
วันจตฺตสลฺโลรำลึก
ครบรอบ ๑๖ ปีมรณกาล “ญาถ่านจันทร์”
พระมงคลธรรมวัฒน์ (บุญจันทร์ จตฺตสลลฺโล)
๒๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๖

(๔)
ปู่คำแหง ปู่คำหาญ ปู่คำลือชา
ปู่ทองลาย และปู่จันทวงศ์ (บางคนเรียก ปู่ธรรมวงศ์)
สร้างบ้านแปลงเมือง

การเลี้ยงปู่ตาคือฮีตคลองที่ชาวบ้านยึดถือปฏิบัติ จนเป็นแบบแผนของชุมชน นอกจากจะเป็นการแสดงความกตัญญูต่อบรรพชนผู้สร้างบ้านแปลงเมืองแล้ว ชาวบ้านยังมุ่งหวังให้ปู่ให้ตาปกปักรักษาลูกหลานให้อยู่เย็นเป็นสุขอีกด้วย

บริเวณหอปู่บุ่งสระพังเคยเป็นที่ตั้งหมู่บ้านดั้งเดิม ก่อนจะย้ายหนีน้ำท่วมและโรคห่าขึ้นไปอยู่ดงบากใหญ่ในหมู่บ้านปัจจุบัน ทุกปีชาวบ้านจะมาเลี้ยงปู่เลี้ยงตาที่นี่ ยิ่งใครหากินอยู่กับบุ่งกับมูล ยิ่งต้องถือเป็นเรื่องสำคัญที่ขาดไม่ได้ เช่นเดียวกับพ่อถ้าไม่มีเหตุจำเป็นพ่อก็จะไม่ขาด

ปู่คำแหง ปู่คำหาญ ปู่คำลือชา ปู่ทองลาย และปู่จันทวงศ์ (บางคนเรียก ปู่ธรรมวงศ์) เป็นผู้นำในการตั้งชุมชนอยู่บริเวณดงพระคเณศ ริมแม่น้ำมูล เรียกว่า “บ้านตาเณศ” มีบ้านเรือนผู้คนกระจายกันอยู่ดงพระคเณศ ริมแม่น้ำมูล ตั้งแต่ปากบุ่งสระพัง เรื่อยไปจนถึงหอปู่ ท่าน้ำคำ และโนนพระเจ้า แต่เนื่องจากหมู่บ้านอยู่ใกล้แม่น้ำจึงมักประสบกับภาวะน้ำท่วมอยู่เป็นประจำ ประกอบกับเกิดโรคห่าลงร้ายแรงปีหนึ่ง ผู้คนล้มตายติดต่อกันคืนละสี่ห้าคน ชาวบ้านต่างหวาดกลัวจึงพากันแตกบ้านแตกเมืองหนีเข้าป่าเข้าดงไป

ปู่คำแหง ปู่คำหาญ ปู่คำลือชา ปู่ทองลาย และปู่จันทวงศ์(หรือปู่ธรรมวงศ์)จึงปรึกษากัน เห็นว่า ควรพาลูกหลานย้ายหมู่บ้านขึ้นไปอยู่ดงบากใหญ่ ซึ่งก็คือที่ตั้งหมู่บ้านปากน้ำ ในปัจจุบัน แต่ปู่คำลือชาอยู่ท่าน้ำคำไม่ต้องการย้าย จะปักหลักอยู่ที่เดิม คงเพราะคิดว่าบ้านเรือนอยู่ใกล้บุ่งสระพัง ทำมาหากินสะดวก

