พระพุทธศาสนาเพื่อสังคม โดย พระมหาประสิทธิ์ ญาณปฺปทีโป

0
2510

พระพุทธศาสนาเพื่อสังคม 

โดย พระมหาประสิทธิ์ ญาณปฺปทีโป

“พระพุทธศาสนาไม่ใช่เรื่องของปัจเจก (individual)

แต่หมายถึงการอยู่ร่วมกันกับสังคมส่วนรวม (Society as Collective)

พร้อมทั้งสร้างสรรค์ชีวิตและสังคมต่อไปอย่างมีนัยสำคัญ

ซึ่งจะเห็นได้ว่า…

พระพุทธเจ้ามุ่งให้พระสงฆ์อนุเคราะห์สร้างสิ่งอันสมควรแก่มนุษย์ทั้งหลาย “

 

พุทธศาสนาเพื่อสังคม

 

            คนไทยยังไม่คุ้นกับคำว่า  พุทธศาสนาเพื่อสังคม (Socially Engaged Buddhism)  มากนัก  เพราะส่วนใหญ่พูดกันในแวดวงวิชาการ หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะวิถีสงฆ์ไทยได้ปฏิบัติจนเป็นความคุ้นชินกับคนทั่วไป  เป็นการรับรู้ร่วมกันโดยที่ไม่ต้องบัญญัติศัพท์ใหม่เพื่อทำความเข้าใจ  เพราะวิถีพุทธนั้น เป้าหมายสำคัญก็เพื่อประโยชน์สุขของสังคม  ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า 

“จรถ ภิกฺขเว จาริกํ พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย อตฺถาย หิตาย สุขาย เทวมนุสฺสานํเธอทั้งหลายจงจาริกไปเพื่อประโยชน์และความสุขแก่คนหมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูลและความสุขแก่ทวยเทพและมนุษย์” 

พระพุทธศาสนาจึงไม่ใช่เรื่องของปัจเจก (individual) แต่หมายถึงการอยู่ร่วมกันกับสังคมส่วนรวม (Society as Collective) พร้อมทั้งสร้างสรรค์ชีวิตและสังคมต่อไปอย่างมีนัยสำคัญ  ซึ่งจะเห็นได้ว่า พระพุทธเจ้ามุ่งให้พระสงฆ์อนุเคราะห์สร้างสิ่งอันสมควรแก่มนุษย์ทั้งหลาย 

นับแต่อดีตจนปัจจุบัน เราจึงเห็นว่า  พระสงฆ์นั้นมีส่วนร่วมในทุกงานพัฒนา  ไม่ว่ากระทรวงทบวงไหน  ถ้าจะขับเคลื่อนนโยบายก็มักจะเล็งมาที่วัดก่อนเลย  ด้วยหวังว่าจะใช้พระและวัดเป็นฐานในการส่งเสริมคุณลักษณะต่างๆ ที่ตนเองประสงค์  และด้วยจิตอาสา  พระสงฆ์ไทยก็มักไม่นิ่งดูดายเมื่อประชาชนประสบภัยพิบัติต่างๆ ขณะเดียวกัน  มีการนำหลักพุทธธรรมบูรณาการร่วมกับศาสตร์หรือองค์ความรู้สมัยใหม่ เพื่อที่จะใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างสรรค์งานเพื่อสังคม  โดยงานหลักของพระสงฆ์ก็คือการโปรดญาติโยม  ชี้แจงแถลงธรรมะ ให้คนทั้งหลายได้ศึกษา แต่ไม่ใช่ว่าจะไปยืนเทศน์นั่งเถรเหมือนเมื่อก่อน  แต่เป็นการจัดกระบวนการเรียนรู้  เพราะจะทำให้เกิดความเข้าใจ และเห็นใจ  ตลอดจนถึงการผ่อนสั้นยาวแล้วแต่โอกาส 

ยกตัวอย่าง วัดคลองเปล  นำโดยหลวงพ่อพระครูโสภณคุณาทร  ที่นี่เป็นวัดเพื่อสังคม  เพราะแต่ละโครงการที่ริเริ่มขึ้นมา   เป้าหมายหลักก็คือ  เพื่อพัฒนาเยาวชนและชาวบ้านในชุมชนของวัด  ซึ่งมีความโดดเด่นมากสำหรับการพัฒนาคน  ชุมชนและสังคม  ก็คือ 

๑.การปฏิบัติธรรม  ท่านสนับสนุนให้มีการปฏิบัติธรรมกรรมฐานให้แก่คนทั่วไป  มีโครงการเข้าวัดวันอาทิตย์  โครงการเปิดวัดอ่านพระไตรปิฎก

 ๒. งานด้านสงเคราะห์เด็กและเยาวชน    สร้างกิจกรรมบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อน

