เยี่ยมพระพบปะโยม
“พุทธานุภาพเยียวยาใจ”
ก่อนกำลังใจจะเหือดแห้ง
โดย พระมหาขวัญชัย กิตฺติเมธี ป.ธ.๙,ดร.
ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาพระวิทยากร
สำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และความมั่นคง
แห่งสถาบันชาติ พระศาสนา พระมหากษัตริย์ วัดสระเกศฯ
“อย่าถามเลยว่าสถานการณ์ภาคใต้เป็นอย่างไร? ผมตอบจนเบื่อแล้ว ถ้าใครอยากรู้ให้ลองไปสัมผัสด้วยตนเอง ตราบที่ยังไม่พบเจอเอง พูดไปก็ไร้ประโยชน์”
เสียงบอกเล่าของท่านพระมหาดร.จิตต์ วรปญฺโญวัดช้างไห้ พูดตามสไตล์พระผู้อยู่ในพื้นที่ภาคใต้ ท่านมีครอบครัวอยู่ในพื้นที่เสี่ยง และญาติบางคนก็เสียชีวิตจากเหตุการณ์ไม่สงบในหลายปีที่ผ่านมา
หลังจากนั้นเราเดินทางไปคุยโครงการอบรมพระธรรมทูตในเขตพื้นที่จังหวัดยะลากับท่านเจ้าคุณพระโสภณธรรมมุนี รองเจ้าคณะจังหวัดยะลา เจ้าอาวาสวัดนิโรธสังฆาราม ก่อนที่อาจารย์เจ้าคุณฯ จะเล่าเรื่องมีคนแปลกหน้าเข้ามาในวัดบ่อยขึ้น เพราะขาดทหารรักษาวัด ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างประสานงาน ช่วงนี้จึงต้องระวังมากขึ้น แม้จะอยู่ในวัดอันเป็นที่สงบงดการเบียดเบียน แต่ดูจะไร้ผลยามเมื่อกติกาสังคมถูกละเลยยามนี้…
บันทึกการถอดบทเรียน โครงการเยี่ยมพระพบปะโยมเมื่อวันที่ ๑๕-๒๒ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๙ ถูกเปิดขึ้นมาอีกครั้งเพื่อรำลึกความทรงจำเมื่อสามปีก่อน ในการลงพื้นที่ให้กำลังใจกับพระสงฆ์และให้ธรรมะกับอุบาสกอุบาสิกาชาวพุทธในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ในจังหวัดสงขลาและปัตตานี โดยก่อนหน้านั้นพระเดชพระคุณพระพรหมสิทธิ อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศ และ ท่านอาจารย์เจ้าคุณพระราชกิจจาภรณ์ อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาส ฯ ได้เดินทางลงพื้นที่มาก่อนหน้านั้นหลายปีเพื่อหาทางสร้างขวัญและกำลังใจให้กับชาวพุทธและเพื่อนต่างศาสนิกในคราวที่พบประสบกับความไม่สงบในชายแดนใต้เป็นระยะๆ ตามปฏิปทาของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) อดีตประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช มีดำริให้รวมกลุ่มกันเป็น “เครือข่ายพระธรรมทูตอาสา ๕ จังหวัดชายแดนใต้”ตามมติมหาเถรสมาคม โดยความร่วมมือของสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จัดดำเนินกิจกรรมต่อเนื่องในโครงการค่ายศาสนิกสัมพันธ์ โครงการค่ายพุทธบุตร จนในภายหลังได้ปรับเป็นโครงการ “เยี่ยมพระพบปะโยม” ในเวลาต่อมา
ณ บ้านหลังที่ ๑๐
“เพิด” หนุ่มน้อยอายุ ๓๐ กว่าปี ไม่ใส่เสื้อ เดินยิ้มออกมาจากบ้าน มือพนมขึ้นเหนือศีรษะ เมื่อพระเดินเข้ามา ดูท่าทีบ่งบอกว่าเพิดไม่ได้ปกติเหมือนคนทั่วไป สมองจะช้ากว่า ยายใจซึ่งเป็นคุณแม่เล่าว่า “เพิดเป็นลูกคนเดียว ตอนคลอด ขาออกมาก่อน เลยเป็นแบบนี้ เรียนก็ต้องออกแค่ ป.๒ เขียนชื่อตัวเองได้เท่านั้น”
