อาจาริยบูชา ๙ มีนาคม พ.ศ.๒๕๖๓
ครบรอบ ๖ ปี วันสลายสรีรสังขาร
เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสณมหาเถระ)
อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศ
ประธานผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช
พระเถระผู้เป็นประวัติศาสตร์
ความทรงจำ พระพุทธศาสนาโลก
มหาจุฬาฯ งามสง่าสดชื่น กลางทะเลแห่งคลื่นลม
ร่วมบำเพ็ญกุศลอุทิศถวาย ในงานพระราชทานเพลิงศพ
เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์
(เกี่ยว อุปเสณมหาเถระ)
อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศ
ประธานผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช
๙ มีนาคม ๒๕๕๗
คำปรารภ
เจ้าประคุณอาจารย์สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสณมหาเถระ) ได้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ที่ปัจจุบันเรียกชื่อตามกฎหมายว่า มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในช่วง ๒๕๐๗ – ๒๕๒๑ รวมเวลา ๑๕ ปี ตั้งแต่ดำรงสมณศักดิ์ที่ พระราชวิสุทธิเมธี พระเทพคุณาภรณ์ พระธรรมคุณาภรณ์ และพระพรหมคุณาภรณ์ โดยลำดับ นับว่าเป็นเลขาธิการองค์จริงจังในกิจการอย่างยาวนานที่สุด ของมหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งนี้
ในสมัยนี้ เลขาธิการเป็นตำแหน่งของผู้เป็นหัวหน้าที่ทำงานจริง ในการดำเนินของมหาวิทยาลัยทั้งหลาย มิใช่เพียงตำแหน่งเกียรติยศ ดังมีคำอธิบายในหนังสือนี้แล้ว
ในฐานะเป็นผู้นำ เป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบการดำเนินงานของมหาจุฬาฯ มิใช่ท่านจะต้องทำงานไปทุกอย่าง แต่กิจการทั้งปวงในระยะเวลานั้นทั้งหมด ดำเนินไปในความควบคุมดูแลและความเห็นชอบของท่าน โดยเฉพาะในยุคสมัยนั้น มีการทำงานที่เป็นระบบแห่งความร่วมแรงร่วมใจ โดยเป็นไปในสามัคคีสมานฉันท์ จึงพูดง่ายๆ รวมๆ ว่าเป็นกิจการของมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในยุคที่เจ้าประคุณอาจารย์สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสณมหาเถระ) เป็นเลขาธิการ
ในหนังสือนี้ ได้เล่าเรื่องราวความเป็นไปในกิจการของมหาจุฬาฯ ในช่วงเวลา ๑๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๐๗ – ๒๕๑๗) เมื่อผู้เล่าสนองงานในฐานะผู้ช่วยของท่าน คือเป็นผู้ช่วยเลขาธิการ
การเขียนเล่าเรื่องราว และทำหนังสือนี้ขึ้น ขอถือเป็นการร่วมบำเพ็ญกุศลอุทิศถวาย ในวาระสำคัญยิ่ง แห่งงานพระราชทานเพลิงศพ
อนึ่ง การเขียนสะกดคำบางอย่าง อาจต่างไปจากที่ใช้กันมาบ้าง ในเมื่อเห็นว่าควรเปลี่ยนแปลงเพื่อความเหมาะสม เช่น แทนที่จะเขียน “วรสารเถร” ก็เขียนเป็น “วรสารเถระ”
ขอกุศลในการนี้ จงเป็นไปเพื่อความเจริญงอกงามของพุทธบริษัท ในไตรสิกขา และในไตรพิธีบุญกิริยา เพื่อความแผ่ไพศาลแห่งพระพุทธศาสนา และเพื่อความไพบูลย์แห่งประโยชน์สุขของปวงประชา อันเป็นจุดหมายในการบำเพ็ญศาสนกิจทั้งปวงของเจ้าประคุณอาจารย์สมเด็จพระพุฒาจารย์ ยั่งยืนนานสืบไป.
