ภาพวาดลายเส้นพระภิกษุนั่งสมาธิใต้ต้นโพธิ์ ภาพนี้ เขียนด้วยสีฝุ่นผงถ่าน ตั้งใจวาดเป็นภาพประกอบในหนังสือ “ลูกผู้ชายต้องบวช ” โดยพระอาจารย์ญาณวชิระ ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ที่ข้าพเจ้าเคารพรักและศรัทธายิ่ง แต่ด้วยความที่วาดไว้หลายภาพ ภาพนี้ จึงมิได้ถูกคัดเลือกให้เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือเล่มนั้น

ถามว่า ภาพนี้เสียใจไหม

ภาพคงไม่มีคำตอบ มีแต่ความสงบให้เราได้พิจารณา ใคร่ครวญ

ส่วนคนวาดภาพยังคงเต็มไปด้วยความรู้สึก

แม้ในขณะวาดภาพจิตมุ่งอยู่กับการวาดเส้นลงสี ใช้เวลาไม่นานนัก ภาพความสงบก็ปรากฏ แต่ใจของผู้วาดกลับไม่สงบ

เพราะเต็มไปด้วยความคาดหวัง …ว่าจะเป็นที่พอใจของครูบาอาจารย์หรือเปล่า ?

ฉันมาใคร่ครวญดูในชีวิต บ่อยไปที่เราต้องเสียใจกับการถูกตำหนิ หรือไม่ได้ถูกเลือก และก็มีไม่น้อย ที่ได้รับการเลือก จิตฟู และอยากให้จิตดำรงอยู่เช่นนั้น ตลอดไป แต่ทั้งสองภาวะก็ตกอยู่ในหลักอนิจจังทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่ตัวเราที่แปรเปลี่ยนไปทุกขณะ แก่ลง แก่ลง และกำลังจะตาย บางครั้ง จิตก็ยังไม่ตระหนักถึงความตาย ยิ่งขาดสติ จิตจะกลายเป็นอันธพาลโดยไม่รู้ตัว แล้วก็จะทำให้ตัวเจ้าของตกอยู่ในร่องของความเสียใจ และดีใจสลับกันไปตลอด

และ หากเราไม่ฝึกฝืนใจ ขัดใจจิตของเราอย่างต่อเนื่อง จิตอันธพาลนี้จะยิ่งทำให้เราทุกข์มากยิ่งขึ้น กับความหวัง ที่ไม่ได้ดั่งใจ ซึ่งในชีวิตนี้ ถามว่า เราจะอยู่กับความหวังที่ได้ดังใจกับความไม่ได้ดังใจอันไหนมากกว่ากัน …

หากจิตของเรา ยังกระโดดไปมา ยังต้องการการยอมรับจากผู้อื่น เราย่อมยังไม่พบตนเอง ไม่รู้จักตนเองอย่างแท้จริง ไม่ได้อยํู่ในภาวะความเข้าใจกับความทุกข์และความสุขอย่างแท้จริงที่เป็นเพียงเรื่องธรรมดา ที่ปรากฏเช่นเดียวกับเรื่องอื่นๆ รวมไปถึงความตายที่เราจะต้องเผชิญเพียงลำพัง

หากเรายังทำใจกับความทุกข์ ความสุขไม่ได้ เราจะต้อนรับความตายได้อย่างไร

เพราะเมื่อใดที่เรายังหลงอยู่กับความมี ความเป็น และความไม่มี กับความไม่เป็น นั่นหมายถึงว่า เรากำลังตกหลุมพลางของความสุดโต่งทั้งสองทางดังใน “ธัมมจักกัปปวัตนสูตร” ที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวกับปัญจวัคคี ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ในวันมาฆบูชา วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ หลังจากที่พระองค์ทรงตรัสรู้ธรรมในวันนี้เมื่อสองพันหกร้อยกว่าปีก่อน

ในวันเพ็ญวิสาขะ ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ พระองค์ทรงเห็นวงจรแห่งอวิชชาที่ก่อภพชาติในความสัมพันธ์ของความเชื่อมโยงของชีวิตตามกระแสกรรมไม่ขาดสาย หมุนติ้วอยู่ในวงล้อปฏิจจสมุปบาทที่ก่อเกิดอวิชชา ความไม่รู้ที่ทำให้เราหลงติดกับดักของตัณหา อุปาทานจนยึดมั่นถือมั่น ว่ามันคือเรา คือตัวเรา คือของเรา