พ่อใหญ่เลิศ เล่าให้ลูกหลานฟังว่า แต่เดิมนั้นปู่คำลือชาก็เป็นคนบ้านตาเณศ มีบ้านเรือนอยู่ปากบุ่งสระพังเหมือนกัน ต่อมา ได้ย้ายมาอยู่ท่าน้ำคำ
เมื่อปู่คำแหง ปู่คำหาญ ปู่คำลือชา และปู่ทองลายสิ้นชีวิตลง ลูกหลานจึงตั้งหอโฮงขึ้นเพื่อให้เป็นหลักบ้านหลักเมือง ทุกปีจะมีพิธีเลี้ยงปู่ตาไม่ขาด เพื่อระลึกถึงบุญคุณของท่านที่ได้พาลูกหลานสร้างบ้านแปลงเมือง


ปู่ทองลายตั้งหอโฮงขึ้นที่ดงยางใหญ่ บ้านโนน รักษาทางทิศตะวันตก ปู่คำแหง ตั้งหอโฮงขึ้นที่ดงยางใหญ่ในวัดบ้าน รักษาทางทิศตะวันออก ส่วนปู่คำหาญอยู่หอปู่บุ่งสระพัง และปู่คำลือชาอยู่ท่าน้ำคำ ดูแลลูกหลานที่หากินอยู่ตามบุ่งตามมูล

ต่อมา ได้อัญเชิญปู่มาอยู่รวมกันที่หอปู่บุ่งสระพัง
พ่อใหญ่เลิศเล่าว่า ตอนย้ายปู่มาอยู่รวมกัน มีสาเหตุมาจากปีนั้น คนไปเลี้ยงควายฟากบุ่ง ตกน้ำตายมาก จนลือกันไปว่า เห็นผีเงือกผีมูล(รากษ) ขึ้นอยู่ในบุ่ง จึงไปนิมนต์พ่อถ่านดีโลด หรือ พระครูวิโรจน์รัตโนบล (รอด) วัดทุ่งศรีเมือง มาทำพิธีกันบ้านกันเมือง ใช้ก้อนหินลงอักขระโยนลงตามบุ่ง แล้วท่านก็ให้ย้ายปู่มาอยู่ด้วยกันที่หอปู่บุ่งสระพัง ให้มาคอยรักษาลูกหลานที่หาอยู่หากินตามบุ่งตามมูล จึงได้ย้ายมาตามที่พ่อถ่านดีโลดบอก

จากคำบอกเล่าของพ่อใหญ่เลิศ ประสานพิมพ์ ทำให้ได้ข้อมูลประวัติความเป็นมาของหมู่บ้านละเอียดลงไปอีก
เมื่อก่อนหมู่บ้านดั้งเดิมตั้งอยู่ที่บริเวณดงพระคเณศ ปากบุ่งสระพัง เรียกว่า “บ้านตาเณศ” มีบ้านเรือนตั้งอยู่ริมบุ่งสระพังเรื่อยไปจนถึงท่าน้ำคำ จะมีแม่ออกแม่ตนเดินกันมาตั้งแต่ท่าน้ำคำไปเพลที่วัดดงตาเณศ หาขุดเผือกขุดมันไปเพล เพราะเมื่อก่อนเป็นคนป่าคนดง ข้าวน้ำหายาก ไม่เหมือนทุกวันนี้ จะมีขัวน้อยอยู่ระหว่างให้เดินข้ามฮ่อง ซึ่งก็ตรงกับแม่ใหญ่คูณ(เคยเป็นนางเทียมของหมู่บ้าน) เล่าเอาไว้ว่า ตอนเป็นเด็กอายุไม่มากยังได้ไปเพลที่วัดป่า

แม่ใหญ่คูณเป็นลูกผู้ใหญ่บ้านดวง ผู้ใหญ่บ้านดวงเป็นผู้ใหญ่บ้านที่มองการณ์ไกล คิดกันที่ดินสาธารณะเอาไว้ให้หมู่บ้าน แต่ผู้นำรุ่นต่อมาไม่มีใครสืบต่อแนวทางผู้ใหญ่บ้านดวง ตอนจะสร้างสถานีอนามัยจึงหาที่ดินติดถนนไม่ได้ พ่อถ่านต้องขอแลกที่ดินกับพ่อใหญ่เมือง พ่อใหญ่เมืองก็ยอม จึงย้ายบ้านมาอยู่หลังสถานีอนามัย