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)
๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗
มหาจุฬาฯ งามสง่าสดชื่นกลางทะเลแห่งคลื่นลม
ตอนที่ ๑๖
หาคอมมิวนิสต์ เห็นโรงละครโลก
“ มองหาสงครามเย็น มองเห็นสงครามร้อน”
: พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)
ปัจจุบัน สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
เมื่อนายแมคคาร์ธีย์หมดอํานาจ ก็เรียกว่าสิ้นยุคของลัทธิแมคคาร์ธีย์คือจบ era of McCarthyism แต่ปัญหากับคอมมิวนิสต์ยังไม่จบไปด้วย แม้จนบัดนี้
การล่าผีคอมมิวนิสต์ในเมืองไทยที่ได้เล่ามา ก็โยงกับเรื่องราวในอเมริกา ตามธรรมดาของกระแสการเมืองโลก โดยเฉพาะในเมื่ออเมริกามีอํานาจยิ่งใหญ่และอิทธิพลในเมืองไทยก็สูง คนไทยไม่เฉพาะรับข่าวสารเรื่องนี้จากรัฐบาล แต่ยูซิส คือ สํานักข่าวสารอเมริกัน (United States Information Service) ประจําประเทศไทย ก็เผยแพร่ข่าวสาร เช่นให้ขอรับนิตยสาร เสรีภาพ รายเดือน และหนังสือแปลชุด สันติภาพ ได้ส่งให้ฟรี
สงครามเย็นดําเนินต่อมา การพัฒนาจรวด (rocket) และขีปนาวุธ (missile) โยงต่อไปสู่เรื่องอวกาศ
พอถึงปี1957/๒๕๐๐ ณ วันที่๔ ต .ค. สหภาพโซเวียตก็ปล่อยดาวเทียมขึ้นไปได้สําเร็จเป็นดวงแรก ชื่อว่า Sputnik 1 หนัก ๘๓ กก. หมุนรอบโลกใน ๙๓ นาทีถือว่าเป็นการเริ่มยุคอวกาศ (space age) แล้วก็เข้าสู่ยุคการแข่งขันด้านอวกาศ (space race)
หลังจากนั้นเกือบ ๔ เดือน (๓๑ ม.ค. 1958/๒๕๐๑) สหรัฐอเมริกาจึงปล่อยดาวเทียมดวงแรกของตน คือ Explorer 1 ขึ้นไปได้
เหตุการณ์นี้ถือเป็นชัยชนะของโซเวียต ซึ่งทําให้ชาวอเมริกันโทมนัสมาก ได้เพ่งเล็งโทษการศึกษาแบบมีเด็กเป็นศูนย์กลาง (child-centered education) แล้วหันกลับไปนิยมการศึกษาแบบมีครูและเนื้อหาวิชาเป็นศูนย์กลาง (teacher- and subject-centered education) เกือบ ๓๐ ปีจึงกลับมาหาการศึกษาแบบมีเด็กเป็นศูนย์กลางอีก
พอถึง ๑๒ เม.ย. 1961/๒๕๐๔ โซเวียตก็ส่ง Vostok 1 นํา Yury A. Gagarin ขึ้นไปเป็นมนุษย์เวหาคนแรกที่โคจรรอบโลก ๑ รอบ สองฝ่ายเร่งการแข่งขันกันต่อไปจนถึง ๒๐ ก.ค. 1969/๒๕๑๒ อเมริกาก็ส่ง Apollo 11 นํามนุษย์๓ คน ออกนอกโลกไปให้ Neil A. Armstrong และ Edwin E. Aldrin เป็นมนุษย์สองคนแรกที่ลงเหยียบดวงจันทร์
แต่ในเวลาที่ชาวอเมริกันสองคนลงเหยียบดวงจันทร์นั้น ทหารอเมริกันจํานวนมากได้ฟังข่าวดีนั้น ขณะที่รบหรือเป็นเชลยศึกถูกคุมขังอยู่ในเวียดนาม