๓. โครงการพัฒนาศักยภาพสงเคราะห์ งานด้านสืบสานศิลปวัฒนธรรม  มีการฝึกซ้อมรำมโนราห์มีท่าหลัก ๑๒ ท่า ซึ่งจะต้องอาศัยใจที่ประกอบได้ด้วยรัก  สมาธิ และความอดทน  เป็นการอธิบายสอดแทรกหลักธรรมให้เกิดความเข้าใจมากขึ้น 

พระสงฆ์ผู้ทำหน้าที่อยู่  ก็จะต้องตั้งสติ  ใช้กระบวนการเหล่านี้เป็นเครื่องมือในการฝึกฝนตนเอง  และความพยายามที่จะตอบสนองให้เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน  ดังที่  ท่านติช นัท ฮันห์  ได้แสดงความเห็นไว้ว่า

ความจริงแล้ว Engaged Buddhism ก็คือการฝึกปฏิบัติ เพื่อให้ชีวิตของเรามีการฝึกปฏิบัติ อย่างเต็มเปี่ยม ปฏิบัติอยู่ในชีวิตประจำวันของเราในทุกชั่วขณะ ไม่ว่าอยู่ในทางใจ หรือกาย ของเราก็ดี เพราะฉะนั้น Engaged Buddhism หรือ พระพุทธศาสนาในวิถีชีวิตประจำวันนั้น ก็คือการตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของเรา ที่เกิดขึ้นในกาย และใจของเรา มันเป็นสิ่งที่เรียบง่ายมาก  Engaged Buddhism คือ การตอบสนองต่อการปรุงแต่งทางกาย (กายสังขาร) และ ทางจิต (จิตปรุงแต่ง-จิตสังขาร) ของเรา มันก็คือเท่านั้นเอง นี่คือความหมายอันแท้จริง ของ Engaged Buddhism อันเป็นพระพุทธศาสนาในวิถีชีวิตประจำวัน

การนำหลักพุทธธรรมมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน  เป็นสิ่งที่เราพึงรณรงค์หรือเชิญชวนให้คนในสังคม ได้รับรู้และเกิดแรงบันดาลใจที่จะขับเคลื่อนครอบครัว  และสังคม  ให้ก้าวไปสู่ความเป็นสังคมที่พัฒนาแล้ว  ไม่ใช่แค่เรื่องวัตถุก่อสร้างเท่านั้น  แต่มุ่งให้เกิดใจที่พัฒนาดีแล้ว  เพราะจิตใจของเราเองคือคำตอบสำหรับทุกอย่าง  ดังที่พระพุทธเจ้าบอกว่า  “จิตที่ฝึกดีแล้วนำสุขมาให้”  แม้จะยังไม่ดีมากจนสิ้นอาสวะ  แต่เอาแค่ถูไถไปกับกิเลสและเหตุปัจจัยที่ไม่พร้อมนี่อย่างรู้เท่าทัน  เพียงเท่านี้ก็ได้ชื่อว่า “อานิสงส์แห่งใจบังเกิดแล้ว”

การก้าวไปสู่ความเปลี่ยนผ่านของยุคสมัย  บางครั้งก็กังวลใจไปกับผู้คนทั้งหลาย  ที่ดูคล้ายๆ กับใบไม้แห้งหล่นใส่ลำธาร  แล้วลอยล่องไปไร้จุดยืนอันแท้จริงของตนเอง  สุดแท้แต่กระแสสังคมจะพาไป  เพราะถ้าเป็นแบบนี้ตลอดไป   ก็ยากที่จะยับยั้งความย่ำแย่ลงได้  คงจะย่อยยับยุบแยกแตกสลายไป 

โดยเนื้อแห่งธรรมของพุทธองค์  เป็นไปเพื่อมวลชนอยู่แล้ว  เพียงคนในสังคมนำคมคิดมาลองปรับใช้แล้วลงมือทำหรือสร้างเอาไว้  ก็ถือว่าเป็นแนวทางที่ดีที่เรียกว่า พุทธศาสนาเพื่อสังคม  คือ เพื่อประโยชน์  และความสุข  แก่ทุกคนในสังคม   แต่การที่จะนำมาสร้างให้เห็นเป็นรูปธรรม  ก็ถือว่ายากอยู่พอสมควร  แต่ว่าไม่น่าจะยากเกินกว่าที่เราจะฝึกตน หากยังมีลมหายใจอยู่ เพียงแค่เรากลับมารู้สึกตัวกับลมหายใจก็นับว่า เราเข้าถึงพระพุทธศาสนาเพื่อสังคมแล้ว เพราะเมื่อไรที่เรารู้จักตัวเอง กลับมาดูแลตัวเอง กลับมาหาตัวเอง และเท่าทันกิเลสในใจตนไม่ตามมันไป ก็เท่ากับเป็นการรับใช้สังคมประการหนึ่ง อย่างดีทีเดียวก็ว่าได้ …

.

พระพุทธศาสนาเพื่อสังคม 

โดย พระมหาประสิทธิ์ ญาณปฺปทีโป

พระมหาประสิทธิ์ ญาณปฺปทีโป
พระมหาประสิทธิ์ ญาณปฺปทีโป

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here