หลังจากท่านพระครูอมรโฆสิต (ปรีชา สาเส็ง) ได้เรียบเรียง “ค่าแห่งคำอธิษฐาน” จบลง และเมตตาให้นำมาลงใน manasikul.com สื่อธรรมให้ปรากฏในใจ สื่อจากใจให้เป็นธรรมทาน ข้าพเจ้าก็มาทบทวนว่า ได้เรียนรู้ธรรมะอะไรบ้างที่จะนำมาใช้กับชีวิตในภาวะวิกฤติเช่นนี้

กว่าห้าปีแล้วที่นิตยสาร “เนชั่นสุดสัปดาห์” ปิดตัวลง และข้าพเจ้าก็เกษียณจากการเป็นนักข่าวและผู้ช่วยบรรณาธิการข่าวมากว่ายี่สิบปี เพื่อออกมาปฏิบัติธรรม และดูแลคุณแม่ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต ขณะเดียวกันก็ทำงานเขียนและงานบรรณาธิการต้นฉบับไปด้วย เพื่อยังชีพให้การปฏิบัติธรรมที่บ้านเป็นไปได้

จากนั้นไม่นาน วันที่ ๒๒ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๐ คุณแม่ก็จากไปตามวาระของผู้สูงวัยกับการเจ็บป่วยอันเป็นธรรมดาโลก ยังความเศร้าโศกมาให้ข้าพเจ้าอย่างประมาณไม่ได้

ในขณะนั้น ข้าพเจ้าเดินทางไปบวชชี ปฏิบัติธรรม พักหนึ่งแล้วกลับมาทำงานเขียน เป็นนักเขียนฟรีแลนซ์ ยังมีงานเขียนบทความ และดูแล หน้าธรรมวิจัย และ หน้าพระไตรสรณคมน์ เป็นฟรีแลนซ์ ทุกวันอังคารและวันพฤหัสบดี หนังสือพิมพ์ คมขัดลึก จนกระทั่งปิดตัวลงในวันที่ ๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๓

และยังมีงานทำเพจคุณปู่สมพร เทพสิทธาอยู่ จึงพอประคับประคองชีวิตไปได้มาจนถึงปัจจุบัน

ในช่วงก่อนและหลังที่คุณแม่จากไป ท่านอาจารย์เจ้าคุณเทอด เมตตาให้ข้าพเจ้าไปเป็นวิทยากร นำความรู้เกี่ยวกับการเขียนบทความไปถวายความรู้พระสงฆ์ทั่วประเทศที่มาเข้าคอร์สฝึกอบรม “พระนักเขียน” สื่อธรรมให้ถึงโลก ซึ่งจัดโดย สำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และความมั่นคงแแห่งสถาบันชาติ พระศาสนา พระมหากษัตริย์ วัดสระเกศ ฯ ด้วย และยังให้ไปร่วมเสววนา เปิดตัวหนังสือ “ลมหายใจชายแดนใต้ : บนเส้นทางแห่งศรัทธา” เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๓.๐๐-๑๕.๐๐ น. ณ ศาลาสุวรณบรรพต (หลวงพ่อโชคดี) วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร

ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกมีคุณค่า ที่ได้นำวิชาความรู้จากการทำสื่อสารมวลชนมากว่ายี่สิบปีมาช่วยในงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาผ่านสื่อออนไลน์เป็นธรรมทาน

ในปีพุทธศักราช ๒๕๖๑ วันที่ข้าพเจ้าทรุดลงอีกอย่างหนัก ก็คือ วันที่ ๒๔ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑ เช้าวันนั้น ข้าพเจ้าไปวิ่งที่สนามกีฬาเทศบาล ระหว่างวิ่งฟ้าก็มืดแล้วฝนเม็ดโตๆ ก็ตกลงมาอย่างแรงเป็นเส้นตรงที่ข้าพเจ้าวิ่งอยู่จนเปียกปอนแล้วฝนก็หยุดลง

ตอนบ่ายข้าพเจ้าดูข่าวก็ตกใจอย่างหนัก เกิดอะไรขึ้นกับพระอาจารย์ท่านอาจารย์เจ้าคุณเทอด และคณะพระเถระ ๕ รูป แห่งวัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร โทรศัพท์ไปถามพระอาจารย์หลายท่านก็ไม่มีใครทราบเหมือนกัน ต่างตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ในช่วงปีกว่านั้น ข้าพเจ้ายังแวะเวียนไปกราบเยี่ยมท่านพระอาจารย์ท่านอาจารย์เจ้าคุณเทอด และคณะพระเถระทุกสัปดาห์ ท่านยังเมตตาให้กำลังใจข้าพเจ้าเสมอ แม้ว่าท่านจะลำบากกายเพียงใด ท่านให้เรียนรู้จากพระมหาชนก แม้ว่ายอยู่กลางทะเล ไม่เห็นฝั่ง ก็ให้ว่ายไป อย่าท้อ ด้วยเพราะใจที่ได้รับการฝึกมาแล้วอย่างหนักตลอดชีวิตจากบูรพาจารย์และพระอุปัชฌาย์อาจารย์ ทำให้จิตของท่านเป็นอิสระเหนือข้อจำกัดทุกอย่างที่เกิดขึ้นอย่างไม่เป็นธรรม

