จาริกธรรมในอเมริกา (ตอนที่ ๓๗)
ชีวิตที่ดี ให้พอดี กับชีวิต
โดย พระครูสมุห์สุพัฒน์ อนาลโย
ว่ากันว่า ชีวิตมีแรงยังมีงาน พอหมดแรงก็หมดงาน หรือหมดงานก็หมดแรง
ผู้เขียนนั่งอยู่ใต้ร่มไม้เย็นสบายกายสบายใจลมพัดเย็นดีตามธรรมชาติมีแสงแดดอ่อนสอดส่องแสงน้อยใหญ่ระยิบระยับสลับกันไปมา
โอ้ ต้นไม้เป็นธรรมชาติที่ให้ความร่มเย็นแก่คนและสัตว์ได้พักพิงอาศัยอยู่และพักผ่อนหย่อนใจ
เราอาศัยธรรมชาติของต้นไม้ และต้นไม้ก็อาศัยคนดูแลให้เจริญเติบโตเหมือนกัน โดยอาศัยแมลง หรือ นกนำเกสร และเมล็ดไปขยายพันธุ์ในที่อื่นตามความเหมาะสม แล้วแต่ลมจะพัดพา หรือนกและแมลงจะบินไปถึงที่นั้นๆ
มาดูชีวิตมนุษย์เราบ้างเป็นอย่างไร
เมื่อเพลิดเพลิน หลง และไหลไปกับชีวิตจนหลงลืมวัย จนไม่เหลืออะไรไว้ นอกจากความทรงจำที่เป็นอดีตไว้ชื่นชมไปวันหนึ่งๆ แต่ความเป็นจริงมีเพียงแค่เราคนเดียวเท่านั้น
ครั้งที่มีเรี่ยวแรงทำงานมีผู้คนมากมายที่มาพบปะสังสรรค์ บางคนเข้ามาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ หมดประโยชน์ก็ปล่อยทิ้งไป
บางคนมาเพื่อเป็นกัลยาณมิตรคอยปกป้องช่วยเหลือในยามยาก เจ็บไข้ได้ป่วยคอยเป็นห่วงเป็นใยดูแลประดุจดังญาติพี่น้องคนหนึ่ง
ตอนนั้นเหมือนเรามีความสำคัญมีคุณค่าแอบหลงดีใจ ยินดีในความชื่นชมยกยอปอปั้น ภูมิใจในสิ่งนั้นและมุ่งมั่นทำแต่สิ่งนั้น เพลิดเพลินไปจนไม่คิดถึงอนาคตของตนเองจะเป็นอย่างไรข้างหน้า
สุดท้าย มีแต่เพียงตัวตนเดียวในยามตกทุกข์ได้ยาก ไร้ซึ่งมิตรสหายที่เคยทำงานร่วมกันแม้แต่คนเดียว เห็นหน้าตาได้ยาก
มีตัวอย่าง ยายคนหนึ่งอายุ ๘๘ ปี มีอาชีพเป็นนางพยาบาลขยันทำงานยุ่งกับงานอย่างเดียว
แม้แต่เรื่องคู่ใจคู่รักไม่มีโอกาส ไม่มีเวลาให้ความสำคัญกับเรื่องของความรักระหว่างหนุ่มสาวที่นิยมชมชอบแต่งงานกัน เพื่อมีทายาทลูกสืบทอดวงศ์ตระกูล
แต่ยายท่านนี้ไม่มีเรื่องนี้เลยหรือมีแต่ไม่มีเวลาให้ มีให้แต่กับงานที่ตนทำเป็นอาชีพ
กาลเวลากับความคิดมันไม่เที่ยงแท้ มีการหมุนเวียนเปลี่ยนไปเป็นธรรมดา ทำให้ชีวิตเปลี่ยนวัยอายุกำลังวังชาก็ลดน้อยถอยลง ต้องช่วยเหลือตัวเอง
เพราะตนใช้ชีวิตอยู่คนเดียวไม่มีครอบครัวไม่ได้แต่งงาน เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยก็ดูแลตนเอง จะไปไหนมาไหนต้องขับรถไปเอง จนอายุ ๘๘ ปี คุณยายก็ยังทำงานนางพยาบาลอยู่ทุกวัน
วันหนึ่งคุณยายหกล้มอยู่ที่ทำงาน เดินได้ไม่สะดวก ก็กลับมาพักรักษาตัวฟื้นฟูขาให้หายปกติแล้วจะไปทำงานต่อ เวลาที่อยู่บ้านไม่ได้ทำงานก็เบื่อหน่ายชีวิต เพราะความเหงาเข้ามาสู่จิตใจ
เมื่อทำงานก็ได้พบปะพูดคุยสนทนากับคนป่วยและเพื่อนพยาบาลด้วยกัน ก็แอบภูมิใจในหน้าที่บทบาทของตน ที่ได้ช่วยเหลือคนอื่นสิ่งเล็กๆ นี้แหละที่หล่อเลี้ยงจิตใจให้ยิ้มได้มีความสุข
วันนี้ได้ไปเยี่ยมบ้านโยมวัด ที่มาช่วยเหลือเป็นอาสาสมัครงานของวัด พอดีโยมเขาจะทิ้งเตาที่ย่างบาบีคิวที่ผุพังจึงขอถ่ายรูปไว้
คุณยายที่กล่าวถึงนั้น แกมาเช่าบ้านของโยมวัด ก็เล่าให้ฟังชีวิตของยายน่าสนใจก็เลยได้นำมาเขียนบทความนี้ขึ้นให้ทุกท่านได้อ่าน
ชีวิตเรามันไม่เที่ยงแท้ไม่แน่นอน อย่ารื่นเริงสนุกสนานเพลิดเพลินกับวัย งาน หรือเรื่องราวของบุคคลอื่นมากนัก
เพราะทั้งหมดนั้นมันไม่เที่ยงแท้ เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เหมือนเรานอนตื่นขึ้น ใช้ชีวิต แล้วหลับไป จะหมุนเวียนไปเรื่อยๆ จนกว่าจะไม่มีลมหายใจ
ชีวิตเราก็ไม่ต่างจากเตาย่างบาบีคิวอันผุพังนี้เลย ครั้งแรกก็ใช้งานได้ดีมีประโยชน์ให้กับคนได้อยู่กินดีมีความสุขไปวันหนึ่งๆ ผ่านเวลาไปหลายวันหลายปีก็เสื่อมโทรม สนิมขึ้น ผุพังไปก็หมดราคาไร้ค่า ถูกทิ้งขว้างไปอยู่ที่ควรอยู่ในกองขยะนั้นเอง
ชีวิตเราก็เป็นเช่นนั้นเอง เกิดขึ้น ทำงาน ตายไปสู่ธรรมชาติเหลือไว้เพียงความทรงจำและคุณงามความดีที่ฝากไว้กับโลกใบนี้