การเดินทางครั้งใหม่ของบาตรเดียวท่องโลก

ท่องไปใน “เบลเกรด” ประเทศเซอร์เบีย

เรียนรู้ความสงบภายในใจ หลังสงครามที่ผ่านมากว่า ๒๐ ปี กับ พระพิทยา ฐานิสสโร

โลกรอดได้ เพราะเข้าใจกันและกัน

โดย พระพิทยา ฐานิสสโร

สามีภรรยาชาวเซอร์เบียท่าทีอ่อนโยน อ่อนน้อมถ่อมตน ยืนไหว้รอรับพระตรงทางออกจากประตูในสนามบินเบลเกรด ขณะนั่งรถจากสนามบินเบลเกรด ซึ่งเป็นสนามบินแห่งเดียวของสาธารณรัฐเซอร์เบีย ไปยังวัดพุทธที่พระอาจารย์ชาวพม่าเป็นผู้ก่อตั้ง ผ่านตึกรามบ้านช่องเก่าๆ มากมาย ถนนสายเล็กๆ สองเลนส์ที่ไม่มีเส้นแบ่งตรงกลาง ปากทางเข้าวัดเป็นถนนลูกรัง ทำให้นึกถึงเมืองไทยในชนบทเมื่อ ๒๐ ปีที่แล้ว

ชีวิตชนบทที่เรียบง่ายยังมีให้เห็นอยู่ทั่วไปในประเทศแห่งนี้ ประเทศที่ผ่านสงครามมาหลายต่อหลายครั้ง แม้สงครามครั้งล่าสุดเมื่อ ๒๐ ปีที่แล้ว เพราะว่าอาจเป็นเมืองป้อมปราการที่เข้าสู่เมืองสำคัญๆ และเกิดจากความขัดแย้งผลประโยชน์ทางการเมืองจากหลายสาเหตุ หลายปัจจัย เมื่อต้องผ่านความทุกข์ยากลำบากมานับครั้งไม่ถ้วน เมื่อใดที่เกิดภาวะสงบ จิตใจย่อมเป็นสุขอย่างที่สุด เมื่อไม่เจอทุกข์แสนสาหัส หลายชีวิตยากจะรู้ว่าความสงบสุขมหัศจรรย์เช่นไร

ประชากรที่อาศัยอยู่ในประเทศนี้ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพมิได้มีรายได้สูงต้องประหยัดกันเกือบทุกด้าน แต่ก็โชคดีที่ไม่มีความเจริญทางวัตถุมากจึงไม่มีสิ่งล่อตาล่อใจให้เพิ่มกิเลสแห่งความอยากมากตามไปด้วย ผู้คนจำนวนมากที่เรียกร้องโหยหาวิ่งไล่ล่าความเจริญทางวัตถุนั้นเพื่ออยากเท่าเทียมกับประเทศอื่น โดยเฉพาะในแถบทวีปยุโรปด้วยกันทำให้หลายชีวิตเลือกที่จะอพยพไปยังประเทศใกล้เคียงที่มีรายได้ดีกว่า เพื่อก้มหน้าก้มตาทำงานแทบไม่ได้พัก เพื่อหาเงินเก็บหอมรอมริบส่งให้ทางบ้าน ด้วยความหวังว่าจะได้กลับมาใช้ชีวิตในวัยเกษียณอายุที่บ้าน ถ้าโชคดีที่ยังมีชีวิตอยู่

ร้านกาแฟมีชื่อที่คนไทยหลายคนนิยมเพิ่งเปิดสาขาแรกตรงใจกลางเมืองเบลเกรดผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างยืนรอแถวเพื่อซื้อกาแฟนั้น