และในช่วงเวลาที่ยากลำบาก ท่านพระอาจารย์เจ้าคุณเทอด ยังเมตตาให้ข้าพเจ้าเป็นบรรณาธิการต้นฉบับ หนังสือ “ลูกผู้ชายต้องบวช” ที่นำกลับมาพิมพ์แจกเป็นธรรมทานอีกครั้ง หลังจากพิมพ์ครั้งแรกไปนานหลายปีแแล้ว พร้อมทั้งวาดภาพประกอบในเล่ม จึงทำให้ข้าพเจ้าได้ทำงานกุศลถวายพระพุทธเจ้า ถวายครูบาอาจารย์ และนำมาลงเป็นตอนๆ ในหนังสือพิมพ์คมชัดลึก หน้าธรรมวิจัย ทุกวันอังคาร เป็นธรรมทาน ซึ่งเป็นกุศลอันยิ่งใหญ่ในชีวิต ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าทำกุศลก็จะอุทิศให้คุณแม่ที่รักยิ่งของข้าพเจ้า เพื่อที่ว่า วันหนึ่งข้าพเจ้าจะได้พบกับคุณแม่อีก บนสวรรค์

ข้าพเจ้าเชื่อเช่นนั้น เพราะตลอดชีวิต คุณแม่ข้าพเจ้าทำแต่ความดี เป็นคุณครูสอนเด็กๆ ในโรงเรียนมาบลำบิด ใกล้ภูเขา ในจังหวัดชลบุรี จนกระทั่งเกษียณอายุราชการ

อีกสองปีต่อมา น้องชายของข้าพเจ้าก็ป่วย และจากไปอีก ความทุกข์ของข้าพเจ้าอยู่ภายในใจเพียงลำพัง ทั้งความสูญเสีย และความเสียศูนย์ ประดังกันเข้ามา ใจยอมรับไม่ได้ จะเรียกว่า ผู้ปฏิบัติธรรมได้อย่างไร แต่ข้าพเจ้ายังมีลมหายใจที่แม่ให้มา มีสติอยู่บ้าง และยังมีงานเขียนเพจคุณปู่สมพร เทพสิทธา ที่ทำให้ยังชีพต่อมาได้ ทำให้สามารถช่วยงานบรรณาธิการต้นฉบับของครูบาอาจารย์เป็นธรรมทานมาอย่างต่อเนื่องลงในเว็บไซต์และเพิ่งจะสำเร็จเป็นเล่มออกมาก็คือ “วิถีแห่งผู้นำ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสนมหาเถร)” เรียบเรียงโดย พระครูอมรโฆสิต (ปรีชา สาเส็ง) ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่า ครูบาอาจารย์ไม่ทิ้งลูกศิษย์ ที่กำลังทำความเพียรอยู่เพียงลำพังอย่างลำบาก

หรือว่า การปฏิบัติธรรมที่จะไปสู่ความพ้นทุกข์ในสังสารวัฏ เป็นเช่นนี้เอง แต่ข้าพเจ้าอาจลืม วิบากกรรมต้องชดใช้ เพราะมันจะตามมาเมื่อถึงเวลา ? ใช่ เพราะข้าพเจ้าเคยตั้งจิตไว้ว่า มาเลย เจ้าความทุกข์ มาเลยมาให้หมด จะได้จบในชาตินี้ ทั้งๆ ที่มีกัลยาณมิตรเตือนด้วยความหวังดีว่า ไม่ควรตั้งจิตแบบนั้น เพราะเวลาที่ความทุกข์มาจะรับไม่ไหว เพราะเขาเคยตั้งจิตแบบนี้มาแล้ว และก็ต้องขอตั้งจิตใหม่ ขอให้ความทุกข์มาพอเพียงกับกำลังจิตที่ตั้งรับได้ ข้าพเจ้าไม่เชื่อ เพราะตอนนั้นคิดว่า อะไรๆ มาก็เถอะ รับไหว