ส่วนโนนวัดท่านํ้าคำนั้น พ่อใหญ่เลิศบอกว่า พ่อใหญ่ดวงเป็นคนถวายดินท่าน้ำคำให้พ่อถ่านดีโลด(พระครูวิโรจรัตโนบล)สร้างวัด พ่อใหญ่ดวงบอกพ่อถ่านดีโลดว่า อยากได้วัด อยากให้มีพระมาอยู่ท่าน้ำคำ พ่อถ่านดีโลดจึงให้ไปนิมนต์ญาครูคำมาอยู่ (คือ พ่อใหญ่คำ ทองปรุง) มีพ่อใหญ่พิมพากับพ่อใหญ่สีเหลือง สองพี่น้องเป็นเจ้าวัดเจ้าโยมหลัก ๆ อยู่ที่วัดท่าน้ำคำ

ญาครูคำมาอยู่วัดท่าน้ำคำได้สองปีก็ลาสิกขา อยู่ต่อมาก็ได้เป็นผู้ใหญ่บ้านปากน้ำ วัดท่าน้ำคำไม่มีพระอยู่ก็ถูกปล่อยทิ้งร้างกลายเป็นไร่ปอ ประกอบกับชาวบ้านได้ย้ายขึ้นมาอยู่ในหมู่บ้านกันจนหมด ตอนหลังมา พ่อถ่านก็ให้พระเณรไปปลูกต้นไม้ขึ้นใหม่จนท่าน้ำคำกลายเป็นป่าอีกครั้ง

ส่วนสาเหตุที่ต้องย้ายหมู่บ้านนั้น พ่อใหญ่เลิศเล่าว่า เนื่องจากสมัยก่อนบ้านป่าบ้านดงไม่มีโรงว่านโรงยา(ไม่มีโรงพยาบาล) ปีหนึ่งเกิดโรคห่าลงหมู่บ้าน คนทยอยตายคืนละสี่ห้าคนติดต่อกัน ชาวบ้านจึงแตกบ้านแตกเมืองหนีเข้าป่าขึ้นไปอยู่ดงบากใหญ่
ผู้คนกลัวผี กลัวโรคอหิวา กลัวโรคห่า กลัวผีตายห่าตายโหง จึงพากันหนีโรคระบาด ต่างก็ถอนเสาบ้านเสาเรือนหนีเข้าป่าเข้าดงไปกันหมด
ผู้ที่พาย้ายบ้าน คือ ปู่คำแหงกับปู่ทองลาย จึงเกิดชุมชนแห่งใหม่ขึ้นที่ดงบากใหญ่

หลังจากปู่คำแหงกับปู่ทองลายตาย ลูกหลานจึงตั้งหอโฮงขึ้นให้เป็นเจ้าบ้านหลักเมือง ปู่ทองลาย รักษาทางทิศตะวันตก ปู่คำแหงรักษาทางทิศตะวันออก
พ่อใหญ่เลิศบอกว่า แต่ก่อนท่านก็เป็นคนธรรมดาเหมือนกันกับเรา เป็นเหมือนปู่ของปู่ของปู่เรา แต่ว่าท่านเป็นผู้นำพาสร้างบ้านแปลงเมือง หลังจากเสียชีวิต ลูกหลานก็สรรเสริญความดีท่าน จึงตั้งหอโฮงให้ท่าน คนสมัยก่อนเขานับถือกันอย่างนี้ เชิดชูผู้เฒ่าในชุมชนขึ้นมา เคยได้ยินพ่อใหญ่ดวงเล่าให้ฟังว่า คนที่ปรึกษาหารือกันพาลูกหลานย้ายบ้านขึ้นไปอยู่ดงบาก ก็คือ ปู่คำแหง ปู่คำหาญ ปู่คำลือชา ปู่ทองลาย และปู่จันทวงศ์(หรือปู่ธรรมวงศ์) แต่ปู่คำลือชาไม่ขอย้าย


