ถ้าแม่รักเขาแม่ก็ต้องรักลูก
เขียนโดย พระมหาประสิทธิ์ ญาณปฺปทีโป
ประธานกลุ่มเพื่อชีวิตดีงาม สำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และความมั่นคงแห่งสถาบันชาติ พระศาสนา พระมหากษัตริย์ วัดสระเกศ
สมัยก่อนมีวลีหนึ่งได้ยินบ่อยมากว่า “love me love my dog” ตอนนั้นผู้เขียนเข้าใจว่าเขาคงจะชอบเลี้ยงหมากัน แต่จริงๆ สำนวนนี้มีความหมายลึกซึ้งมากขึ้นตามประสบการณ์และวุฒิภาวะของเรา มันคือคำสะท้อนให้เห็นว่า
“ถ้ารักฉัน ขอให้รักความเป็นตัวฉัน
และสิ่งที่อยู่รอบๆ ตัวฉันด้วย”
เพราะบางอย่างอาจจะดูไม่มีความหมายสำหรับบางคนแต่กับอีกคนนั้นสำคัญยิ่ง เช่น ไม้คานเก่าๆ ที่ยายแขวนไว้บนผนัง คนเป็นหลานอาจคิดว่า “ก็แค่ไว้คานเก่า” แต่สำหรับยายแล้วนี่คือ จุดเริ่มต้นของทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ทุกวันนี้
แต่พอมายุคนี้ผู้เขียนอยากให้มีสำนวนว่า “love me love my baby” เพราะว่าข่าวทำร้ายเด็กทั้งที่เป็นลูกตัวเอง และลูกเลี้ยงมีออกมาให้เห็นบ่อยเหลือเกิน ทุกครั้งที่ได้ยินได้ฟังก็รู้สึกสะเทือนใจว่าทำไมจิตใจของคนถึงเป็นแบบนี้
เคยอ่านเจอในหนังสือเขาบอกว่า ลิงบางชนิดเมื่อได้เป็นจ่าฝูง จะพยายามฆ่าหรือทำร้ายลูกของลิงตัวเมีย ถ้าตั้งครรภ์อยู่ก็จะร้ายจนแท้ง เป็นสัญชาติญาณของสัตว์ที่ต้องการให้ลิงตัวเมียนั้นผสมพันธุ์กับตัวเองและให้เลี้ยงลูกตัวเองเท่านั้น ทางวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเราวิวัฒนาการมาจากลิง เป็นไปได้หรือไม่ที่สัญชาติญาณดิบนี้ยังไม่สิ้นไป
ผู้หญิงคนหนึ่งครองตนเป็นโสดมานานหลายปี ใครมาจีบไม่ว่าจะแสนดีแค่ไหนก็จะไม่ยินดีที่จะแต่งงานด้วย ทำให้พยายามที่จะตีตัวออกห่างหากมีใครมาสานสัมพันธ์ แม้จะรักแค่ไหนแต่ก็จะไม่ให้ใกล้ไปกว่านี้ สิ่งที่ซ้อนลึกอยู่ในหัวใจมันเร้นลับเกินกว่าจะเล่าให้ใครฟังได้
แต่เมื่อเธอได้เรียนรู้การปฏิบัติวิปัสสนา การเจริญเมตตาภาวนา ความรู้สึกโปร่งโล่งใจเกิดขึ้น ภาพอดีตที่เคยกีดกันกดดันให้เธอขื่นขมมานานหลายปี ได้มลายหายไป เหลือเพียงความรู้สึกให้อภัยกับอดีต และมองชีวิตในอนาคตอย่างสว่างไสวมากขึ้น