พร้อมกันนั้น ในแผ่นดินอเมริกาเอง ปมปัญหาต่างๆ ก็ขยายตัวโผล่ออกมาเป็นปรากฏการณ์ที่ร้ายแรงมากหลาย เต็มไปด้วยความเดือดร้อนปั่นป่วนวุ่นวาย มีการชุมนุม เดินขบวนกันเรื่อย ที่โน่นที่นั่น มีการปราบปรามทําร้ายแตกแยกกันรุนแรงต่อเนื่องยืดเยื้อมายาวนาน เฉพาะอย่างยิ่งในมหาวิทยาลัยต่างๆ ปะทะกับเจ้าหน้าที่ถึงขั้นที่เรียกได้ว่าเป็นจลาจล บาดเจ็บล้มตายไม่น้อย
ทั้งนี้เนื่องจากความไม่พอใจและต่อต้านการทําสงครามในเวียดนาม กับทั้งเรื่องอื่นๆ ประดัง สืบจากปัญหาคนยากจนกลางความมั่งคั่ง ความอยุติธรรมในสังคม การเรียกร้องความเสมอภาค ทั้งการเรียกร้องสิทธิอันเนื่องจากการแบ่งแยกผิว โดยเฉพาะเรื่องสิทธิพลเมือง (civil rights) ของคนผิวดํา ขณะที่พวก Ku Klux Klan ก็ทําท่าขยับ แล้วก็มีการเรียกรองสิทธิสตรี สิทธิของเกย์ แม้กระทั่งการเรียกร้องสิทธิของนักโทษในเรือนจํา
หลังจากประธานาธิบดี John F. Kennedy ถูกลอบสังหารในปี1963/๒๕๐๖ ซึ่งทําให้ตื่นตระหนกและโศกเศร้ากันมาก แล้วในช่วงเวลาที่วุ่นวายนี้ก็มีการลอบสังหารบุคคลระดับผู้นําต่อมาอีก ทั้ง Martin Luther King, Jr. ผู้นําเรียกร้องสิทธิคนผิวดําในปี 1968/๒๕๑๑ ต่อด้วย Robert F. Kennedy ผู้แข่งรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีขณะหาเสียงใกล้จะเลือกตั้งในปีเดียวกันนั้น แล้วในปี1972/๒๕๑๕ นาย George C. Wallace ผู้ว่าการรัฐแอละแบมา/Alabama ซึ่งกําลังหาเสียงเสนอตัวเป็นผู้แข่งขันรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในนามพรรคเดโมแครต ก็ถูกยิง แม้จะรอดก็เป็นอัมพาต
(หลังช่วงวุ่นวายมากนี้แล้ว ในปี1981/๒๕๒๔ ก็มีการพยายามลอบสังหารประธานาธิบดี Ronald W. Reagan ซึ่งถูกยิง แต่แค่บาดเจ็บสาหัส ยังรอดมาได้)
อีกด้านหนึ่ง คนรุ่นหนุ่มสาวมากมายก็เบื่อหน่าย บ้างก็ถึงกับชิงชังวิถีชีวิตวิถีสังคมที่ตัวเกิดพบอยู่มา อยากจะมีชุมชนของพวกตัว พากันออกไปหาไปสร้างไปอยู่กัน เป็นชุมชนใหม่ที่มีวัฒนธรรมสวนกระแส (counterculture) พ่วงมากับเรื่องเพศ ที่มียาคุมกําเนิดเกิดขึ้นมาพอดีเขาหาสารเสพติดดนตรีใหม่และวิถีชีวิตขวางสังคม
ความเดือดร้อนวุ่นวายและเรื่องราวรุนแรงเหล่านี้ ทําให้การไปดวงจันทร์อันเป็นความสําเร็จยิ่งใหญ่ทางอวกาศ เป็นเรื่องที่คนอเมริกันลิงโลดดีใจได้เพียงผ่านๆ เหมือนลมเย็นพัดมาให้ได้สบายชื่นใจวูบวาบไปทีหนึ่ง
สงครามเวียดนาม ( Vietnam War; สงครามอินโดจีนครั้งที่๒ / Second Indochina War ก็เรียก) มีสาระอยู่ที่ว่า เวียดนามเหนือซึ่งเป็นคอมมิวนิสต์แล้วต้องการรวมเวียดนามใต้เข้ามา ให้กลับเป็นประเทศเดียวกัน และก็คือจะให้เป็นคอมมิวนิสต์ด้วย
