รำลึกมรณกาล ๑๐ ปี ๑๐ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสณมหาเถร)
อดีตประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช,
อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศ ราชชวรมหาวิหาร
บางท่านอาจมีคำถามว่า “เราตายได้ แต่พระพุทธศาสนาตายไม่ได้” นั้นหมายถึงอะไร
“เราตายได้ แต่พระพุทธศาสนาตายไม่ได้” คือ ประโยคสำคัญจากหนังสือ “เย็นหิมะในรอยธรรม” จากธรรมบรรยายของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสณมหาเถร) อดีตประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช, อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศ ราชชวรมหาวิหาร ท่านมักแสดงธรรมเสมอ และเป็นที่มาของการทำงานเผยแแผ่พระพุทธศาสนาเชิงรุกมาโดยตลอดในยุคสมัยของท่าน เพื่อสร้างพระสงฆ์รุ่นใหม่ สร้างวัด สร้างโครงการช่วยเหลือผู้คนมากมาย สร้างพระธรรมทูตไปต่างประเทศ และพระธรรมทูตอาสา ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ฯลฯ ภายใต้พระธรรมวินัย ที่พระพุทธเจ้าได้วางไว้
ไม่น่าแปลกใจว่า พุทธบริษัท ในบวรพระพุทธศาสนา จึงดำเนินมาได้กว่า ๒๖๐๐ ปีแล้ว ก็เพราะมีพระธรรมทายาท คือพระสงฆ์ที่สืบทอดพระพุทธศาสนาอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด จึงขอกราบอาราธนา พระมหาเทอด ญาณวชิโร (อดีตพระราชกิจจาภรณ์) และ พระมหาขวัญชัย กิตติเมธี ช่วยอธิบายความเพิ่มเติม
พระมหาเทอด ญาณวชิโร (อดีตพระราชกิจจาภรณ์) อธิบายว่า
“เราตายได้ พระพุทธศาสนาตายไม่ได้”
“หมายถึง เราตายได้เพราะความตายเป็นธรรมดาของชีวิต แต่พระศาสนาของพระศาสดาจะตายไปพร้อมกับช่วงชีวิตของเราไม่ได้ เราในฐานะเป็นสาวกของพระบรมศาสดา จึงมีหน้าที่ทำให้พระศาสนาดำรงอยู่ และส่งต่อให้กับผู้สืบทอดรุ่นต่อไปเพื่อให้คำสอนเป็นประโยชน์และความสุขแก่คนเป็นอันมาก”
พระมหาขวัญชัย กิตติเมธี อธิบายว่า
“เราตายได้ พระพุทธศาสนาตายไม่ได้”
ในมหาปรินิพพานสูตร ทีฆนิกาย มหาวรรค มีพุทธพจน์สำคัญๆ อยู่หลายช่วงเวลา แต่หากลำดับเหตุการณ์จะพบว่าเป็นช่วงสำคัญในพระพุทธศาสนา เริ่มตั้งแต่มารมาทูลถามถึงการปรินิพพาน พระพุทธองค์จึงตรัสว่า
“มารผู้มีบาป เราจะยังไม่ปรินิพพานตราบเท่าที่ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาทั้งหลายของเรายังไม่เฉียบแหลม ไม่ได้รับการแนะนำไม่แกล้วกล้า ไม่เป็นพหูสูต ไม่ทรงธรรม ไม่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ไม่ปฏิบัติชอบ ไม่ปฏิบัติตามธรรม เรียนกับอาจารย์ของตนแล้วยังบอก แสดง บัญญัติ กำหนด เปิดเผย จำแนก ทำให้ง่ายไม่ได้ ยังแสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ปราบปรัปวาท ที่เกิดขึ้นให้เรียบร้อยโดยชอบธรรมไม่ได้’
ขอขอบคุณ ภาพถ่ายจากการบวชพระนวกะโพธิ รุ่น ๖ สถาบันพัฒนาพระวิทยากร วัดสระเกศฯ
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็เวลานี้ อุบาสิกาทั้งหลายผู้สาวิกาของพระผู้มีพระภาคเป็นผู้เฉียบแหลม ได้รับการแนะนำ แกล้วกล้าเป็นพหูสูต ทรงธรรม ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตามธรรม เรียนกับอาจารย์ของตนแล้วก็บอก แสดง บัญญัติ กำหนด เปิดเผย จำแนก ทำให้ง่ายได้ แสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ปราบปรัปวาทที่เกิดขึ้นให้เรียบร้อยโดยชอบธรรมได้”
