จดหมายถึงโยมแม่ใหญ่ ฉบับที่ ๔

(ตอนที่ ๘) “ปรนิมมิตวสวัตตีภูมิ โลกของเทวดาชั้นที่ ๖ “

: เปิดประวัติโพธิอำมาตย์ อดีตชาติพญามาร และต้นกำเนิดบทถวายพรพระ หรือบทพาหุง

: จาก ธรรมนิพนธ์เรื่อง “หลักการทำบุญและปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน” เขียนโดย พระราชกิจจาภรณ์ (เทอด ญาณวชิโร) ในขณะนั้น

ปรนิมมิตวสวัตตีภูมิ  โลกของเทวดาชั้นที่ ๖

สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสสวัตตีภูมินี้  เป็นเทวโลกชั้นสุดท้าย  สวรรค์ชั้นนี้แปลกกว่าชั้นอื่น  เพราะเป็นสวรรค์ที่มีเทพผู้เป็นใหญ่ปกครองอยู่ ๒ ฝ่าย คือ

ฝ่ายเทพยดา  มีเทวาธิราช

ชื่อว่า “พระปรนิมมิตเทวราช”  เป็นผู้ปกครองเหล่าเทพทั้งหลาย

ฝ่ายมาร  มีพญามาราธิรา

ชื่อว่า “ท้าวปรนิมมิตวสวัตตีมาราธิราช” เป็นผู้ปกครองเหล่าเทพฝ่ายมาร

         ปรนิมมิตวสวัตตีมาราธิราช  คนทั่วไปรู้จักกันในนาม  พญาวสวัตตีมาร  เราทั้งหลายล้วนรู้จักมารท่านนี้ดี  ในฐานะพญามารผู้ตามขัดขวางการบำเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้ามาโดยตลอด  จากพุทธประวัติตอนพระพุทธองค์ผจญมาร  ซึ่งกลายมา เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย  ที่คนไทยเรานิยมสร้างกัน  พระองค์มีพญาช้างที่มีกำลังมหาศาล ชื่อ  “ครีเมขล์” เป็นพาหนะคู่ใจ  ว่ากันว่าพญาช้างคลีเมขล์ของพญามารนี้มีพละกำลังมหาศาลกว่าช้าง เอราวัณของพระอินทร์ 

ก่อนตรัสรู้  พระพุทธเจ้าได้ผจญพญาวสวัตตีมารนี้  แต่จะมีใครที่รู้ว่า  พญามารท่านนี้เคยบำเพ็ญบุญมามาก   และได้ตั้งความปรารถนาพุทธภูมิคือ  ตั้งความปรารถนาที่จะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตด้วย

โพธิอำมาตย์ อดีตชาติพญามาร

เมื่อครั้งเกิดเป็นมนุษย์  พญาวสวัตตีมาร  มีชื่อว่า “โพธิอำมาตย์” เป็นอำมาตย์ผู้ใหญ่ของพระเจ้าแผ่นดินพระองค์หนึ่ง  โพธิอำมาตย์ พร้อมทั้งชาวเมือง  ถูกพระเจ้าแผ่นดินห้ามไม่ให้ทำบุญกับพระกัสสปพุทธเจ้า  ถ้าใครขืนทำ  จะมีโทษถึงถูกประหารชีวิต

โพธิอำมาตย์นั้น 

มีศรัทธาอย่างแรงกล้า 

แม้จะถูกประหารชีวิตก็ยอม 

ขอเพียงได้ถวายทานแก่พระกัสสปพุทธเจ้า 

ด้วยมาคิดว่า  การที่พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลกนั้นเป็นเรื่องยาก  การที่จะพบเห็นพระพุทธเจ้านั้นก็เป็นเรื่องยากยิ่ง  และบัดนี้พระพุทธองค์ได้เสด็จมาถึงเมืองที่ตนอยู่  แล้วการมีโอกาสถวายทานแก่พระองค์จึงชื่อว่า  เป็นลาภอันประเสริฐ

โพธิอำมาตย์ จึงยอมสละชีวิต  เพื่อให้ได้ถวายทาน

ด้วยความตั้งใจแม้สละชีวิตก็ยอม  ขอให้ได้ถวายทานแก่พระกัสสปพุทธเจ้า โพธิอำมาตย์  ได้ปรารถนาที่จะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต

ในการทำบุญครั้งนั้น  โพธิอำมาตย์  มีโทษถึงถูกตัดสินประหารชีวิต  หลังจากโพธิอำมาตย์ตายแล้ว  ได้ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี  ปกครองเทพฝ่ายมาร  มีชื่อว่า “ปรนิมมิตวสวัตตีมาราธิราช”  แต่เพราะความที่ท่านยังเป็นปุถุชน  แม้จะไปเกิดเป็นเทพบนสวรรค์ชั้นสูงสุด  ก็ยังมีจิตดีบ้างไม่ดีบ้างปะปนกันไป

เมื่อครั้งพระพุทธเจ้าของเราออกบวช  จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้าก่อนพญาวสวัตตีมาร  จึงเกิดอิจฉาริษยา  ตามขัดขวางการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้ามาโดยตลอด  แต่ไม่เคยทำอันตรายใดๆ ต่อชีวิต  มุ่งหวังเพียงต้องการให้พระพุทธเจ้าของเรา  เปลี่ยนความตั้งใจอย่างเดียว

ในพุทธประวัติ  ได้กล่าวถึงตอนที่พระพุทธองค์ผจญพญาวสวัตตีมาราธิราช  ไว้ว่า

พญาวสวัตตีมาราธิราช  คิดว่าจักให้พระโพธิสัตว์ลุกจากบัลลังก์หนีไปด้วยลม  จึงบันดาลมหาวาตะให้ตั้งขึ้น  ลมนั้นถึงแม้ว่าจะสามารถพัดทำลายยอดภูเขาใหญ่น้อยทั้งหลายให้ราบคาบ  สามารถถอนต้นไม้  กอไม้  และพัดกระหน่ำหมู่บ้าน  ให้ ละเอียดลงรอบด้าน  แต่เมื่อมาถึงพระโพธิสัตว์  ก็ไม่อาจจะพัดชายจีวรให้ไหวได้  ด้วยอานุภาพแห่งพระบารมีของพระโพธิสัตว์

พญาวสวัตตีมาราธิราชจึงบันดาลให้ห่าฝนใหญ่ตั้งขึ้น  บันดาลห่าฝนเครื่องประหาร  บันดาลห่าฝนหิน  บันดาลห่าฝนถ่านเพลิง  บันดาลห่าฝนเถ้ารึง  บันดาลห่าฝนทราย  บันดาลห่าฝนเปือกตม  และบันดาลความมืด  รวมเป็นเครื่องประหาร ๙ ชนิด  ให้ตั้งขึ้นรอบด้าน  โดยมุ่งหวังจะให้พระโพธิสัตว์หนีไป  แต่อันตรายจากเครื่องประหารเหล่านั้น  ก็ไม่สามารถทำให้พระองค์สะดุ้งสะเทือนได้

สุดท้าย  ภายหลังการตรัสรู้ของพระพุทธองค์  ลูกสาวแสนสวยทั้ง ๓ คนของพญามาร  คือนางตัณหา  นางราคา และนางอรดี  ได้อาสามาฟ้อนรำยั่วยวนเบื้องพระพักตร์หวังจะให้พระองค์เลิกล้มความตั้งใจ  แต่ก็ไร้ผล  ทำให้พญาวสวัตตีมาราธิราชกลับไปด้วยความเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมาก  รอคอยโอกาสอยู่ในวิมานบนสวรรค์ของตน

ข้อความดังกล่าว  บูรพาจารย์  ภายหลังได้นำมาร้อยเรียงเป็นบทสวดที่เราเรียกกันว่า  บทถวายพรพระ หรือ บทพาหุง  ดังปรากฏข้อความ  ในคาถาท่อนแรกว่า 

พาหุง  สะหัสสะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง

ครีเมขะลัง  อุทิตะโฆระสะเสนะ  มารัง

ทานาทิธัมมะวิธินา  ชิตะวา  มุนินโท

ตันเตชะสา  ภะวะตุ  เต  ชะยะมังคะลานิฯ

ปางเมื่อพญามารนิรมิตแขนถืออาวุธครบตั้งพันแขน  ขับขี่ช้างครีเมขล์    สะพรึบพร้อมด้วยพลเสนามาร  โห่ร้องก้องกึงพิลึกสะพรึงกลัวเข้ามาประจัญ  พระจอมมุนีทรงใช้วิธีทางธรรม  คือทรงเสี่ยงพระบารมี  มีทาน  เป็นต้น  เข้าผจญได้ชัยชนะ  ด้วยเดชแห่งองค์พระผู้พิชิตมารนั้น  ขอชัยมงคลจงมีแก่ท่าน

หลังพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วประมาณ ๓๐๐ ปี  เมื่อครั้งพระเจ้าอโศกมหาราชสร้างเจดีย์ ๘๔,๕๐๐ องค์  ถวายเป็นพุทธบูชา  วสวัตตีมาราธิราชได้มาขัดขวางการเฉลิมฉลอง แต่พระอุปคุตมหาเถระ ผู้เกิดหลังพุทธปรินิพพานทรงอภิญญาแก่กล้า  ได้ตั้งสัตยาธิษฐานปราบพญามารด้วยการเสกหมาเน่าพันคอ  มิให้ใครสามารถนำออกได้  พญามารได้รับความอับอายในหมู่เทพจนละพยศ

ในคราวครั้งนั้น  พญามารคร่ำครวญว่า  แม้เมื่อครั้งพระพุทธเจ้า  ผู้เป็นศาสดาของพระมหาเถระยังมีชีวิตอยู่  ตนได้ประทุษร้ายต่อพระพุทธองค์เป็นอันมาก  แต่พระองค์ก็ยังเปี่ยมด้วยเมตตา  มิเคยทำให้ตนได้รับความอับอายเลย  แต่ไฉนท่านอุปคุตเถระ  เป็นแต่เพียงพระสาวกของพระพุทธองค์  มิได้มีความเมตตาเช่นนั้นต่อตนเลย

พญามารได้ตั้งความปรารถนา

ที่จะเป็นพระพุทธเจ้า

ผู้เปี่ยมด้วยเมตตา

ต่อหน้าพระอุปคุตมหาเถระเจ้า

อีกครั้ง

สมัยก่อน  พระสงฆ์นิยมนำเรื่องนี้มาเทศน์ในงานเทศน์มหาชาติ  เราเรียกเทศนากัณฑ์นี้ว่า  “ปัญญาบารมี”  ต่อจากนั้นจึงเทศน์กัณฑ์มาลัยหมื่นมาลัยแสน  บอกเล่าเรื่องราวความเป็นไปของนรกสวรรค์  เตือนสติชาวพุทธ

ปัจจุบันเรื่องเหล่านี้แทบจะหาฟังไม่ได้แล้ว

 จำได้ว่า  เมื่อยังเด็ก  ในงานบุญมหาชาติหลังแห่ผะเวส (พระเวสสันดร) เข้าเมือง  ตกเย็นพระท่านจะเทศน์ปัญญาบารมีและมาลัยหมื่นมาลัยแสน  ว่าด้วยพระมาลัยดับไฟนรก  และพระอุปคุตมหาเถระ  ผู้เกิดหลังพุทธกาลกว่า ๓๐๐ ปี  กล่าวอ้างบารมี ๓๐ ทัศน์ของพระพุทธองค์   แล้วเอาชนะพญามารได้

พอถึงตอนพระอุปคุตเสกหมาเน่าพันคอพญามารก็ดูเป็นเรื่องสนุก  ยิ่งถึงตอนที่พญามารถูกหมาเน่าพันคอ  เหาะไปหาเทวดาต่างๆ ให้ช่วยก็ยิ่งดูน่าขัน

แต่ตอนนั้นก็ยังไม่รู้เรื่องอะไร  เพราะยังเด็กอยู่มาก  เรื่องราวสวรรค์ตามที่กล่าวมา  แม้จะไม่ละเอียดแต่ก็พอจะทำให้โยมแม่ใหญ่เห็นภาพรวมได้บ้าง  ต่อไปนี้จะพูดถึงเรื่องราวของพรหมโลก

จดหมายถึงโยมแม่ใหญ่ ฉบับที่ ๔ (ตอนที่ ๘) “ปรนิมมิตวสวัตตีภูมิ โลกของเทวดาชั้นที่ ๖ : เปิดประวัติโพธิอำมาตย์ อดีตชาติพญามาร” และต้นกำเนิดบทถวายพรพระ (บทพาหุง) : จาก ธรรมนิพนธ์เรื่อง “หลักการทำบุญและปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน” เขียนโดย พระราชกิจจาภรณ์ (เทอด ญาณวชิโร) ในขณะนั้น

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here