บวชตามประเพณี : ของดีที่กำลังถูกมองข้าม
โดย พระมหาประสิทธิ์ ญาณปฺปทีโป
สมัยก่อนชายไทยถือว่าการได้บวชเป็นบุญและแสดงออกถึงความเป็นผู้มีกตัญญูกตเวทิตาธรรมต่อบุพพการี จนนำไปสู่การบวชตามประเพณี ซึ่งกว่าการบวชจะกลายมาเป็นประเพณีวิถีวัฒนธรรมของคนไทยและชาวพุทธนั้นได้เดินทางมาไกลจากแดนพุทธภูมิและผ่านกาลเวลามายาวนานกว่า ๒ พันปี หยั่งรากฝังลึกอยู่ในสังคมไทยมากว่า ๗ ร้อยปีนับตั้งแต่สมัยสุโขทัยเป็นต้นมา
สังคมไทย ใช้การบวชเป็นเครื่องมือในการพัฒนาและกล่อมเกลากุลบุตรให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ คือเป็นคนดีมีหลักธรรมประจำใจเพื่อใช้ในการดำเนินชีวิต ได้ฝึกปฏิบัติพัฒนาจิตให้เป็นคนคิดดีมีทักษะด้านการจัดการอารมณ์ สามารถที่จะข่มใจและมีความสุขุมเยือกเย็น เพื่อที่จะมาเป็นหัวหน้าครอบครัว และเป็นสมาชิกที่ดีของสังคม
ผู้เฒ่าหลายท่านเล่าให้ฟังในทำนองเดียวกันว่า สมัยก่อนนั้น วัดเป็นสถานศึกษาสำคัญที่สุดของชุมชน บางครั้งพ่อแม่ส่งไปอยู่กับหลวงลุงในเมืองเพื่อจะได้ศึกษาเปรียญธรรม บางรูปมีความสามารถกลับมาเป็นเจ้าคณะปกครองในท้องถิ่นตัวเอง และได้มีโอกาสในการส่งเสริมการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี บางคนลาสิกขาไปแล้ว ก็สามารถทำหน้าที่เป็นผู้นำที่ดีให้กับครอบครัวและชุมชนได้ นั่นคือยุคที่ยังยกย่องคนดีที่มีวัตรปฏิบัติงดงาม ตรงข้ามกับปัจจุบันที่แค่ดีแต่ไม่มีเงิน จะเดินอย่างสง่าผ่าเผยไม่ได้เหมือนเมื่อก่อน จะต้องมีทรัพย์หรือยศสูง ถึงจะได้รับเกียรติอย่างสมศักดิ์ศรี มีคนนับหน้าถือตา
การบวช ยังเป็นการสร้างโอกาสให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมด้วยการเรียนรู้ เรียกได้ว่า เป็น “transformative learning” คือ การเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง หรือจะเรียกว่า เป็นการพัฒนาให้เกิดการเติบโตทางจิตใจ (Mental growth) มีหลายกรณีให้ศึกษา
พระอาจารย์บางรูปเปิดเผยถึงอดีตที่เคยสร้างวีรกรรมทำเรื่องเดือนร้อนทั้งต่อตนเองและครอบครัวมากมาย เมื่อได้มาบวชตามประเพณีโดยที่ยังไม่รู้อะไรมากนัก แต่พอได้เรียนรู้และฝึกปฏิบัติเพียงแค่พรรษาเดียวเปลี่ยนนักเลงให้กลายเป็นนักธรรม และดำรงตนเป็นสงฆ์ที่สอนวิปัสสนาจนปัจจุบัน ก็ถามท่านอยู่ว่า “จะมีกรณีแบบพระอาจารย์สักกี่คนกัน?”
ท่านเปรียบเทียบว่า เหมือนกับการ่อนทอง หรือขุดหาเพชร กรวดดินเราก็ทิ้งไป ตราบใดที่ทองยังอยู่ใต้ดิน ขุดยังไงก็ต้องเจอดินก่อน พระก็เหมือนกัน ตราบใดที่พระยังต้องมาจากคน เราก็ต้องเจอกับคนที่มีกิเลสที่ยังต้องฝึกเป็นธรรมดา เจอไม่ดีก็สอนเขาให้เป็นคนดี นี่คือหน้าที่ของพระอุปัชฌาย์
ร่อนทอง ก็คือ การร่อนดินหินทรายออกจากทองก็ต้องมองหาทองจากดินนั่นแหละ แล้วก็ค่อยๆ ร่อนไป ถ้าร่อนแล้วไม่เจอ ก็แค่ตักมาร่อนใหม่ เจอก้อนเล็กๆ ก็สะสมไว้จนกระทั่งเป็นทองก่อนใหญ่ขึ้นมา
จากที่ได้รับข้อมูลทำให้นึกถึง พระองคุลีมาล ที่แม้จะร้ายกาจในอดีตแต่เมื่อได้บวชแล้วกับกลายเป็นดี การบวชจึงเป็นการเปิดโอกาสให้คนได้เรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงภายใน ส่วนจะมากหรือน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยของแต่ละวัดและแต่ละคน ซึ่งปัจจุบันนี้หลายคนก็มุ่งแต่จะกลั่นกรองผู้ที่จะเข้ามาบวช ทำให้บางครั้งก็มีขั้นตอนเยอะแยะและใช้เวลาหลายวันกว่าจะรู้ว่าตนเองจะบวชได้หรือเปล่า
