“จิตคิดนอกกาย”
โดย พระครูสมุห์สุพัฒน์ อนาลโย
ปัญหาความวุ่นวายทั้งใจและกายในสังคมปัจจุบันนี้ ไม่ว่าจะเป็นคู่สามีภรรยาคิดนอกใจกัน ปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศเด็กและผู้หญิงที่ออกตามข่าวสารในแต่ละวัน
เห็นแล้วสะเทือนใจคนทุกวันนี้ ยิ่งก้าวสู่โลกแห่งความเจริญก้าวหน้ายิ่งละเลยความดีศีลธรรมขาดหายไปหมด เพราะการเจริญทางวัตถุอำนวยความสะดวก อาจจะเผลอเรอความขี้เกียจ ความเห็นแก่ตัว ความโลภ ความโกรธ ความหลง อิจฉาริษยาเข้ามาครอบงำจิตใจได้
ความเจริญก้าวหน้ามันดีไหม … คำตอบคงจะเหมือนกันทั้งหมดว่า “ดี” ส่วนผู้เขียนก็ไม่เคยปฏิเสธเรื่องความเจริญทางวัตถุ ความคิดส่วนตัวคือ ความเจริญทางด้านวัตถุควรมีขอบเขตของธรรมกำกับไว้ด้วยจะส่งผลดีต่อตนและผู้อื่น
ธรรมข้อหนึ่งที่สามารถช่วยเราได้จากปัญหาดังกล่าวเบื้องต้นนั้นนั่นคือ
“ความซื่อสัตย์หรือมีสัจจะ”
หมายความว่า จริงใจ ซื่อตรง เข้าอกเข้าใจ เอาใส่กันและกัน เอาใจเขามาใส่ใจเรา ไม่หลอกลวง จงรักภักดี ให้เกียรติ เคารพ นี้เป็นขอบข่ายที่จะทำให้อยู่ด้วยกันได้อย่างมีความสุขระหว่างคนสองคน
สาระสำคัญจะให้ทุกคนเป็นไปได้ดั่งใจตนทุกคนคงเป็นได้ยาก แต่สิ่งที่ง่ายกว่าคือ “ให้เราปรับจิตปรับใจให้เข้ากับเขาจะง่ายกว่าที่ให้เขามาเป็นดั่งใจตนเสียอีก”
เคยได้ยินแต่คำว่า “คิดนอกใจ” ครั้งนี้มาดูว่า “จิตคิดนอกกาย” เป็นอย่างไรบ้าง ?
จิตคิดนอกกาย คือ ความคิดที่คิดไม่ซื่อสัตย์ต่อกายของตน ร่างกายนี้ ลองสังเกตถามตนว่า วันหนึ่งๆ เราเคยคิดที่เอาจิตมาเฝ้าดูกายอย่างมีสติแบบจริงจังบ้างไหม หรือมีความรู้สึกตัวจริงๆ ที่กายหรือยัง
ส่วนมากเราใช้จิตคิดเรื่องคนอื่นมากมาย เช่น เรื่องสามีภรรยาไปกับใคร หึงหวงจนเกินเหตุ จนตนกลับมาทุกข์ใจเอง เรื่องลูก เรื่องหน้าที่การงาน เป็นต้น
ทั้งหมดทำให้ตนเองทุกข์ใจ เพราะความคิดออกนอกกาย คิดไปหากายอื่น (แบกสังขารหรือขันธ์ ๕ ตนยังหนักไม่พอ ต้องดิ้นรนไปแบกสังขารคนอื่นเพิ่มขึ้นก็ยิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากจิตขาดความซื่อสัตย์ต่อกายสังขารตน)
ภาษาบ้านๆ คือ “ตนเองยังดูตัวเองไม่ได้ ยังไปรับเอาคนอื่นมาดูแลเป็นภาระหน้าที่เพิ่มขึ้นอีก ”
การไม่ให้จิตคิดนอกกายด้วยวิธีการฝึกฝนจิต โดยรูปแบบการเจริญสติสัมปชัญญะ ความรู้สึกตัว ให้สังเกตดูที่กายเคลื่อนไหวรู้ที่อาการการเคลื่อนไหวของกาย
ความคิดที่คิดมากจนหนักปวดหัว ไปยึดมั่นในความคิดว่าเป็นจริงเป็นจัง
เราให้ความสำคัญกับเรื่องความคิดที่เป็นทุกข์ยิ่งทุกข์ ยิ่งแบกยิ่งหนัก หนักความคิด คิดหนัก ไม่ปล่อยความคิดยิ่งหนัก จากหนึ่งกลายเป็นสอง สามวัน ไปเรื่อยๆ จนกว่าจิตมันจะปล่อยวาง เรื่องนี้ หรือเปลี่ยนให้ความจิตนี้ไปทำเรื่องใหม่บ้าง อย่าจมปักกับความคิดเดิมๆ แล้วมันก็จะคลายจากความคิดเรื่องเก่านั้น
เมื่อคลายจากเรื่องความคิดที่ทุกข์ใจแล้ว พยายามประคับประคองจิตที่เป็นปกติสุขสบายใจใจเบาโล่งไปเรื่อยๆ แต่จิตจะมีขึ้นมีลง คิดดีบ้าง คิดไม่ดีบ้าง เฉยๆบ้าง มันเป็นปกติของธรรมชาติของจิต เราเป็นเพียงผู้รับรู้มันเฉยๆ ไม่เข้าไปยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเราเป็นเขา เพียงแค่รู้อาการของจิตที่เกิดขึ้น รู้สึกตัวมากๆ ไปเรื่อยๆ
ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท หากมีการลืมเนื้อลืมตัว ขาดสติแล้วสามารถทำผิดได้อย่างไม่เกรงกลัวต่อบาปเพียงแค่เสี้ยววินาที สิ่งที่ทำไปอาจจะเปลี่ยนชีวิตให้ตกต่ำได้ เพราะความเผลอเลอขาดสตินั้นเอง
ดังนั้น ความคิดนอกกาย รู้ว่าคิดนอกกายแล้ว ปล่อยมันไปกลับมารู้สึกตัวที่กาย ตีที่ขาเบาๆ บ่อยๆ ครั้ง รู้สึกตัวไปด้วย หรือกลับมาดูลมหายใจเข้าออกเบาๆ ที่กายของเรา แล้วสติ ความรู้สึกตัว ก็จะกลับมาที่กายนี้
จิตคิดนอกกาย โดยการดึงจิตกลับมาด้วยตัวสติหรือความรู้สึกตัวเบาๆ ที่กาย ให้ประสานกายใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ให้จิตซื่อสัตย์ต่อกาย ใจสั่งให้กายทำดีกายก็ทำตามที่ใจสั่งควบคู่กันไป จะเดินไปด้วยกันควบคู่กันไปฉันและเธอ
สุดท้ายถึงเวลาแยกทางกันคือตาย หรือดับ ก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามกฎของธรรมชาติที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปเป็นธรรมดาเท่านี้เอง
“จิตคิดนอกกาย”
โดย พระครูสมุห์สุพัฒน์ อนาลโย
คอลัมน์ ธรรมลิขิต (หน้าธรรมวิจัย นสพ.คมชัดลึก วันอังคารที่ ๒๙ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๖๒)
“การไม่ให้จิตคิดนอกกายด้วยวิธีการฝึกฝนจิต โดยรูปแบบการเจริญสติสัมปชัญญะ ความรู้สึกตัว ให้สังเกตดูที่กายเคลื่อนไหวรู้ที่อาการการเคลื่อนไหวของกาย”
โดย พระครูสมุห์สุพัฒน์ อนาลโย ผู้เขียน