เมื่อพิจารณาจากชื่อผู้นำชุมชนบ้านตาเณศ คำว่า “คำแหง” “คำหาญ” และ“คำลือชา” ล้วนมีลักษณะชื่อแม่ทัพนายกองสมัยโบราณ ซึ่งก็สอดคล้องกับปากคำของชาวบ้านที่เล่าต่อกันมาว่า บริเวณวัดป่าเคยเป็นสถานที่บำรุงเลี้ยงช้างม้าและไพร่พลของกองทัพบ้านดอนมดแดง เพื่อเตรียมไว้ทำศึก เนื่องจากหาดทรายบริเวณปากบุ่งสระพังเป็นที่ลาดเอียง ช้างม้าลงมูลได้สะดวก จึงเป็นท่าน้ำที่แม่ทัพนายกองนำช้างม้าลงกินน้ำ


นอกจากนั้น มีเรื่องเล่าของหมู่บ้านว่า กลางคืนจะมีกองทัพช้างกองทัพม้าปู่มาเดินอยู่ตามหมู่บ้าน พอดึกสงัดมักจะได้ยินเสียงกระดิ่งจากคอช้าง ได้ยินเสียงเท้าม้าวิ่งผ่ากลางหมู่บ้าน จนกลายเป็นหนึ่งเรื่องเล่าปรัมปราของชุมชนที่ลูกหลานทุกรุ่นต้องได้ยินคนเฒ่าคนแก่บอกเล่าสืบต่อกันมา ถ้าเด็กไม่ยอมนอน หรือตื่นขึ้นมากลางดึก พ่อแม่มักจะบอกลูกให้รีบนอน กลัวช้างกลัวม้าปู่

“ฮีบฟ้าวนอนย้านม้าปู่ ย้านช้างปู่”
“อย่าปาก ได้ยินเสียงม้าปู่บ่นั่น ดังโก๊บกั๊บ ๆ อยู่นั่น”
“ได้ยินเสียงกระดิ่งช้างปู่บ่นั่น ดังกิ่ง ๆ อยู่นั่น”
พ่อใหญ่เลิศเล่าว่า แต่ก่อนดงบากที่ย้ายหมู่บ้านขึ้นไปอยู่นั้น มันเป็นป่าทึบมาก เป็นป่าช้างดงเสือ พ่อใหญ่ดวงว่าอย่างนั้น มีต้นบากใหญ่หลายต้นอยู่ใกล้กับศาลากลางบ้าน จึงเอาต้นบากเป็นชื่อหมู่บ้าน แล้วมาเปลี่ยนชื่อเป็นบ้านปากน้ำ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๙
สาเหตุที่เปลี่ยนชื่อหมู่บ้าน ปีนั้น หลวงพ่อเปิดโรงเรียนพระปริยัติธรรมสอนบาลีที่วัด จึงไปนิมนต์พระเทพกิตติมุนี(สมเกียรติ์) วัดป่าใหญ่ ซึ่งเป็นเจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานีมาเปิดโรงเรียน ขณะกำลังสร้างโรงเรียนหลังใหม่ก็ใช้กุฏิไม้หลังยาวเป็นโรงเรียนไปก่อน อยู่ต่อมาจนถึง พ.ศ. ๒๕๖๓ อาคารไม้หลังนี้ก็ถูกไฟไหม้เสียหายทั้งหลัง
สมัยนั้น พระเทพกิตติมุนีมาเปิดสอนบาลีอยู่ที่บ้านดอนนกชุม หลวงพ่อให้เณรเดินไปเรียนแต่ไม่ประสบผลสำเร็จ จึงส่งไปเรียนที่บ้านบ่อชะเนงและหัวตะพาน อำเภออำนาจเจริญ ก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จ ท่านจึงคิดเปิดโรงเรียนสอนบาลีขึ้นเองที่วัด เอาลูกศิษย์ที่เป็นมหาเปรียญมาเป็นครูสอนจึงค่อยมีพระเณรสอบได้เป็นมหาเปรียญขึ้นมา ปีนั้น พระมหามังกร ปญฺญาวโรออกจากวัดสุปัฏนาราม มาจำพรรษาอยู่วัดป่าฯ เดิมท่านเคยอยู่วัดนรนาถสุนทริการาม กรุงเทพมหานคร แล้วย้ายมาอยู่วัดสุปัฏนาราม ในเมืองอุบล