      เราส่วนใหญ่โดนนักธุรกิจพ่อค้าที่มีความฉลาดมากกว่าหลอกให้หลงเชื่อตามคำโฆษณาและยอมจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อได้ครอบครองบริโภคใช้สอยสินค้าที่ถูกสร้างขึ้นมาทำให้เรารู้สึกมีคุณค่ามีความสำคัญเป็นที่ยอมรับ เมื่อได้ดื่มเสพใช้บริโภคอุปโภคสินค้าเหล่านั้น แต่เราไม่เคยตระหนักเลยว่า คุณค่าที่แท้ต้องเริ่มจากความคิด คำพูด การกระทำของเรา เพราะมันคือตัวตนที่แท้จริงของเรา

เมื่อใดที่เราหลงยึดติดเสพติดในคุณค่าเทียมที่ถูกสร้างขึ้นด้วยวัตถุเข้าของเครื่องใช้ที่อยู่อาศัยการเสริมเติมแต่งรูปกายที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ หรือการสมมติใดๆ จากสิ่งภายนอกเราจะทำให้ชีวิตของเราและคนรอบข้างเหนื่อย ดิ้นรน หาความสงบสุขไม่ได้อย่างไม่รู้จักจบสิ้นเพราะความนิยมหลงใหลพอใจในแต่สมัยเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เราจึงต้องเปลี่ยนตัวเองตามความนิยมนั้น เพราะเราได้สร้างสั่งสมการไม่มั่นใจ และพอใจยอมรับในสิ่งที่ตนเองเป็นอยู่

เราถูกสร้างความกลัวลึกๆ ภายในใจมากขึ้นจากโฆษณาชวนเชื่อ ละครทีวี ข่าวสารแบบไม่รู้ตัว ทำให้ขาดความมั่นใจ ถ้าไม่มีไม่เป็นไม่ได้ เหมือนสิ่งที่สังคมแห่งโลกมายาสมมติขึ้นมาเพื่อหลอกเรา และเราจะหมดอิสรภาพทันทีเมื่อรู้ไม่เท่าทันมันทั้งหลาย ทำให้เราพลาดที่จะเข้าถึงความจริงแห่งชีวิต ต้องวนเวียนอยู่ในวังวนแห่งความทุกข์ที่ถูกหลอกล่อด้วยความเพลิดเพลินมัวเมาแต่ไร้ซึ่งความสงบ

มนุษย์พยายามที่จะศึกษาค้นคว้าวิจัยทดลองสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ให้กับโลกใบนี้ ส่วนหนึ่งเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เพื่อให้ได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น อีกส่วนต้องการควบคุมธรรมชาติตามความคิดตามความเห็นในแต่ละช่วงชีวิตที่ต่างกัน เป็นที่น่าเสียดายที่บุคคลเหล่านั้นใช้เวลาจำนวนมาก บางคนใช้เกือบเวลาทั้งชีวิตกับความรู้ที่พยายามศึกษาวิจัยและพัฒนาเพื่อสนองความอยากรู้อยากเปลี่ยนแปลงอยากให้มีความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุและเทคโนโลยี แต่เขาเหล่านั้นส่วนมากไม่ได้ทำให้ตัวเองได้พบความสุขสงบมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ที่ร้ายแรงยิ่งกว่ากลับได้รับความทุกข์ความเครียดกลุ้มใจมากกว่าเดิม

     การมีน้อยใช้น้อยเป็นหนทางรอดแก่ทุกสรรพชีวิตรวมทั้งโลกใบนี้ เนื่องจากเหตุที่โลกร้อนขึ้นๆ อย่างน่ากลัวเพราะเราส่วนใหญ่ดำเนินชีวิตอย่างขาดความตระหนักรู้ ใช้ความอยากนำหน้าเป็นนายของการใช้ชีวิต เมื่อเวลาไม่มีจิตใจจึงทุรนทุรายหาความสงบไม่ได้ จิตใจแต่ละคนบอบบางหวั่นไหวไม่มีความอดทน อยู่นิ่งๆ ตามลำพังยากเหลือเกิน ต้องมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งทำให้จิตวุ่นอยู่เสมอ

