เรียนรู้ปฏิปทาพระเถระแห่งยุคสมัย ผู้นำพระพุทธศาสนาก้าวสู่โลกยุคใหม่ ผู้สร้างตำนานพระพุทธศาสนาในโลกตะวันตก
“ปูชา จ ปูชนียานํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ.
ขอนอบน้อมแด่ครู พระอุปัฌชาย์ อาจารย์
ผู้ให้ชีวิตในพระศาสนาของพระพุทธองค์ ด้วยเศียรเกล้าฯ”
วิถีแห่งผู้นำ
: สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสณมหาเถร)
๙๑.ความสำเร็จของการเผยแผ่พระพุทธศาสนา
๙๒.สานสัมพันธ์กับพระพุทธศาสนามหายาน
เรียบเรียงโดย พระครูอมรโฆสิต (ปรีชา สาเส็ง)
ร่องรอยความทรงจำแห่งอดีต บอกเล่าปฏิปทาในการครองตน ครองคน ครองงาน เพื่อจรรโลงความดีงาม ตามครรลอง “วิถีแห่งผู้นำ”
สำหรับสองบทนี้ ผู้เขียนอธิบายกรอบความคิดของหลวงพ่อสมเด็จฯ ที่อิงกับพระธรรมวินัยจนก่อเกิดเป็นวิสัยทัศน์การเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่เป็นรูปธรรมอย่างชัดเจนที่สามารถเกื้อกูลการบวชเรียนเป็นพุทธบุตรเพื่อสืบทอดการเผยแผ่พระพุทธศาสนาทุกสายให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
๙๐. ความสำเร็จของการเผยแผ่พระพุทธศาสนา
ความสำเร็จของการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในต่างประเทศทั่วโลก จนพระพุทธศาสนาเบ่งบานกลางหิมะในโลกตะวันตกอย่างแข็งแกร่ง เกิดจากการวางรากฐานที่สำคัญของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) ผู้ริเริ่มการเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปทั่วโลก ริเริ่มการสร้างวัดไทยในต่างประเทศ และริเริ่มให้มีการฝึกอบรมพระธรรมทูตไปประจำ ณ วัดไทยในต่างประเทศ เป็นเหตุให้พระสงฆ์ผู้ปฏิบัติหน้าที่เป็นพระธรรมทูตได้ยึดเป็นแนวทางอันเดียวกัน เป็นที่มาแห่งความสำเร็จของงานพระศาสนาในต่างประเทศ นับได้ว่า เจ้าประคุณสมเด็จฯ เป็นผู้เปิดวิสัยทัศน์ธรรมสู่วิสัยทัศน์โลก ทำให้พระพุทธศาสนาแผ่ไพศาลไป เป็นที่พักพิงทางด้านจิตใจแก่ชาวไทย และประชาชนในต่างประเทศทั่วโลก
เรื่องราวทั้งหมดเหล่านี้จะถูกจดจำ เล่าขานถ่ายทอดสืบต่อกัน จนกลายเป็นตำนาน จากตำนานกลายเป็นประวัติศาสตร์ จากประวัติศาสตร์กลายเป็นความทรงจำของโลก
“ที่สุดแล้ว นามของพระมหาเถระท่านนี้ ก็จะถูกจารึกบนหน้าประวัติศาสตร์แห่งความทรงจำของโลก ในนามผู้นำพระพุทธศาสนาไปประดิษฐานยังแผ่นดินตะวันตกอันไกลโพ้น ตลอดไป”
ดังสำนวนไทยที่ว่า“ฝนทั่งให้เป็นเข็ม” หมายถึง การใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ในการฝึก อบรม สั่งสอน โดยการมอบหมายงานที่สำคัญให้ทำด้วยความไว้วางใจ ในความสามารถของศิษย์ เพื่อให้งานนั้นสำเร็จ ซึ่งโบราณท่านเปรียบไว้ดั่งการฝนหรือตะไบทั่ง ซึ่งเป็นแท่งเหล็กขนาดใหญ่ ให้มีขนาดเล็กลงจนเท่าเข็มเล่มหนึ่ง นั่นคือ หลักการสอนของหลวงพ่อสมเด็จฯ ที่มีต่อศิษย์”
๙๒. สานสัมพันธ์กับพระพุทธศาสนามหายาน
สิ่งที่ท่านทั้งหลายควรจะดีใจอย่างยิ่งร่วมกันนั้นก็คือ ทั้งเถรวาทและมหายาน ไม่ได้เคยคิดประโยชน์ส่วนตัวแต่ประการใด มุ่งอย่างเดียวว่าจะให้บรรดาคนทั้งหลาย ได้รับประโยชน์จากคำสอนในทางพระพุทธศาสนา มุ่งที่จะสร้างความอบอุ่นใจให้แก่คนทั้งหลาย