…แต่ด้วยสติ สมาธิ และปัญญาอันคมกริบ และบริบูรณ์ในค่ำคืนนั้น พระองค์พบเห็นความคิด ที่เรียกว่า “สังขาร” อันเป็นผลมาจากการที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจของเรา สัมผัสสิ่งต่างๆ อย่างมีความ “อยาก” หรือ “ตัณหา” ที่จะให้สิ่งนั้น คนนั้น สิ่งนี้ คนนี้ มาเป็นของเรา จนก่อเกิดภาพชาติ

ก่อเกิดเป็นลูกหลานของอวิชชายั้วเยี้ยเต็มไปหมดบนโลกใบนี้ ซึ่งแท้จริงก็คือ การทื่เราไม่รู้ความจริงของกระแสความเกี่ยวพันกันอย่างแยกไม่ออกนี่เอง ทำให้เราสร้างเวรกรรมซ้ำแล้วซ้่ำเล่า ก่อภพชาติใหม่ๆ แปลกขึ้นๆ ทุกวันๆ ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้ คือ วิบากกรรมที่มาจากการกระทำของเราเองเมื่อวันวาน ย้อนเลยไปถึงในอดีตชาติที่พันผูก จนมันเป็นพลังแม่เหล็กที่จะผลักดันให้เราสร้างกรรมดี หรือกรรมไม่ดีใหม่ๆ ได้อีกในวันนี้และอนาคตกาลอันใกล้ หากเราไม่เท่าทันมัน

เจ้าตัว “สังขาร” หรือ “การปรุงแต่ง” นี้เอง

พระองค์ทรงค้นพบเจ้าตัวสังขารนี้ จากการบำเพ็ญเพียรสติอันทรงพลังจนก่อเกิดเป็นมหาสติ ที่เรียกว่าสติปัฏฐานสี่ ที่ทำให้เกิดสมาธิอันนุ่มนวลและอ่อนโยน จนมีปัญญาในการ “เห็น” กายตามความเป็นจริง เห็นเวทนา ตามความเป็นจริง เห็นจิตตามความเป็นจริง และเห็นสภาวธรรมตามความเป็นจริง

อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

จนกระทั่งพบกับสภาวะ…สิ้นสุดการปรุง

จะว่าไป วิชชาในการตัดขาดกิเลสโดยสิ้นเชิงที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบนั้นลึกซึ้งมาก และพระองค์ทรงเมตตาย่อยมาให้เป็นแผนที่นำทางจิตให้เราต่างสามารถฝึกตนไปจนกว่าจะหลุดพ้นจากห้วงทุกข์ได้ เช่นเดียวกับพระองค์ หากเราเพียรปฏิบัติขัดเกลากิเลส ฝืนใจตนไม่ทำตามใจตัวเอง และ …ไม่หลอกตนเอง เราจะทำได้ …

เราอย่ามัวแต่คิดว่า พระองค์เป็นพระพุทธเจ้า พระองค์ทำได้ แต่เราทำไม่ได้

พระองค์ทรงเปิดของคว่ำให้หงาย เปิดอวิชชาในใจให้เห็นอย่างชัดๆ ว่าเราจะจัดการกับความไม่รู้ในใจเราได้อย่างไรด้วยวิชชาที่พระองค์ทรงค้นพบนี้


ย้อนเวลาไปในยุคนั้นเมื่อสองพันกว่าปีที่แล้ว…

จะมีใครบ้างที่คิดว่าจะมีช่องว่างที่พาเราออกไปจากโลกใบนี้ได้

จะมีใครบ้างที่สามารถฟอกจิตจนบริสุทธิ์สามารถทะลุทะลวงย้อนมิติแห่งกาลเวลาไปยังอดีตและอนาคตจนกระจ่างความจริงอยู่เหนือความแปรปรวนของทุกสิ่งได้ จนเห็นปรากฏการณ์ของการเปลี่ยนแปลงภายในและภายนอกอย่างละเอียดยิบ และไม่รู้ว่าจะบอกกล่าวความจริงนี้แก่ใครดี กับการพบกุญแจไขความลับของจิต ที่เป็นประตูออกไปจักรวาลนี้อย่างไม่หวนคืน

หากไม่มีเทวดามาขอร้องให้พระองค์บอกเถอะๆๆ ในโลกนี้ ยังมีผู้ทีมีธุลีน้อยในดวงตาอยู่บ้างและพร้อมที่จะรับฟังพระองค์ และฝึกตนเพื่อดับทุกข์ในสังสารตามรอยพระองค์ อยู่นะ