ทุกวันพระ พ่อถ่านจะพาชาวบ้านปากน้ำออกมาฟังเทศน์อาจารย์มหามังกร จะมีญาติโยมจากในเมือง จากหมู่บ้านใกล้ไกลมาฟังเทศน์จำนวนมาก มีการจัดปฏิบัติธรรม นับว่า เป็นการเปิดป่าดงพระคเณศให้ผู้คนเข้ามาอีกครั้งนับตั้งแต่หลวงพ่อเข้ามานั่งวิปัสสนาและขุดพบพระพุทธรูปเงิน เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๕

เจ้าคุณวัดป่าใหญ่ท่านเป็นคนบ้านดอนนกชุม ตำบลกระโสบ และเป็นสหธรรมิกกับหลวงพ่อ ไปมาหาสู่กันมาช้านาน ท่านจะเรียกหลวงพ่อว่า “ญาท่านจันทร์” เวลาสงกรานต์มีเนาว์ที่ปากบุ่ง หลวงพ่อไปนิมนต์ท่านมาฉันข้าวป่า มาฉันลาบปลาปากบุ่ง ท่านก็มาไม่ขาด

สมัยที่บ้านกระโสบยังมาเนาว์ที่ท่ากระโสบ บุ่งสระพัง เข้าใจว่า ท่านก็มาเป็นประจำ จึงรู้ประวัติความเป็นมาและลักษณะทางภูมิศาสตร์ของบ้านปากน้ำเป็นอย่างดี ท่านบอกว่า ทุกวันนี้ ต้นบากที่เป็นสัญลักษณ์หมู่บ้านก็ไม่มีแล้ว บ้านบากน้ำชื่อมันไม่เข้ากันกับบุ่งสระพัง ให้เปลี่ยนชื่อเป็นบ้านปากน้ำจะได้ตรงกับที่ตั้งของหมู่บ้านดั้งเดิมซึ่งอยู่ที่ปากบุ่งสระพัง จะได้มีที่มาที่ไป ให้เปลี่ยนทั้งวัด ทั้งหมู่บ้าน หลวงพ่อจึงประชุมชาวบ้าน แล้วก็เปลี่ยนชื่อวัด ชื่อบ้าน
พอดีปีนั้นหลวงพ่อทำซุ้มประตูโขงขึ้นใหม่ ช่างถามหลวงพ่อว่าจะให้เขียนชื่อที่ซุ้มประตูวัดว่าอย่างไร หลวงพ่อบอกว่า ให้เขียนชื่อวัดปากน้ำ (บุ่งสระพัง) ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาหมู่บ้านก็เปลี่ยนชื่อตามวัดไปด้วย