ขณะนี้ ข้าพเจ้าเห็นแล้วว่า ความคิด กับคามจริงนั้น คนละเรื่องเดียวกัน …

การที่ข้าพเจ้าได้ทำเว็บไซต์เป็นธรรมทาน ซึ่งครูบาอาจารย์เมตตาสร้างให้ เพราะข้าพเจ้าขอว่า ถ้ามีเว็บไซต์ จะเป็นการน้อมนำธรรมะ ถวายพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ และครูบาอาจารย์ ผู้เป็นเนื้อนาบุญของโลกมาจนถึงปัจจุบัน ทำให้จิตใจของข้าพเจ้ามีที่ยึดเหนี่ยว แม้จิตใจยังล้มลุกคลุกคลาน แต่ข้าพเจ้าก็ตั้งใจโพสต์ทุกบทความ ทุกข้อธรรม ทุกตัวอักษร ให้เป็นธรรม เป็นบันทึกธรรม เพื่อสานต่องานทางธรรมที่ของบูรพาจารย์ พระเถระ ครูบาอาจารย์ และคณะสงฆ์ผู้เสียสละตนเอง เสียสละชีวิตเพื่อธรรมได้เพียรสร้างตามรอยธรรมที่พระพุทธเจ้าและบูรพาจารย์พาดำเนิน และข้าพเจ้าก็ได้สานต่อและตั้งใจทำเพียงลำพังมาจนถึงทุกวันนี้

และแล้ววันหนึ่ง พระเถระและท่านอาจารย์เจ้าคุณเทอดก็กลับมา พร้อมกับหนังสือ “ทศชาติ ปณิธานมหาบุรุษไม่เลี่ยนแปลง” ฉบับ ญาณวชิระ

ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิต ประดุจพระเจดีย์ที่ถูกทำลายไป แล้วพระเจดีย์นั้น ก็ถูกพัดปลิวกระจัดกระจายไปในทุกทาง บางส่วนก็มาปรากฏอยู่ในอักษรธรรมบนเว็บไซต์ธรรมทานที่ทำด้วยจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา และครูบาอาจารย์ผู้เสียสละตนเองเพื่อธรรม

ดังที่ท่านพระอาจารย์เจ้าคุณเทอด ได้กล่าวไว้ว่า พระเจดีย์ที่ถูกทำลายจนพังทลาย เศษอิฐหินปูนทรายแต่ละเม็ด แต่ละก้อน ก็คือพระเจดีย์องค์เล็กๆ ที่กระจายออกไปมากมายมหาศาล นับไม่ถ้วน…

เมื่อระลึกถึงคำสอน ปฏิทาและวัตรปฏิบัติของท่าน ทำให้จิตใจข้าพเจ้าให้มีกำลังในการเผยแผ่ธรรม เป็นธรรมทาน และเพียรบำเพ็ญภาวนาเพื่อให้พ้นจากความพ้นทุกข์ในสังสารวัฏอันน่ากลัว สยองขวัญ แปรเปลี่ยน ไม่แน่นอน คาดไม่ถึง โหดร้ายเกินกว่าที่จะอยากกลับมาเกิดอีก และทุกอย่างล้วนตกลงในกฎไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา ที่เหนือคำบรรยาย

ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ถ้านำเข็มปักลงไปบนโลกใบนี้ ทุกแผ่นดิน ผืนน้ำ ไม่มีที่ใดไม่มีกองกระดูกของเราเองที่เวียนตายเวียนเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่มีที่ใดไม่มีน้ำตาแห่งความสูญเสีย ฯลฯ จนทำให้ความอยากที่จะกลับมาเกิดอีก ไม่มี เพียงแต่ต้องเพียรลดละกิเลสมารในใจต่อไปจนลมหายใจสุดท้าย

เมื่อข้าพเจ้าได้อ่าน “ค่าแห่งคำอธิษฐาน” เรียบเรียงโดย พระครูอมรโฆสิต (ปรีชา สาเส็ง) ทั้งหมด ๙ บท ก็มองเห็น จุดเริ่มต้นของสุเมธดาบส ผู้ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า จากการอธิษฐานจิต แล้วเพียรกระทำที่เหตุจนกระทั่งบรรลุธรรมในชาติสุดท้ายเป็นพระพุทธเจ้าก็กว่าแปดหมื่นสี่พันอสงไขย ตั้งแต่ในยุคสมัยที่ท่านได้กราบพระทีปังกรพุทธเจ้า แล้วยอมตนเป็นทางเท้าให้พระทีปังกรพุทธเจ้าและพระอริยสาวกในครั้งนั้นเดินผ่านความสกปรกของบ่อโคลน จนได้รับคำพยากรณ์จากพระทีปังกรพุทธเจ้าว่า จะได้มาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะในชาติสุดท้ายและจะบรรลุพระโพธิญาณ ซึ่งในที่สุดก็เป็นไปตามนั้น