คำตรัสนี้เป็นการสะท้อนให้เห็นบุคคลสำคัญในทางพระพุทธศาสนานับจากนี้ไปคือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาที่จะช่วยรักษาคำสอนพระพุทธศาสนาไว้ได้ แต่คำสอนที่ตรงเตือนต่อแต่นั้นก็คือคำตรัสสอนที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและพระพุทธศาสนาคือ
: ขอขอบคุณ ภาพถ่ายจากการบวชพระนวกะโพธิ รุ่น ๖ สถาบันพัฒนาพระวิทยากร วัดสระเกศ
คำสอนเรื่องชีวิตนั้นมีที่สิ้นสุด
เป็นช่วงเวลาที่พระพุทธองค์ทรงตรัสช่วงปลงอายุสังขาร เป็นการตรัสกับภิกษุชาวเวสาลีว่า “ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนเธอทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงทำหน้าที่ให้สำเร็จด้วยความไม่ประมาทเถิด อีกไม่นานการปรินิพพานของตถาคตจะมี จากนี้ไปอีก ๓ เดือน ตถาคตจะปรินิพพาน” และตรัสคาถาประพันธ์ต่อว่า
: ขอขอบคุณ ภาพถ่ายจากการบวชพระนวกะโพธิ รุ่น ๗ สถาบันพัฒนาพระวิทยากร วัดสระเกศ
“มนุษย์ทุกคนไม่ว่าเด็ก
ผู้ใหญ่โง่ ฉลาด มั่งมี และยากจน
ล้วนต้องตาย
ชีวิตของสัตว์เปรียบเหมือนภาชนะดิน
ที่ช่างหม้อปั้นแล้วเล็กบ้าง
ใหญ่บ้าง สุกบ้าง ดิบบ้าง
ซึ่งล้วนมีความแตกสลายเป็นที่สุด”
“วัยของเราแก่หง่อมชีวิตของเราเหลือน้อย เราจะจากพวกเธอไป เราทำที่พึ่งแก่ตนแล้ว พวกเธอจงอย่าประมาท มีสติ มีศีลบริสุทธิ์ มีความดำริมั่นคงดี รักษาจิตของตนไว้ ผู้ที่ไม่ประมาทอยู่ในธรรมวินัยนี้ ละการเวียนว่ายตายเกิดแล้ว จักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้”
การตรัสนี้มุ่งด้วยการกำหนดรู้เวลาของอายุสังขารมนุษย์นั้นสุดท้ายก็ถึงปลายทางคือความตายหรือมีที่สุดอยู่ที่ความตายทั้งสิ้น ทั้งหมดทุกผู้ทุกนาม จึงเป็นเครื่องเตือนสติและบอกถึงเวลาอายุสังขารขององค์ศาสดาจะหมดในอีก ๓ เดือนข้างหน้านี้
: ขอขอบคุณ ภาพถ่ายจากการบวชพระนวกะโพธิ รุ่น ๗ สถาบันพัฒนาพระวิทยากร วัดสระเกศ
คำสอนเรื่องพระพุทธศาสนานั้นเป็นเรื่องไม่สิ้นสุด เป็นคำตรัสในช่วงใกล้จะปรินิพพาน โดยตรัสกับพระอานนท์ว่า “อานนท์ บางทีพวกเธออาจจะคิดว่า ‘ปาพจน์มีพระศาสดาล่วงลับไปแล้ว พวกเราไม่มีพระศาสดา’ ข้อนี้พวกเธอไม่พึงเห็นอย่างนั้น ธรรมและวินัยที่เราแสดงแล้วบัญญัติแล้วแก่เธอทั้งหลาย หลังจากเราล่วงลับไป ก็จะเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย”
“การตรัสถึงธรรมวินัยเป็นศาสดา
เป็นการสอนให้เราปฏิบัติตามหลักธรรม
พระพุทธศาสนาก็จะไม่ล่วงลับไป”
พระมหาขวัญชัย กิตติเมธี
ส่วนในปัจฉิมวาจาของพระพุทธองค์ ได้ทรงตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า
“ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราขอเตือนเธอทั้งหลาย
สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
เธอทั้งหลายจงทำหน้าที่ให้สำเร็จด้วยความไม่ประมาทเถิด”
นี้เป็นพระปัจฉิมวาจาของพระตถาคต
คำตรัสนี้ยิ่งมีความสำคัญ เพราะหากเราประมาท ก็เหมือนคนตายแล้ว
(อปฺปมาโท อมตํ ปทํ ความประมาทเป็นทางอันไม่ตาย
ปมาโท มจฺจุโน ปทํ ความประมาทเป็นทางแห่งความตาย)
พุทธพจน์
คนตายก็ปฏิบัติอะไรไม่ได้อีกแล้ว ปฏิบัติอะไรไม่ได้ ก็ไม่เกิดประโยชน์ และเมื่อปฏิบัติไม่ได้ พระพุทธศาสนาก็อยู่ไม่อาจมีอยู่ต่อไป จึงเป็นธรรมดาที่ความตายจะมาสู่ชีวิตของเราไม่เร็วก็ช้า
“แต่พระพุทธศาสนาเป็นเรื่องของผู้ไม่ตาย
คือผู้ไม่ประมาท มีสติ รู้ผิดชอบชั่วดี
สามารถยืนยันและตัดสินดีชั่วได้อย่างแจ่มชัด
ยิ่งพระพุทธศาสนายืนยาวนานต่อไปได้มากเท่าไหร่
ก็ยิ่งยืนยันมนุษย์เรายังมีความเป็นมนุษย์อยู่
ไม่ใช่เป็นคนที่ตายไปแล้วแต่หายใจอยู่เท่านั้น”
พระมหาขวัญชัย กิตฺติเมธี ป.ธ.๙,ดร.