ฝ่ายอเมริกา โดยอิทธิพลของทฤษฎีโดมิโน (domino theory) ที่เชื่อว่า ถ้าชาติหนึ่งเป็นคอมมิวนิสต์แล้ว ชาติอื่นใกล้เคียงก็จะกลายเป็นคอมมิวนิสต์ตามไปด้วย ดังนั้น ถ้าปล่อยให้เวียดนามเป็นคอมมิวนิสต์แล้ว ประเทศทั้งหลายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia) ก็จะเป็นคอมมิวนิสต์ตามๆ กันไปหมด จึงเข้าช่วยเวียดนามใต้และจีน กับโซเวียตก็มาช่วยเวียดนามเหนือ เป็นสงครามที่รุนแรงมากและยืดเยื้อยิ่ง
สงครามนี้เริ่มนานแล้ว ตั้งแต่ปี 1954/๒๔๙๗ (บางตํารานับว่าเริ่ม 1959/๒๕๐๒) ที่จริง เริ่มต้นเป็นเรื่องที่รัฐบาลเวียดนามใต้ปราบคอมมิวนิสต์เวียดกง (Vietcong) ในประเทศของตัว ซึ่งเวียดนามเหนือสนับสนุน อเมริกาพยายามช่วยรักษารัฐบาลที่ต่อต้านคอมมิวนิสต์ให้คงอยู่
สงครามดุเดือดขึ้นเมื่อกองทัพอเมริกันเข้าไปในปี1965/๒๕๐๘ รบกันไปๆ กลายเป็นอเมริกันรบกับคอมมิวนิสต์เวียดนามเหนือ ที่มีจีนกับโซเวียตหนุน ถึงกับถูกเรียกว่าสงครามของอเมริกา (American War) และขยายขอบเขตออกไปเป็นส่วนหนึ่งของสงครามในอินโดจีน (ต่อมาลาว และกัมพูชาก็มีสงครามในลักษณะนี้) นับว่าเป็นอาการสําแดงของสงครามเย็น
อเมริกาบอกว่า สงครามเวียดนามเป็นสงครามที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของตน เมื่อปี 1969/๒๕๑๒ มีกําลังพลอเมริกันประจําการในเวียดนามเกือบ ๕๕๐,๐๐๐ คน (นับที่ไปรบกลับมาตามวาระทั้งหมดว่า ๘,๗๔๔,๐๐๐ คน) สงครามไม่มีทีท่าว่าจะจบ
ในที่สุด ชาติมหาอํานาจต้องโอนอ่อนเข้าหากัน ประธานาธิบดีนิกสัน (Richard M. Nixon) ถึงกับไปเยือนเมืองจีน พบกับประธานเหมา เจ๋อตง ในปี 1972/๒๕๑๕ ( ๒๐ ก.พ.) และหลังจากนั้น ๓ เดือน ก็เป็นประธานาธิบดีอเมริกาคนแรกที่ไปเยือนมอสโก พบกับนายเบรสเนฟ (Leonid Brezhnev) เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ของโซเวียต (๒๖ พ.ค.) เป็นเชิงผ่อนคลายให้สงบสงครามง่ายขึ้น
หลังจากนั้นไม่นาน ได้มีการเซ็นสัญญาสงบศึกเวียตนามในปี 1973/๒๕๑๖ (Treaty of Paris, ๒๗ ม.ค.) แล้วถัดมา ๒ เดือน (๒๙ มี.ค.) ทหารอเมริกันรุ่นสุดท้ายก็ออกจากเวียดนาม รวมทหารอเมริกันเสียชีวิตทั้งหมด (นับตามรายชื่อซึ่งจารึกที่อนุสาวรีย์ทหารผ่านศึกเวียดนาม /Vietnam Veterans Memorial) เกินกว่า ๕๘,๒๐๐ คน
พอถึงปี 1975/๒๕๑๘ ทัพเวียดนามเหนือก็บุกครั้งใหญ่ลงมายึดไซ่ง่อนได้ เวียดนามใต้ประกาศยอมแพ้ในวันที่๓๐ เม.ย. กรุงไซ่ง่อนเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองโฮจิมินห์ เวียดนามรวมเป็นประเทศเดียว และเป็นคอมมิวนิสต์ด้วยกัน เป็นอันจบสงครามเวียดนาม
