วันนี้วันพระ วันอาสาฬหบูชา วันพุธที่ ๑๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘
“ปูชา จ ปูชนียานํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ.
ขอนอบน้อมแด่ครู พระอุปัฌชาย์ อาจารย์
ผู้ให้ชีวิตในพระศาสนาของพระพุทธองค์ ด้วยเศียรเกล้าฯ”
ร่องรอยความทรงจำแห่งอดีต
บอกเล่าปฏิปทาในการครองตน ครองคน ครองงาน
ได้เป็นเครื่องจรรโลงความดีงาม ตามครรลอง “วิถีแห่งผู้นำ”
สำหรับบทนี้ เล่าถึงความเป็นมาโครงการต่างๆ ในยุคที่ เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ เป็นผู้นำคณะสงฆ์ ท่านได้สร้างคุณูปการให้แก่พระพุทธศาสนาอย่างมากมายมหาศาล เหมือนมีชีวิตเกิดมาเพื่อต่อลมหายใจให้กับพระพุทธศาสนา
วิถีแห่งผู้นำ
: สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสณมหาเถร)
๕๓. นำพระพุทธศาสนา ก้าวสู่โลกยุคใหม่
เรียบเรียงโดย พระครูอมรโฆสิต (ปรีชา สาเส็ง)
๕๓. นำพระพุทธศาสนา ก้าวสู่โลกยุคใหม่
เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ เป็นหนึ่งในพระมหาเถระผู้มุ่งมั่นที่จะเห็นพระพุทธศาสนามีความมั่นคงอยู่บนผืนแผ่นดินไทย และแผ่ไพศาลไปเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ชาวโลก
แม้ตั้งใจจะบวชเป็นสามเณรเพียง ๗ วัน แต่กลับดำรงตนอยู่ในสมณะเพศตลอดมาตราบเข้าสู่วัยชราจนอวสาน ได้สร้างคุณูปการให้แก่พระพุทธศาสนาอย่างมากมายมหาศาล เหมือนมีชีวิตเกิดมาเพื่อต่อลมหายใจให้กับพระพุทธศาสนา
จริยาวัตรและปฏิปทาที่งดงาม ภายใต้ใบหน้าอ่อนโยน มีรอยยิ้มฉายอยู่บนหน้าตลอดเวลา บ่งบอกถึงพลังแห่งเมตตาธรรม เป็นภาพที่ติดตาและตรึงใจแก่ผู้พบเห็นอยู่ตลอด อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการฝึกฝนในพระกรรมฐานอย่างหนัก
ท่านสามารถสวดพระปาฏิโมกข์ได้ในพรรษาแรกแห่งการอุปสมบทเป็นพระภิกษุ และยังสามารถเรียนสำเร็จเปรียญธรรม ๙ ประโยค อันเป็นการศึกษาพระปริยัติธรรมชั้นสูงสุดของคณะสงฆ์
สำนึกที่มีต่อความรับผิดชอบพระพุทธศาสนาเช่นนี้ ก่อตัวขึ้นท่ามกลางการฝึกฝนอย่างหนักของเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทยมหาเถร) ผู้เป็นพระอาจารย์ ได้เล็งเห็นอุปนิสัยด้วยญาณวิถีแล้วว่า ศิษย์ผู้นี้ คือ ผู้ที่จะนำพาพระพุทธศาสนาผ่านห้วงแห่งความยากลำบากในอนาคต
จากวันที่สำเร็จการศึกษาเปรียญธรรม ๙ ประโยค เพราะความรักที่มีต่อพระพุทธศาสนาอย่างเปี่ยมล้น เมื่อก้าวขึ้นสู่การบริหารคณะสงฆ์ และได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะผู้ปกครอง แม้พระเถระผู้ใหญ่ในสมัยนั้น ต้องการให้เป็นเจ้าคณะผู้ปกครองในภาคกลาง แต่เจ้าประคุณสมเด็จฯ กลับขอที่จะไปเป็นผู้ปกครองทางภาคที่กันดารและเดินทางไปยากที่สุด คือ ภาคอีสาน เนื่องจากเจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้เล็งเห็นว่า หากจะพัฒนาประเทศชาติและพระศาสนา จะต้องพัฒนาจากภาคที่มีประชากรมากที่สุดก่อน โดยเน้นที่การให้การศึกษา
เจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้นำพระพุทธศาสนาก้าวเข้าสู่โลกยุคใหม่ อันเป็นยุคแห่งการปฏิวัติการเผยแผ่พระพุทธศาสนาครั้งสำคัญ เป็นผู้ริเริ่มวางรากฐานแนวคิดงานพระศาสนาเชิงรุก (ที่สำคัญ) ในด้านต่างๆ เช่น ก่อตั้งโรงพิมพ์กรมการศาสนา จัดพิมพ์แถลงการณ์คณะสงฆ์ รวบรวมกิจการต่างๆ เกี่ยวกับการบริหารงานคณะสงฆ์ ตลอดทั้งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ กฎกระทรวง กฎมหาเถรสมาคม ระเบียบ คำสั่งมหาเถรสมาคม เกี่ยวกับการปกครองคณะสงฆ์และการพระศาสนาออกเป็นรายเดือน ทุกวันที่ ๒๕ ของเดือน และหนังสือธรรมะอื่นๆ
ริเริ่มให้มีศูนย์การคณะสงฆ์ประจำภาค ริเริ่มให้มีสำนักงานพระพุทธศาสนาประจำจังหวัดทุกจังหวัด เพื่อรองรับงานคณะสงฆ์ ริเริ่มให้มีพุทธมณฑลประจำจังหวัด ริเริ่มให้จัดตั้งสำนักเรียนบาลีประจำจังหวัด ริเริ่มให้จัดตั้งสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัด ริเริ่มให้ยกร่างหลักสูตรการเรียนการสอนภาคภาษาอังกฤษในมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ยกร่างหลักสูตรโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญ ริเริ่มจัดตั้งโรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ริเริ่มให้มหาวิทยาลัยสงฆ์เปิดหลักสูตรผู้บริหารสำหรับพระสังฆาธิการ เพื่อยกระดับการศึกษาของพระสังฆาธิการในสังฆมณฑล ริเริ่มจัดตั้งสถานีวิทยุและโทรทัศน์พระพุทธศาสนา ริเริ่มให้พระสงฆ์นำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้กับงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา ริเริ่มให้จัดตั้งกลุ่มโรงเรียนการกุศลของวัดในพระพุทธศาสนา จัดการเรียนการสอนตามแนวโรงเรียนวิถีพุทธ และให้เรียกเยาวชนที่เรียนในโรงเรียนการกุศลว่า “ลูกพระพุทธเจ้า”
ริเริ่มให้ปรับการเจริญพระพุทธชัยมงคลคาถาในวันขึ้นปีใหม่ เป็นการสวดมนต์ข้ามปี เพื่ออนุวัติให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคม ริเริ่มการจัดกิจกรรมงานวัด และกิจกรรมวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา อนุวัติให้สอดคล้องกับโลกสมัยใหม่ ริเริ่มจัดตั้งพระธรรมทูตอาสา ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ริเริ่มให้พระสังฆาธิการเกษียณอายุในวัย ๘๐ ปี เพื่อยกขึ้นเป็นปูชนียบุคคลของสังฆมณฑล
และ ริเริ่มให้จัดตั้งองค์กรพระสงฆ์รุ่นหนุ่มเข้ามาทำงานการบริหารคณะสงฆ์ เพื่อกลั่นกรองงานพระมหาเถรสมาคม รองรับงานพระศาสนาให้ก้าวทันความเปลี่ยนแปลงของโลก