เธอเผยความในใจว่า เธอกับแม่อยู่กับพ่อเลี้ยงตั้งแต่เด็กเพราะพ่อกับแม่แยกทางกัน พ่อเลี้ยงกินเหล้าเมาและมักจะทำร้ายแม่และตัวเธอเอง ในช่วงมัธยมต้นนั้นเธอได้ไปซื้อมีดเล่มหนึ่งมาพร้อมทั้งซ้อมแทงกับต้นกล้วย หมายว่าวันหนึ่งหากสถานการณ์เป็นใจ เธอกะจะไม่ให้เหลือลมหายใจมาทำร้ายเธอและแม่ได้อีก มันฝังลึกอยู่ในจิตใจจนไม่วางใจในผู้ชายคนใดในโลกใบนี้ได้อีก
เมื่อสามารถคลายใจจากปมในอดีตได้บ้างแล้ว เธอกล้าที่จะไปพูดกับพ่อเลี้ยง ให้อภัยและขอโทษพร้อมทั้งผลักดันให้พ่อแม่เลิกเหล้า เลิกอบายมุข ก้าวสู่เส้นทางแห่งธรรม
ผู้เขียนรับรู้เรื่องราวชีวิตที่ปวดร้าวของหลายคนที่ถูกกระทำทั้งจากพ่อแม่ตนเองและคนอื่น รอยแผลเหล่านั้นยากเหลือเกินที่จะสมานหรือแม้แต่บรรเทาความเจ็บลึกสุดใจ บางคนประชดชีวิตปฏิเสธสังคม แต่ก็มีบางคนที่ก้าวข้ามผ่านพ้นมาได้ แล้วใช้อดีตที่ผิดพลั้งมาเป็นพลังให้ก้าวไป
คนที่ผ่านพ้นเรื่องราวเหล่านั้นมาได้ ล้วนแล้วแต่มีความอดทนประจำใจ ไม่ใช่ความอดกลั้นแต่มันคือความอดยับยั้งชั่งดูว่าแท้จริงคืออะไร พร้อมทั้งทนเพื่อที่จะพยายามพาตนเองให้ผ่านพ้นความรู้สึกขื่นขมนั้นไปให้ได้ และต้านทานหากมีสิ่งใดที่จะเข้ามาย่ำเหยียบให้ความรู้สึกเลวร้ายลงกว่าเดิม
ความพยายามที่จะเอาชนะความรู้สึกร้ายๆ เหล่านั้นทำให้ผู้เขียนระลึกถึง ภาษิตบทหนึ่งที่ว่า “ขันติเป็นเครื่องเผากิเลสอย่างยิ่ง” หมายถึง ความอดทนไม่ยอมให้ใจไหลไปตามกิเลส ที่จะพาจิตให้คิดเศร้า เป็นเครื่องขจัดขัดเกลาให้ความเขลาหมองหม่นของกิเลสอันเป็นเหตุทุกข์นั้น ให้สิ้นสลายหายไป
แนวโน้มพฤติกรรมของคนที่ประคองตนด้วยขันติ จะตริตรองก่อนที่จะทำอะไรลงไป เพราะสามารถที่จะระงับชะลอความแรงของอารมณ์ต่างๆ ได้ การที่เราจะรับใครมาดูแลอยู่ใกล้ลูกของเรา บางทีอาจจะต้องดูให้ดีว่า เขาคนนั้นมีความอดทนต่อเด็กมากแค่ไหน เข้าใจธรรมชาติของเด็กมากแค่ไหน แต่บางทีคนที่ควรจะมีความอดทนอย่างหนักแน่นก็คือตัวแม่ของเด็กเอง เพราะไม่มีใครทำให้ลูกเจ็บปวดได้เท่าแม่ พอๆ กับไม่มีใครเยียวยาจิตใจลูกได้ดีเท่ากับแม่
ถ้าแม่รักเขาแม่ก็ต้องรักลูกตัวเองด้วย
“love him love your baby”
ถ้าแม่รักเขา แม่ก็ต้องรักลูก เขียนโดย พระมหาประสิทธิ์ ญาณปฺปทีโป จากคอลัมน์ โชคดีที่มีพระ หน้าพระไตรสรณคมน์ นสพ.คมชัดลึก วันพฤหัสที่ ๘ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๐