แต่เพิดกลับมีสิ่งที่ผู้ใหญ่ต่างชื่นชมคือความรับผิดชอบต่องานอยู่ที่ศูนย์สาธิตเกษตรเศรษฐกิจพอเพียง ชุมชนบ้านป่าศรี อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี และความรักต่อคุณพ่อพัน อายุ ๗๐ ปีที่เป็นอัมพฤกษ์ โดยทุกวันหลังจากทำงาน เพิดจะถามพ่อเสมอว่า พ่อกินข้าวหรือยัง แม้พ่อจะกินแล้ว แต่จะตอบว่า “ยัง” เพื่อลองใจลูก เพิดก็จะหายเข้าไปเพื่อทำกับข้าวให้พ่อเสมอ
ยายใจผู้เป็นแม่เล่าเรื่องนี้ให้ฟังหลังจากพระธรรมทูตอาสา ๕ ชายแดนใต้ จากสำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และควมมั่นคงแห่งสถาบันชาติ พระศาสนา พระมหากษัตริย์ วัดสระเกศฯ เดินทางมาถึงร่วมๆ ๖ โมงเย็น โยมบอกรอตั้งแต่บ่ายโมง “แม้จะเย็น จะค่ำ โยมก็รอได้ รอมานาน แค่เห็นก็ดีใจ เพราะไม่มีใครมาเยี่ยมนานมาแล้ว”
บ้านยายใจอยู่ไม่ไกลจากวัดป่าศรีมากนัก ทางเดินปกคลุมไปด้วยหญ้าและป่า ช่วงนี้คนเป็นไข้ป่า (มาลาเรีย) ยายเลยสงสัยว่าจะมาติดตาพัน เพราะปกติตาจะชอบพูด แต่วันนี้ตาตัวร้อนนอนเงียบ
ปีนี้ยายอายุ ๖๓ ปีแล้วเล่าว่า ตั้งแต่ตาเป็นอัมพฤกษ์ ยายต้องรับภาระหนักขึ้น ทั้งต้องรับจ้างกรีดยาง อีกทั้งยังต้องเป็นชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน(ชรบ.) อาสาสมัครรักษาหมู่บ้าน (อรบ.) ทุกๆ วันเมื่อเข้าเวร ชรบ.เสร็จประมาณ ตี ๑ ก็จะไปกรีดยางต่อจนถึงเช้า
งานหนึ่งทำเพื่อดูแลครอบครัว อีกงานทำเพื่อปกป้องชาวไทยพุทธและพี่น้องต่างศาสนาที่อยู่ร่วมกันมานานหลายชั่วอายุคน เราต้องดูแลกันไปในสังคมพหุวัฒนธรรมนี้ อย่าให้ใครมาทำให้เราต้องเป็นอื่นของกันและกัน
ถ้าดูจากอายุที่มาก แต่ยังทำงานหนักขนาดนี้ได้ ยายไม่ได้สนใจตัวเอง แต่ห่วงครอบครัว ห่วงวัด ห่วงชุมชน และด้วยความที่เป็นชาวพุทธ ยายเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม ยายบอกว่าแม้ทุกข์อย่างไรก็ไม่ท้อ “ยายขอใช้ชีวิตเพื่อชดใช้กรรมที่เคยทำมา” ยายพูดพร้อมน้ำตา
วันนี้พระมาเยี่ยมให้กำลังใจ สวดมนต์ เพื่อช่วยรักษาและเยียวยาให้ยายมีกำลังใจ น้ำใจไม่มีวันแห้งไป เพราะตอนนี้พระกับโยมจะเป็นกำลังให้กันและกัน
แล้วพระสงฆ์ก็สวดมนต์ให้พ่อพัน ที่นอนป่วยไม่อาจรับฟังอย่างอื่นได้ ก็เชื่อมั่นว่า เสียงสวดมนต์จะเป็นดั่งพุทธมนต์ที่ประพรมไปถึงหัวใจส่วนลึกที่สุดของพ่อพัน เพื่อเยียวยากายที่ไม่ค่อยได้ขยับเขยื้อนให้ตื่นขึ้น สังเกตดู แววตาพ่อพันเกิดปีติ และเพิดก็รับรู้ได้ดีขึ้นจากการฟังเสียงสวดมนต์ ยายใจดูมีสีหน้ามีความสุข เพราะการรอนานนั้นเป็นความทุกข์ แต่พระก็มาช่วยให้คลายทุกข์จากการรอคอยด้วยการสวดมนต์ให้ฟังอย่างเต็มอิ่มจนทุกคนเกิดปีติจากการน้อมจิตในการฟังสวดมนต์นี้เอง และการสวดมนต์แท้จริงก็มิได้มีปาฏิหาริย์อะไร นอกจากปาฏิหาริย์แห่งสติและปัญญาที่ก่อเกิดจากพลังพุทธานุภาพนั่นเอง
“เสียงสวดมนต์จะเป็นดั่งพุทธมนต์ที่ประพรมไปถึงหัวใจส่วนลึกที่สุด ให้ตื่นขึ้น มีพลังและกล้าหาญที่จะดำรงชีวิตอย่างมีสติปัญญาในการก้าวล่วงความทุกข์ไปได้ในที่สุด…”