พระองค์ก็คงจะเสวยวิมุติสุขอยู่เพียงลำพังในวันวิสาขบูชาที่ผ่านมาถึงสองพันหกร้อยกว่าปีเพียงลำพังตลอดไป

วันวิสาขบูชาวันนี้ พุทธศักราช ๒๕๖๒ (นับจา่กปีที่พระพุทธองค์ปรินิพพาน ) + ๔๕ (ปีที่พระองค์ทรงจาริกเผยแผ่ธรรมสอนเวไนยสัตว์ ) =๒๖๐๗ ปี ผ่านมาแล้ว หากพระองค์ไม่เมตตา เราคงไม่ได้ท่องบ่นและโหยหาปัญญาที่พระพุทธองค์ค้นพบเมื่อวันวาน และเพียรพยายามที่จะออกจากทุกข์ตามรอยพระองค์อย่างแน่นอน และทุกข์ ก็คงจะท่วมทับสัตว์โลกเป็นกองพะเนินต่อไปไม่สิ้นสุด

แต่ด้วยความเมตตาในพระทัยของพระองค์อย่างเปี่ยมล้น ที่จะช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้ออกจากห้วงทุกข์ พระองค์จึงยินดีออกเผยแผ่สัจธรรมตามที่พระองค์ทรงค้นพบ

วิสาขปุณณมี คำนี้ ทำให้ฉันย้อนระลึกถึงพระพุทธเจ้า และพระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ ตลอดจนครูบาอาจารย์ของฉัน ในคืนวันทื่พระองค์ทรงปราบมารในใจจนสิ้นเชิงได้ ขณะที่ฉันเองก็ตั้งใจให้วันนี้เป็นวันแห่งการภาวนาเช่นกัน

แต่ฉันนั้นพ่ายแพ้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยิ่งตั้งใจภาวนาวันไหน วันนั้น แพ้ย่อยยับ ปราชัยต่อกิเลสโดยสิ้นเชิง

วันนี้ฉันตามจิตไม่ทันอีกแล้ว บ่อยครั้ง ที่สื่อสารออกไปอย่างขาดสติ แล้วก็มาเสียใจภายหลังว่า ไม่น่าเลย ฉันเห็นจิตฟุ้งซ่าน น้อยมาก เพราะฟุ้งไปแล้ว จึงมาตามรู้ทีหลัง ซึ่งครูบาอาจารย์บอกว่า นั่นแหละ เรียกว่า “ขาดสติ ” เยอะด้วย

ขณะที่วันนี้ตั้งใจภาวนากับการใช้วาจาให้น้อย อยู่กับลมหายใจให้มาก แต่ความจริงคือสลับกัน เรียกว่า ขาดสติอย่างรุนแรง

ค่ำแล้ว ฉันคิดว่า ได้เวลาที่จะไปสวดมนต์ทำวัตรวันวิสาขบูชา ๑๘ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๒ วันที่ฉันกับคุณแม่เรามักจูงมือกันไปภาวนาที่่วัดไหนสักแห่งหนึ่ง แล้วสวดมนต์ข้ามคืนด้วยกัน แต่วันนี้ ฉันไม่ได้ไปไหน ก็เลยเล่านิทานเรื่องวันวิสาขบูชาให้คุณแม่ฟัง

และก็อ่านบันทึกบทสวดมนต์ของคุณแม่จากลายมือที่บันทึกพระวาจาสุดท้ายของพระองค์ไว้ให้ฉันดูแลตนเอง

ปัจฉิมโอวาท ของพระพุทธเจ้า ที่คุณแม่บันทึกไว้

หันทะทานิภิกขเว อามันตะยามิโว

วะยะธัมมา สังขารา อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถะ

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด”

ข้าพเจ้าขอน้อมถวายทานอันนี้ แด่พระสงฆ์ผู้มีศีลทั้งหลาย ทานที่ข้าพเจ้าถวายแล้วนี้ จงเป็นปัจจัยให้ถึงพระนิพพารด้วยเทอญ. สาธุ

พระพุทธเจ้าในใจฉัน โดย หมอนไม้ (สีชอร์คฝุ่นบนกระดาษปรู๊ฟ )
พระพุทธเจ้าในใจฉัน โดย หมอนไม้ (สีชอร์คฝุ่นบนกระดาษปรู๊ฟ )

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here