ส่วนในกัมพูชา เขมรแดง (Khmer Rouge) โดยเวียดนามหนุน ได้รุกรบเต็มที่จนยึดอํานาจได้ในวันที่๑๗ เม.ย. 1975/๒๕๑๘ และเปลี่ยนชื่อประเทศเป็นกัมพูชาประชาธิปไตย โดยมีนายพอล พต (Pol Pot หรือซาลอท ซาร์/Saloth Sar) เป็นเลขาธิการพรรคคอมมูนิสต์กัมพูชา แล้วต่อมาเป็นนายกรัฐมนตรี
แล้วก็มาถึงลาว ซึ่งแตกเป็น ๓ ฝ่าย และสู้รบกันมาจนตั้งรัฐบาลผสมขึ้นได้ แต่อํานาจของฝ่ายคอมมิวนิสต์เพิ่มขึ้นโดยลําดับ ในที่สุด ขบวนการประเทดลาวก็เข้าปกครองประเทศ และประกาศเปลี่ยนพระราชอาณาจักรลาว เป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เมื่อ ๒ ธ.ค.1975/๒๕๑๘ เป็นอันจบในปีเดียวกันหมดทั้ง ๓ ประเทศ
ที่ว่าเป็นสงครามเย็นนั้น ดูไปก็มีสงครามร้อน (hot war) แทรกเรื่อย ตั้งแต่สงครามเกาหลีมาแล้ว ผ่านสงครามอินโดจีนรอบ ๒ นี้ไป สนามรบไปอยู่ที่ตะวันออกกลางและใกล้ๆ
แถวใกล้ตะวันออกกลางนี้ กรณีเด่นจับจุดเริ่มที่อัฟกานิสถาน/Afghanistan ในปี 1978/๒๕๒๑ เมื่อพวกฝ่ายซ้ายโดยโซเวียตหนุน ได้ทํารัฐประหารล้มรัฐบาลเก่า แล้วรัฐบาลที่อยู่ข้างโซเวียตขึ้นปกครอง และเริ่มจัดการบ้านเมืองในแนวทางคอมมิวนิสต์ จากนั้นก็มีพวกขบถเรียกว่า มูจาฮีดีน/mujahideen ตั้งกันขึ้นมาต่อสู้เพื่อขจัดอิทธิพลของ โซเวียต และอเมริกาก็เขาหนุนพวกขบถ
โซเวียตเกรงว่ารัฐบาลที่ตนหนุนจะล้ม จึงส่งกองทัพใหญ่มาปราบขบถตั้งแต่ปลายปี 1979 จนถึงปี 1980 ฝ่ายขบถก็มีอเมริกาช่วยหนุน โซเวียตส่งกําลังพลเพิ่มมาจนเป็นจํานวนแสน
พึงสังเกตว่า ในปี 1979/๒๕๒๒ นายโอซามา บิน ลาเดน/Osama Bin Laden ลูกมหาเศรษฐีในซาอุดีอาระเบีย/Saudi Arabia ก็ได้มาร่วมกับพวกขบถ mujahideen เพื่อขับไล่โซเวียต และในช่วงปลายทศวรรษ 1980’s เขาได้ตั้งองค์กรนักทําสงคราม อัล-คาอีดะ (al-Qaeda หรือ al-Qa`ida) ขึ้นมาต่อต้านโซเวียตไม่ให้ยึดครองอัฟกานิสถาน (โดยทั่วไป เขาต้องการให้ขจัดอิทธิพลของต่างชาติต่างพวกออกไปจากประเทศมุสลิม ต่อต้านรัฐบาลประเทศมุสลิมที่เข้ากับสหรัฐ และต้านการที่สหรัฐอุดหนุนอิสราเอล/Israel)
ทัพโซเวียตปราบขบถอยู่ ๑๐ ปี เห็นว่าไม่ไหว ในที่สุดถึงปี1 988/๒๕๓๑ ก็เริ่มถอนทัพออกจากอัฟกานิสถานจนหมดในต้นปี 1989 แต่พวกขบถก็สู้กับรัฐบาลต่อไป จนในที่สุด ถึงปี 1992/๒๕๓๕ พวกขบถ mujahideen ก็โค่นรัฐบาลที่เป็นพวกโซเวียตลงได้
(โปรดติดตามตอนต่อไป …)
