้ทุกสิ่ง ทุกอย่างที่ประสบด้วยใจเป็นกลาง ไม่หลงยินดี เพลิดเพลินกับสิ่งล่อให้เกิดความรัก ความพอใจ ทำหน้าที่ในทุกปัจจุบันขณะให้ดีที่สุด และปล่อยวางอย่างเป็นปรกติหลังจากทำหน้าที่เหล่านั้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว

เมื่อที่จิตฝึกฝนได้เช่นนั้น เราจะไม่ประสบกับโชคร้ายใดๆ ในชีวิตเลย เราจะไม่พบเจอคนที่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ผลประโยชน์ตน ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ หรือแม้แต่จะพบพานคนที่ไม่รับผิดชอบก็ไม่มี เพราะทุกสรรพชีวิตให้โอกาสเราได้ทำทุกหน้าที่อย่างดีที่สุดด้วยความปล่อยวาง แต่อาจดูโง่ในสายตาของผู้ที่ยังยึดมั่น ถือมั่นในความเห็นตนและมีความอยากอยู่มาก

ดังนั้น…ถ้าเรายังทุกข์ใจ หรือไม่สบายใจอยู่ เพราะยังเห็นว่ามีแต่คนเอารัดเอาเปรียบเรา ไม่สามารถปล่อยวางได้ทั้งหมด จงอย่าโทษตัวเอง แต่มองให้เห็นและยอมรับความจริงว่า เราเองที่ยังอยาก ยังมีความต้องการ ยังคาดหวัง มีเงื่อนไขในแบบของเรา และเมื่อไม่ได้ตอบสนองในความอยาก ความต้องการ ไม่ได้ดังหวังนั้น เราจึงทุกข์ เพียงเพราะเขาเหล่านั้นแสดงสิ่งที่ไม่ดี ไม่ถูกต้องให้เราดูและเราก็ตกเป็นเหยื่อ ด้วยความเห็นผิด คิดผิด และอาจกระทำผิดอย่างเขาด้วยการแก่งแย่ง หรือ หาความถูกต้องในความเห็นผิดคิดว่า จะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ (ตามที่ใจเราต้องการ) ความทุกข์ก็จะไม่จบสิ้น ความเหนื่อยใจ เดือดร้อนใจจึงยังคงมีอยู่

           จิตใจที่ไม่ฝึกอยู่กับปัจจุบันขณะอย่างแท้จริงจะหวั่นไหว และเปลี่ยนไปตามสิ่งที่มากระทบเสมอ ถ้าสิ่งที่มากระทบ รับรู้ในทางที่ดีก็จะตื่นเต้น หลง เพลิน ติดใจอยากให้สิ่งนั้น บุคคลนั้นอยู่นานๆ แต่เมื่อสิ่งที่กระทบ รับรู้ในทางที่ไม่ดี พบเจอกับการจากพรากไปก็จะเสียใจ ฟูมฟาย คร่ำครวญ ซึ่งจะประทับอยู่ที่จิตใจนานกว่า ยาวกว่าสิ่งที่ทำให้สุขใจ เพราะใจไม่ยอมรับความเป็นจริง ใจจึงรังเกียจ ผลักใส ไม่อยากอยู่ในสิ่งแวดล้อมเช่นนั้น เพราะความคิดเก่าๆ จะวนเวียนมา ทำให้เป็นทุกข์ใจอย่างที่สุด

แต่…จิตใจที่มีการระลึกรู้ รู้สึกตัวเสมอไม่ว่าเกิดสิ่งใดๆ ในชีวิต จะเป็นจิตใจที่สงบปลอดภัย ไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นจะดีหรือร้าย เพราะจิตที่ปกติ จะมองเห็นอารมณ์ ความรู้สึกตามความเป็นจริง สามารถมอง รับรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นอย่างที่เป็น ไม่ปรุงแต่งให้เกิดความพอใจ หรือไม่พอใจ และยังสามารถทำหน้าที่อยู่ตรงนั้นอย่างดีที่สุด เหตุปัจจัยเกิดเช่นไรก็ยอมรับเช่นนั้น ไม่เหนื่อย ไม่ท้อในการทำหน้าที่ แม้ผลอาจไม่เป็นตามที่ตั้งใจไว้ เพราะด้วยเงื่อนไข ปัจจัยภายนอกที่ไม่พร้อม ก็ไม่โวยวาย เมื่อทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่คิดหวัง

travel with emptiness by พระพิทยา ฐานิสสโร
travel with emptiness by พระพิทยา ฐานิสสโร

เมื่อเราใคร่ครวญ พิจารณาสิ่งที่เราเคยกระทำมา หรือกำลังกระทำอยู่ ล้วนแล้วแต่ส่งผลต่อชีวิตเราทั้งสิ้น ทั้งดี ไม่ดี และเป็นกลางๆ รวมถึงบุคคล สิ่งแวดล้อมที่ประสบ เกี่ยงข้องก็เช่นเดียวกัน โดยที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ถ้าเราสามารถเตรียมใจ พร้อมยอมรับได้ทั้งหมด ชีวิตที่มีอยู่จะพร้อมทำหน้าที่อย่างถูกต้อง เบิกบาน สงบเย็น แต่ถ้ายังทำใจไม่ได้ เราจะใช้โอกาสเหล่านั้นพิจารณาไตร่ตรองใคร่ครวญ ด้วยหลักแห่งทาน ศีล ภาวนา และเมตตาทั้งต่อตนเอง และผู้อื่น พร้อมให้อภัยกับความไม่มั่นคงของจิตใจเราเอง ให้อภัยในความหลงยึดติด ให้อภัยในความไมรู้ของเรา  เมื่อเราให้อภัยตัวเราเองได้ ก็สามารถให้อภัยคนอื่นได้ สัจธรรมแห่งความจริงก็จะปรากฏในจิตใจเราอย่างปล่อยวาง  ยอมรับในความเปลี่ยนแปลง เห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ในที่สุด ไม่มีสิ่งใด บุคคลไหนที่เที่ยงแท้ ยั่งยืน ทุกอย่างที่ปรากฎล้วนเป็นไปตามเงื่อนไข เหตุปัจจัย เพียงเราฝึกจิตใจให้มี “สติ”

“สติ” จะทำให้เราเห็นความคิด เห็นอารมณ์ เห็นการปรุงแต่งจนเกิดความพอใจ และความไม่พอใจ เมื่อเห็น เราก็เป็นอิสระจากตัวตน ของตนด้วยจิตที่เบิกบาน

เรื่องร้ายๆ จะกลายเป็นดี ทุกที่ๆ ปล่อยวาง  

ไม่มีใครเห็นแก่ตัว เมื่อไร้ตัว ไร้ตน    

ะหว่างทาง พระพิทยา ฐานิสสโร
ะหว่างทาง พระพิทยา ฐานิสสโร

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here