 ความสะดวกสบายเจริญก้าวหน้าทางวัตถุและเทคโนโลยีพร้อมจะกระชากจิตใจของมนุษย์ให้สูญเสียความสุขในปัจจุบันขณะ เพราะจิตใจที่เสพติดความสะดวกสบายรวดเร็วทันสมัยจะทำลายฐานแห่งความอดทน ขาดความสำนึกบุญคุณ ไม่มีความอ่อนน้อมถ่อมตนและไร้การปล่อยวาง

ใครที่เสพติดความสะดวกสบายมาตลอดจึงยากที่จะมีความสงบสุขในจิตใจเมื่อไม่ได้ตอบสนองดังความอยากความต้องการ และจะถูกแปรเปลี่ยนเป็นความไม่พอใจความโกรธความเกลียดชังรังเกียจอาจถึงอาฆาตใช้กำลังอำนาจที่เหนือกว่าทำร้ายทำลายสิ่งหรือบุคคลที่เป็นเหตุให้ไม่ได้ดังใจอยาก

ทั้งที่ปัญหาต่างๆ มากมายที่เพิ่มมากขึ้นในหลายๆ มิติในเกือบทุกที่ของมุมโลก มาจากสาเหตุแห่งความยึดมั่นถือมั่น ความอยากได้อยากมีอยากเป็นจนขาดความยับยั้งชั่งใจขาดการไตร่ตรองใคร่ครวญไร้ความเคารพนับถือไร้ความซื่อสัตย์เห็นแก่ตัว เห็นแก่ประโยชน์ตน และพวกพ้อง สามารถทำลายทำร้ายทรัพยากรธรรมชาติเพื่อให้ตนและพวกพ้องได้เป็นเจ้าของครอบครองอำนาจความยิ่งใหญ่ กำจัดผู้อื่นที่ขัดผลประโยชน์

แท้จริงแล้วการทำร้ายผู้อื่นก็คือการทำร้ายตัวเอง เราทำร้ายตัวเองในทุกระดับตามอำนาจหน้าที่สมมติแบบเราไม่รู้เพราะสิ่งทั้งหมดที่มีที่เป็นที่ได้มา ได้ทำลายความเมตตากรุณา ทำลายความพอดีพอเพียงในจิตใจของตนเอง ใจที่หิวโหยและกลัวอยู่ตลอดเวลาจะสงบสุขได้อย่างไร แม้อาจสะดวกสบายในทุกด้านก็ตามที

       ตราบใดที่เราไม่เห็นคุณค่าในตัวเองและสิ่งรอบข้าง เราจะไร้ความเคารพสำนึกบุญคุณ เป็นเหตุให้เรายากที่จะสัมผัสสุขสงบแท้ในตัวเอง และไม่สามารถขอบคุณสิ่งที่เกื้อกูลต่อเรา เป็นเหตุปัจจัยให้ดำรงอยู่การดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่ายพอเพียงอย่างมีสติเป็นไปได้ยาก

หากทว่า เมื่อใจมีสติจะสร้างความพอดีแห่งการมีชีวิต ความสุขเล็กๆ อย่างเข้าใจความจริงแห่งชีวิตจากการเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปไม่ยึดติดครอบครองจะปรากฏได้อย่างสม่ำเสมอไม่ว่าโลกและคนในโลกจะเป็นเช่นไร จิตใจที่ปล่อยวางได้จะไม่แบกเรื่องใดๆ ในโลกไว้ให้เจ็บปวด

ชีวิตที่เรียบง่าย เป็นความสุขพร้อมการเคารพ

อยู่อย่างพอเพียง เกิดจากจิตใจที่เพียงพอ

โลกจะรอดได้ เพราะเข้าใจกันและกัน

“โลกรอดได้ เพราะเข้าใจกันและกัน”

จากคอลัมน์ฺ บาตรเดียวท่องโลก โดย พระพิทยา ฐานิสสโร

หน้าธรรมวิจัย นสพ.คมชัดลึก วันอังคารที่ ๒ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๖๒

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here