พระมองโลก มองความเป็นไป มองเหตุปัจจัย รวมทั้งมองการเมืองโดยมองแบบพระ ไม่ใช่มองแบบชาวบ้าน คือพระมองด้วยเจตนาเพื่อรู้เข้าใจสภาพของมนุษย์และภาวะการของโลกตามที่มันเป็น ให้ชัดเจนเพียงพอเพื่อสนองเจตนาที่จะแก้ปัญหาของโลกของมนุษย์ ให้ลุถึงประโยชน์สุข โดยไม่มีเจตนาที่เป็นเรื่องของตนเอง ไม่มีวัตถุประสงค์ของตนเอง หรือโยงอิงหมู่พวกใด ที่จะได้จะเอาอะไรๆ หรือเพื่อใคร เพื่อพวกใด จึงเรียกว่า รู้โลก เพื่อแก้ปัญหาของมนุษย์ พหุชนหิตายะ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่คนมาก พหุชนสุขายะ เพื่อความสุขของคนมาก โลกานุกัมปายะ เพื่อเกื้อการุณย์แก่โลก
ที่ว่านี้ ก็โยงมาถึงการที่จะเล่าเรื่องของมหาจุฬาฯ กลายเป็นว่าจะพูดถึงมหาจุฬาฯ แต่เลยไปพูดถึงทั้งโลก ที่จริง นี่แหละคือเรื่องที่ควรพูดเพราะว่ามหาจุฬาฯก็ดำเนินเดินหน้าไป ในบ้านเมือง ในโลก อย่างน้อยก็ต้องรู้ตระหนักว่าตัวเป็นอยู่เป็นไปในสภาพแวดล้อม ท่ามกลางบ้านเมือง และในโลก ที่กำลังเป็นไปอย่างไร ตอนนั้นเวลานั้นมหาจฬาฯ อยู่ในบรรยากาศในสภาพแวดล้อมที่เป็นอย่างไร ไม่ใช่เดินไปในความมืด มองอะไรมัวๆ เมื่อตัวไม่รู้ก็ย่อมอดไม่ได้ที่จะคิด แล้วก็เลยคิดเห็นไป กลายเป็นลุ่มหลงไม่ตรงตามจริง จะต้องรู้ให้พอที่จะมองเห็น ไม่ใช่มัวแต่หรืออยู่แค่คิดเห็น
ยิ่งกว่านั้น ในที่สุด แม้มองถึงจุดหมายที่แท้ เมื่อมาเรียนที่มหาจุฬาฯก็เพื่อมีการศึกษา ที่จะให้เจริญงอกงามในธรรมวินัย แล้วสามารถไปบำเพ็ญกิจเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน เพื่อคนทั้งมวล ทั้งโลก ด้วยรู้เข้าใจทั่วทันโลกดังได้กล่าวมาแล้วนั่นเอง : พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)
กราบขอบพระคุณที่มา : สำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศ วัดสระเกศ www.watsrakesa.com และ หนังสือมหาจุฬาฯ งามสง่าสดชื่น กลางทะเลแห่งคลื่นลม : พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) พิมพ์ร่วมบำเพ็ญกุศลอุทิศถวาย ในงานพระราชทานเพลิงศพ เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒจารย์ (เกี่ยว อุปเสณมหาเถระ) อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศ ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ๙ มีนาคม ๒๕๕๗
ดาวน์โหลดธรรมนิพนธ์ “มหาจุฬาฯ งามสง่าสดชื่นกลางทะเลแห่งคลื่นลม” : พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺตโต) ได้ที่ เว็บไซต์ วัดญาณเวศกวัน https://www.watnyanaves.net/th/book_detail/604
https://www.watnyanaves.net/uploads/File/books/pdf/_.Pr.4_580301.pdf