อีกทั้งบางแห่งยังต้องกำหนดทั้งวันบวชและวันสึกไว้ด้วย ถ้าเกิดบวชแล้วพบสัจจะหวังละทางโลกขอบวชศึกษาต่ออีกสักหน่อย ก็จะเป็นเรื่องยากแล้ว แต่ก็อยากจะเปิดกว้างๆ ให้มองกันไกลๆ สักหน่อยว่า เป็นไปได้ไหมที่เราจะผ่อนปรนเงื่อนไขให้กระชับมากขึ้น แล้วมาปรับกระบวนการอบรม หรือกล่อมเกลาเขาหลังจากบวชแล้วให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นระยะสั้นระยะยาว เพื่อให้การบวชเป็นประโยชน์สูงสุด และยังสามารถทำหน้าที่สร้างบุคลากรที่ดีให้กับสังคมต่อไป
ผู้เขียนได้มีโอกาสจัดกระบวนการเรียนรู้ด้วยกิจกรรมให้กับพระสงฆ์ ซึ่งส่วนใหญ่บวชตามประเพณี เพื่อรับฟังและร่วมแบ่งปันเรียนรู้ความรู้สึกและมิติความคิดเกี่ยวกับการบวชและการดำรงตนเป็นสงฆ์ พบว่า แต่ละรูปนั้น มีที่มาหลากหลายจากชุมชนรอบๆ วัด บางรูปเคยบวชเณรภาคฤดูร้อนเมื่อตอนเป็นเด็กแล้วเกิดแรงบันดาลใจอยากกลับมาบวชอีกครั้ง
มีอยู่รูปหนึ่งลายสักตามตัวและแขนบ่งบอกอะไรได้เยอะสำหรับที่มา แต่พยายามจะไม่ตัดสินเพียงเพราะสิ่งที่ตาเห็น เมื่อให้โอกาสท่านได้สะท้อน น้ำตาหลั่งรินบอกว่า คำที่ทำให้ให้ผมได้บวชก็คือ ความดี ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยทำดีกับเขาเลยสักครั้ง ชีวิตมีแต่เรื่องเลวๆ หลวงพ่อเจ้าอาวาสก็เห็นผมแล้วบอกว่า ต้องทำความดีนะ แล้วเมตตาให้ผมได้บวชตอนอายุปานนี้แล้ว
“ แรกๆ ขี้เมาในซอยก็แซวผมทุกวันตอนบิณฑบาต แต่ตอนนี้เขายกมือไหว้และใส่บาตร ผมภูมิใจมาก ผมบวชตอนแก่เรียนธรรมะก็ไม่ค่อยรู้เรื่องได้พระอาจารย์ผู้สอนเมตตาอธิบาย แม้จะไม่รู้มากแต่ท่านให้จำไปสักข้อเพื่อใช้ก็พอ ผมก็พยายามทำอยู่”
ส่วนใหญ่ของพระที่บวชตามประเพณี มีเป้าหมายเพื่อพ่อแม่หรือผู้มีพระคุณ เป็นการแสดงออกถึงความเป็นผู้มีกตัญญูกตเวทิตาธรรม มีรูปหนึ่งเล่าให้ฟังว่า บวชให้แม่ ตั้งใจว่าจะบวช ๑ พรรษา แต่พอได้เรียนและปฏิบัติรู้สึกมีความสุขที่ได้อยู่เป็นพระ ได้ทำประโยชน์หลายๆ อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน จึงอยู่ต่อเรื่อยมา ซึ่งก็คล้ายๆ กับหลายรูปที่ตั้งใจบวชระยะสั้น แต่ว่าค้นพบบางอย่างจึงอยากเดินบนเส้นทางนี้ต่อ มีบางรูปที่อยากอยู่ต่อแต่ว่า ติดบ่วงพันธะผูกพันทำให้ไม่สามารถจะอยู่ได้นานเกินกว่าที่กำหนดไว้ได้
การบวช มีเป้าหมายเพื่อการละเว้นจากความเป็นฆราวาส และใช้ช่วงชีวิตขณะนั้นปฏิบัติพัฒนาใจตนเอง เรียนรู้หลักธรรมอันจำเป็นต่อการดำเนินชีวิตให้ถูกต้องดีงามตามวิถีพุทธ ลดทุกข์เพิ่มสุขให้กับชีวิตและเติมเต็มบารมี เพราะถือเป็นการบำเพ็ญเนกขัมบารมีอีกอย่างหนึ่ง แม้จะเป็นการบวชระยะสั้น แต่ถ้าตั้งใจปฏิบัติฝึกหัดดัดตนอานิสงส์ผลที่ดีย่อมเกิดขึ้นแน่นอน ทั้งต่อตนเอง บิดามารดาผู้มีพระคุณ และพระพุทธศาสนา
น่าจะมีการศึกษาว่า จะทำอย่างไรให้การบวชระยะสั้นเกิดประสิทธิผลมากที่สุด เพื่อเป็นแนวทางในการส่งเสริมและพัฒนาให้ดีขึ้นต่อไป
และที่สำคัญนโยบายของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องจะส่งเสริมวัฒนธรรมอันดีงามนี้ของสังคมไทยเราต่อไปอย่างไร แม้การพัฒนาด้านวัตถุจะจำเป็นและเห็นผลของการลงทุนชัดเจนกว่า แต่การพัฒนาด้านจิตใจก็เป็นสิ่งจำเป็นและคงจะต้องพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นต่อไปคู่กับการพัฒนาด้านอื่นๆ