เรื่องราวของพระพุทธเจ้า ได้ถูกเล่าขานมานานกว่าสองพันหกร้อยปี จนถึงปัจจุบัน บนหนทางแห่งการตื่นรู้ของพระอริยสาวกและพระสงฆ์รุ่นหลังมาจนถึงครูบาอาจารย์ในปัจจุบัน

ใครจจะคิดบ้างว่า เพราะจุดเริ่มต้นจากหมุดหมายสำคัญที่ประทับลงในจิตทุกลมหายใจเข้าออก คือ “การอธิษฐาน” อย่างมุ่งมั่น และอุดมไปด้วยความเพียรอย่างต่อเนื่อง ไม่ลดละ หากมองย้อนกลับไป แทบไม่มีท่านใดเลยบนเส้นทางสู่ความพ้นทุกข์อันยาวไกลและยากลำบากเต็มไปด้วยขวากหนามและอุปสรรคของกิเลส กรรม และวิบากนี้จะไม่อธิษฐาน

และนั่น คือจุดเริ่มต้นของความสำคัญของ “ค่าแห่งคำอธิษฐาน” จากตัวหนังสือบนกระดาษหลังนามบัตร ของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสณมหาเถร) และตัวหนังสือบนกระดาษแผ่นเล็กๆ ของท่านพระอาจารย์เจ้าคุณเทอด ญาณวชิโร (อดีตพระราชกิจจาภรณ์ ) อันเป็นจุดเริ่มต้นของการขยายความในนามของ “ค่าแห่งคำ” เป็นกระทู้ธรรมจนทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจที่มาที่ไปและความสำคัญของ “การอธิษฐาน” ในที่สุด

ซึ่งพระอาจารย์ พระครูอมรโฆสิต (ปรีชา สาเส็ง) แห่งวัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร ได้บรรจงเรียงร้อยและเรียบเเรียงเรื่องราวแต่หนหลัง กว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าของสุเมธดาบส จนถึงบูรพาจารย์และครูบาอาจารย์ในปัจจุบัน ให้เราเห็นคุณค่าของ “คำ” คือ สัจจะอธิษฐาน จนก่อเกิดเป็นความเพียรอันทรงพลังประดิษฐานในพระเจดีย์ใจที่มั่นคง กล่องที่บรรจุอธิษฐานบารมีที่อยู่ในจิตใจก็จะผ่านกาลเวลาข้ามภพชาติไป เช่นเดียวกับสุเมธดาบส ที่ไม่มีอะไรจะมาทำลายได้ เพราะความบริสุทธิ์แห่งจิตและการกระทำความเพียรอย่างต่อเนื่องทุกภพชาติจนถึงชาติสุดท้ายตรัสรู้ธรรมเป็นพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป

หากเรารู้จักนำหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ และมีทางออกให้กับทุกข์แห่งชีวิต นั่นก็คือ การกลับมาตั้งจิตอธิษฐานและปฏิบัติธรรมให้มีสติทุกลมหายใจเข้า-ออก และมีสติทุกการกระทำอย่างต่อเนื่องไปจนกว่าจะรู้ทันกิเลสมารภายในจิตและไม่ตามมันไป

กว่าจะพ้นทุกข์ในสังสารวัฏอันยาวไกล ซึ่งหาจุดเริ่มต้นไปจนถึงจุดสิ้นสุดมิได้ แต่อย่างน้อยที่สุด เรารู้ว่า จะเริ่มต้นเดินทางเพื่อไปให้สุดทางทุกข์ได้อย่างไร

ดังคำโปรยเกริ่นนำใน ๙ บท ของ “ค่าแห่งคำอธิษฐาน”ว่า

บททดสอบ
ศักยภาพของมนุษย์ สะท้อนให้เห็น

ค่าแห่งคำอธิษฐาน

การตั้งความปรารถนาอย่างแน่วแน่
ที่จะทำเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้บรรลุเป้าหมาย
เป็นเรื่องของใจที่มุ่งมั่นจะทำเรื่องที่กำหนดไว้ให้สำเร็จ
จะสำเร็จได้หรือไม่นั้น อยู่ที่การลงมือทำด้วยตนเอง.

อธิษฐานบารมี จึงเป็นหัวข้อธรรมที่ข้าพเจ้าจะละเลยไม่ได้ หากตั้งใจบำเพ็ญเพียรเพื่อมุ่งตรงสู่การหลุดพ้นในสังสารวัฏอย่างสิ้นเชิง

คติธรรมและพลังใจจาก “ค่าแห่งคำอธิษฐาน” เรียบเรียงโดย พระครูอมรโฆสิต (ปรีชา สาเส็ง)

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here