ช่างหยัด(กำจัด ถาวรพงศ์) ซึ่งรับอาสาเป็นหัวหน้าช่างบูรณะศาลปู่ดงพระคเณศ เล่าว่า เท่าที่พอจะจำได้ ตอนช่างหยัดมาอยู่บ้านปากน้ำนั้น กลางบ้านยังมีตอบากอยู่สามต้น ตอบากต้นหนึ่งต่ำกว่าต้นอื่น แต่อีกสองต้นตอยังเหลือสูง แสดงว่า ต้นที่ตอยังสูงอยู่น่าจะตายทีหลัง แถวนั้นเป็นสวนพ่อใหญ่ภู จะเป็นโพนอยู่ตรงนั้น ต้นบากอยู่ตีนโพน ส่วนต้นแคนอยู่บนโพน
นอกจากนั้นชาวบ้านยังเล่าว่า ต้นบากใหญ่อยู่กลางบ้านมีหลายต้น คนเฒ่าคนแก่ของหมู่บ้านหลายคนยังทันได้เห็น ต้นหนึ่งอยู่ข้างเฮือนพ่อฝั้น วงศ์ชะอุ่ม อีแร้งชอบมาจับ เมื่อก่อนตามหมู่บ้านจะมีอีแร้งมาก ไม่รู้มาจากไหน ถ้าเอาหมาตายไปทิ้งไว้ฟากท่ง ได้วันสองวันเท่านั้นมันบินมากันแล้ว
นอกจากนั้น กลางบ้านยังมีต้นไฮและต้นงิ้วผาใหญ่อยู่ใกล้เฮือนสาวอั้ว หัวเฮือนอ้ายพวง อีแร้งชอบมาจับ ชาวบ้านเคยเอาหมาตายใส่แร้วเป็นเหยื่อดักจับ แต่มันไม่ติด ตามันดี มองลงมาแร้งมันก็รู้ว่ามีแร้ว มันก็บินเสิ่นวนเป็นวงกลมอยู่ข้างบน
นอกจากอีแร้งแล้วลิงลมก็มาก ถ้าเป็นอย่างทุกวันนี้ก็ไม่ควรไปทำอะไรมัน นึกดูแล้วลิงลมมันน่าสงสาร เวลาคนแกล้งมัน เอาหนังยางยิง มันจะขดตัวเข้า ยิ่งทำมันก็ยิ่งขดตัวเข้า น่าสงสาร มันมาจากดงปู่ เวลาไปเขาว่ามันบินเจิดไปเหมือนบ่าง

เมื่อก่อนถนนกลางบ้านยังเป็นทางเกวียน เป็นดินทราย ยังไม่ได้เป็นทางลูกรัง หลวงพ่อท่านมาพัฒนาให้เป็นทางลูกรังทีหลัง ตอนหัวค่ำพวกผู้บ่าวส่ำน้อยพากันไปหาเลาะเล่น พอเหนื่อยก็จะพากันมาชุมนุมนอนเกือกดินทรายเล่นอยู่หัวตักบาตร ใกล้บ้านผู้ใหญ่บ้านคำ ยามหน้าแล้งเดือนแจ้ง ๆ อากาศร้อน ๆ ดินทรายมันเย็นดี บางคนก็ปูแพรลายนอนเล่นกลางดินทราย เห็นเป็นช้างปู่เดินมาหาก็พากันแตกหนี ไม่ใช่เห็นแค่คนเดียว แต่พวกที่นอนเกือกดินทรายเล่นกันอยู่ ต่างก็เห็นกันทุกคน ช้างน้อยยืนส่ายหัวไปมา ก็พากันแตกหนีไปคนละทาง ว่าช้างปู่มาไล่
วันดีคืนดี ตกดึกสงัด ช้างปู่ม้าปู่ก็จะขึ้นมาวิ่งอยู่ตามหมู่บ้าน วัวควายอยู่ในคอกใต้ถุนบ้านทั้งร้องทั้งเต้นแตกคอก เรื่องกองทัพช้างกองทัพม้าโบราณบ้านตาเณศขึ้นมาวิ่งอยู่ตามหมู่บ้าน เป็นเรื่องเล่าปรัมปราของชุมชน ที่ลูกหลานต่างก็ได้ยินคนเฒ่าคนแก่บอกเล่าสืบต่อกันมา ไม่ต่างจากคำบอกเล่าเกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวปู่บุ่งสระพัง