คนทั้งหลายที่มีทุกข์มีร้อน ก็ได้คลายทุกข์คลายร้อน ที่มีทุกข์น้อย เร่าร้อนน้อย ก็หายไป จึงเป็นความอบอุ่นที่สำคัญของโลกในปัจจุบัน
ความร่วมมือกัน คือ สามัคคีธรรมก่อให้เกิดความสุข สุขทั้งแก่ตนเอง สุขทั้งแก่ชาวโลก
การร่วมแรงร่วมใจกันจนเป็นตบะที่ยิ่งใหญ่ของเราทั้งหลาย จะนำความอบอุ่น นำความสุขมาสู่ชาวโลก เคยมีพระผู้ใหญ่ฝ่ายมหายานได้กล่าวมาเมื่อประมาณ ๓๐ ปี แล้ว ซึ่งเป็นความคิดของท่าน แต่ว่าเป็นความคิดที่น่าจับใจ ท่านว่า
“พระพุทธศาสนาเหมือนต้นไม้ใหญ่ และมีสองกิ่งใหญ่ๆ กิ่งหนึ่งเป็นเถรวาท กิ่งหนึ่งเป็นมหายาน แต่เป็นต้นไม้ต้นเดียวกัน คือ พระพุทธศาสนา เรามีความรู้สึกร่วมกันเช่นนี้ ก็จะทำให้เกิดพลังใหญ่”
เจ้าประคุณสมเด็จฯ ริเริ่มสานศาสนสัมพันธ์กับพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน โดยในปี พ.ศ. ๒๕๐๕ เป็นหัวหน้าคณะสงฆ์ไทยคณะแรกเดินทางไปสังเกตการณ์พระศาสนาและเชื่อมศาสนสัมพันธ์ ที่ประเทศเกาหลี ญี่ปุ่น ไต้หวัน ฮ่องกง เวียดนาม และจีน ฯลฯ ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนอย่างสำคัญแห่งหน้าประวัติศาสตร์ศาสนา ในการเชื่อมพระพุทธศาสนาเถรวาทกับมหายานเข้าด้วยกันอย่างแนบแน่น
ท่านโอสาโฮ คิมุระ และท่านโอโนะ พระญี่ปุ่นที่รับการอุปสมบทตามแบบอย่างพระสงฆ์เถรวาทก่อน จึงบวชตามแบบอย่างพระสงฆ์ฝ่ายมหายาน และยังเป็นประเพณีมาถึงปัจจุบันว่า ผู้จะบวชในสำนักของท่านทั้งสอง ต้องได้รับการอุปสมบทตามแบบอย่างพระสงฆ์เถรวาทก่อน
จากการเดินทางสังเกตการณ์พระพุทธศาสนาในเกาหลี ญี่ปุ่น ไต้หวัน ฮ่องกง และจีน ฯลฯ ในปี พ.ศ. ๒๕๐๕ พระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานในหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น ไต้หวัน และจีน ได้ขอรับการอุปสมบทตามแบบอย่างพระสงฆ์เถรวาท เกิดประเพณีการบวชตามแบบอย่างพระสงฆ์เถรวาทก่อนบวชตามแบบอย่างพระสงฆ์มหายาน ขึ้นในประเทศญี่ปุ่น จีน และไต้หวัน ในเวลาต่อมา
ริเริ่มให้มีการจัดการศึกษาสำหรับคณะสงฆ์ทั้งฝ่ายจีนนิกายและอนัมนิกาย โดยในเบื้องต้น เจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้ส่งพระที่มีความเข้าใจทางการศึกษาไปช่วยในการบริหารโรงเรียน และต่อมา ได้ริเริ่มให้จัดตั้งมหาวิทยาลัยสำหรับคณะสงฆ์อนัมนิกายในประเทศไทย ชื่อว่า “มหาปัญญาวิทยาลัย”
“ต่อไปพระเณรจะน้อยลง ไม่ใช่น้อยแต่เฉพาะจีนนิกายกับอนัมนิกาย พระไทยก็น้อยลงด้วย เพราะความเปลี่ยนแปลงของบ้านเมือง แต่ที่จะให้มีพระเณรอยู่ได้ ต้องจัดการศึกษาให้พระเณรได้เรียน จะประกอบพิธีกรรมอย่างเดียวไม่ได้ ให้พระเณรได้ออกบิณฑบาต ได้ปฏิบัติกิจอย่างพระไทย เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน คณะสงฆ์ทั้งจีนนิกายและอนัมนิกายจึงจะเป็นปึกแผ่นมั่นคง”
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ)