เรียนรู้ดูความทุกข์จากความคาดหวังที่มองไม่เห็น จนเห็นว่ามันไม่ใช่ตัวเรา ของเรา
จากการเจริญสติ โดยการเคลื่อนไหว ด้วยความรู้สึกตัว …
ไขทุกข์เปิดใจ
โดย พระครูสมุห์สุพัฒน์ อนาลโย (พระอาจารย์จ๊อดส์ )
โครงการปฏิบัติธรรมแบบการเจริญสติแบบเคลื่อนไหว วัดนิโครธาราม จังหวัดตรัง ตั้งแต่วันที่ ๖ ถึง ๙ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๒ ที่ผ่านมา ระยะเวลาสามวันสองคืน มีผู้เข้าร่วมปฏิบัติจำนวน ๓๐ คน
วันสุดท้าย โยมผู้หญิงวัยเกษียณอายุท่านหนึ่งตามเพื่อนเข้ามาวัดเพื่อจะมาฟังธรรมะคลายความทุกข์ใจ ผู้เขียนกำลังนั่งสร้างจังหวะอยู่ที่อาสน์สงฆ์
![พระครูสมุห์สุพัฒน์ อนาลโย และ พระครูปลัดทรัพย์ชู มหาวีโร](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2019/06/62351812_675975082859759_3254004482014445568_n.jpg)
กลุ่มเพื่อชีวิตดีงาม สำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม
และความมั่นคงแห่งสถาบันชาติ พระศาสนา พระมหากษัตริย์ วัดสระเกศฯ
พระครูปลัดทรัพย์ชู มหาวีโร ท่านบอกว่า “มีโยมมาใหม่ให้พระอาจารย์นำพาโยมไปแนะนำเรื่องสติ (ความรู้สึกตัว) เบื้องต้น ด้านนอกหน้าศาลาหน่อยครับ”
ผู้เขียนเดินเข้าไปหาโยมแล้ว เชิญชวนไปนั่งเก้าอี้คุยกันอยู่ด้านนอกศาลาปฏิบัติธรรม ส่วนพระอาจารย์ทรัพย์ชูพาญาติโยมเจริญสติในศาลานั้น ขณะนั้นฝนก็เทลงมาพอดีเข้ากับบรรยากาศเหมาะสำหรับการสนทนาธรรมกันในท่ามกลางสายฝน
พระถามว่า “สบายดีนะโยม”
โยมว่า “ไม่ค่อยสบายหรอกท่าน มันปวดขา ปวดหลังและเป็นเส้นเลือดตีบ เวลาพูดนานๆ มันจะรู้สึกเหนื่อยค่ะท่าน”
พระถามว่า “ป่วยแต่ร่างกายใจยังดีอยู่นะ”
โยมว่า “ ไม่หรอกท่าน ใจก็หนัก คิดไม่ออกสักที มืดมน คิดแล้วคิดอีก ทำให้ทุกข์มากๆเลยค่ะท่าน”
เสียงหายไปสักพักในแววตาอันเศร้าโศกคู่หนึ่งนั้นเห็นได้ชัดเจนมาก น้ำตาเริ่มไหลออกมาทางด้านขวามือโยม ซ้ายมือพระ พลางถามต่อว่า เรื่องมันเป็นอย่างไรเหรอ
โยมว่า “หนักใจเรื่องลูกคนเล็กคิดไม่ตกเลยค่ะ เขาไม่เข้ามาหาไม่ค่อยพูดกับโยม แต่ก่อนเป็นเด็กนิสัยดีเชื่อฟังแม่ทำตามใจแม่ พอโตขึ้นแล้วไม่ค่อยฟังค่ะ แต่ไม่ใช่เขาจะเกเรไปในทางที่ไม่ดียุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดนะ เขาจะเก็บตัวอยู่ในห้องคนเดียว”
แม่อยากให้ลูกไปทำความรู้จักกับคนทำงานสวนบ้างจะได้คุ้นเคยกัน เพราะแม่ทำสวนอยู่ทุกวันนี้ เพื่อลูกหลานจะได้มีสมบัติไว้ติดตัวบ้าง นี่พอคนสวนเข้ามาหาแล้วกลับเดินหนีไปนั่งอยู่ในรถขับกลับไปบ้านอยู่ในห้องคนเดียว
“ไม่รู้จะทำอย่างไรให้เขามาทำงานที่สวนแต่เขาไม่มา คิดจนหนักหัวแล้วค่ะท่าน”
พระถามว่า “ลูกเขาชอบอะไร”
โยมว่า “ ไม่รู้ว่าชอบอะไรนะ แต่ชอบเก็บตัวอยู่คนเดียว”
พระว่า “ก็เป็นธรรมดา ผู้ชายจะชอบอยู่คนเดียวมีโลกส่วนตัวเขาบ้าง ก็ดีแล้วที่เขาไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งเสพติด”
โยมว่า “คิดไม่ตกสักทีอยากให้ลูกมาที่สวนบ้างต่อไปเขาจะได้เป็นเจ้าของสวนกับพี่สาวให้มารู้จักคนทำสวนบ้างนี่ไม่เห็นมาหลายวันแล้ว รู้สึกเหนื่อยอ่อนแรงไปหมดเลย เหมือนจะตายให้ได้ หรือ ตายให้ลูกเห็น แต่ก็เป็นห่วงลูกอยู่กินอย่างไร หนักใจ ทุกข์ใจ มืดไปหมด หนีออกมาอยู่ที่สวนลูกก็ไม่มาหาเลยค่ะหลายวันแล้วค่ะ”
พระว่า “คุณโยมทุกข์ใจ มืดมนหนักใจ นอนไม่หลับมีความทุกข์กับลูกคิดมาก อยากให้ดูแลธุรกิจนี่แทนตน แม่ตั้งใจออกจากงานธนาคารมาซื้อสวน ทำสวน จนประสบผลสำเร็จแล้วในอนาคตแม่จะยกมรดกนี้ให้ลูกดูแลทั้งหมดแต่ลูกไม่สนใจ
“แม่ก็มาทุกข์ใจ เพราะความคิดของตนเอง ลูกเขาไม่มาทุกข์ใจกับเรา เพราะลูกเขาไม่มาคิดกับแม่”
ใจเรา เมื่อตั้งเป้าหมายชีวิตไว้สำหรับลูกแล้ว เป้าหมายจะมีผลออกมา ๒ อย่างเสมอ คือ “ความสมหวัง… ก็ดีใจ ไม่สมหวัง… ก็เสียใจไป”
อันหลังนี่น่าจะทำให้เราเสียใจจมปลักกับมันจนกลายเป็นความทุกข์ใจ หรือใจกำลังป่วย ออกจากความคิดตนไม่ได้ เราต้องยอมรับความเป็นจริงให้ได้ ไม่ว่าผลจะออกมาแบบไหนก็ตาม เพราะเราเป็นผู้เลือกเองแล้ว
ส่วนแม่หวังดี ปรารถนาดี มีความรักต่อลูกมันดี แต่รักมากเกินไปมันไม่ดีจะให้ดีต้องรักให้พอดี เดียวจะเข้าตำราที่ว่า “พ่อแม่รังแกฉัน” แม่ต้องรู้จักปล่อยวางใจให้เป็น ไม่ใช่เอาความอยากของตนไปให้ลูกอย่างเดียว
บางครั้งต้องให้บทเรียนลูกได้เรียนรู้ที่จะอยู่คนเดียวหรืออยู่กับสังคมบ้าง ธรรมชาติของคนเราจะไม่ค่อยอยู่คนเดียว และจะไม่ปล่อยให้ตนเองอด ตายต้องดิ้นรนหาทางเอาตัวรอดจนได้ เพื่อการดำรงชีพตนผ่านไปให้ได้ในวันหนึ่งๆ
โยมว่า “แม่ของโยมก็เคยสอนวิธีการเลี้ยงลูกว่า มันยากก็ต้องใช้อดทนเป็นหลัก พอโยมมีลูกแล้ว มันยากจริงๆ จะเลี้ยงให้โตและเป็นคนดี นี่เลยเข้าใจอย่างลึกซึ้งคำสอนแม่แล้ว”
พระว่า “ถูก ทุกข์มันเกิดที่ไหน…ที่ใจ…มันก็ต้องดับที่ใจเช่นเดียวกัน ทุกข์เพราะความคิดของตน ที่โยมทุกข์นี่มันเป็นความคิดทั้งหมด ออกจากความคิดไม่ได้ ต้องรู้จักฝึกปล่อยวางความคิดให้เป็น ปล่อยวางแต่ไม่ได้ปล่อยทิ้ง
“ ลูกก็เช่นกัน ที่คิดไปเองก็ทุกข์ใจไปเอง ถึงแม้จะไปอยู่ที่สวนคิดว่าจะหายทุกข์ใจ มันก็ยังหนีไม่พ้น เพราะทุกข์มันเกิดที่ใจก็ให้มันดับที่ใจ ทุกข์มันที่ความคิดก็ให้ดับที่ความคิด”
โยมถามว่า “จะแก้ทุกข์ได้อย่างไร”
พระว่า “แก้ด้วยตัวสติ(ความรู้สึกตัว) เจริญสติให้มาก หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ สอนไว้ว่า “ยาเม็ดเดียวรักษาได้ทุกโรค” เมื่อป่วยกายโรคกายไปให้หมอรักษา ป่วยจิตโรคใจไปให้ธรรมะ (ความรู้สึกตัว) รักษา
![](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2019/06/62244047_623884831355906_3851492612515037184_n.jpg)
วิธีการสร้างสติ(ความรู้สึกตัว)
๑. โยมยกมือขวาขึ้นตีที่เข่าเบาๆ รู้สึกไหม รู้สึกเบาๆ ที่เข่า
๒. ยกมือขวาขึ้นมาแล้วยื่นไปข้างหน้า กำมือ รู้สึกว่ากำไหม แบมือ รู้สึกว่าแบไหม นี่ต้องรู้โดยธรรมชาติไม่เพ่งบริกรรมอะไรเลยว่า กำมือรู้สึกๆ แบมือรู้สึกๆ ไม่ต้องบริกรรม
ให้รู้ชื่อๆ ตามธรรมชาติ เมื่อกายเคลื่อนไหวให้ใจรับรู้การเคลื่อนไหว
๓. นิ้วโป้งกับนิ้วชี้ข้างใดข้างหนึ่งชิดติดกัน คลึงๆ นุ่มๆ รู้สึกที่นิ้วมันคลึงไปเรื่อย เวลานอนไม่หลับเอาวิธีนี้ไปใช้ได้กับมือซ้ายหรือขวาก็ได้ข้างเดียว เพราะความรู้สึกตัวมันจะชัดกว่าทำสองข้างมันแย่งความรู้สึกกัน
โยมลองทำตาม กำมือ รู้สึกที่มือกำไหม… รู้
แบมือ รู้สึกที่มือแบไหม…รู้
ขณะที่กำมืออะไรกำ…มือกำ…
ถูก…นี่เรียกว่า กาย รูป …
ขนาดที่กำมืออะไรรู้… ใจ…
ถูก… นี่เรียกว่า ใจ จิต ทำต่อกันไปเรื่อยๆ
เวลาที่กำมือแบมือไปต่อเนื่องใจเราคิดเรื่องอื่นไหม… ไม่คิดค่ะ… เพราะใจมันมีที่ทำงานก็เลยไม่คิด มีสติอยู่กับการกำมือแบมือนั้นเอง นี่แหละคือ ตัวสติ หรือ ความรู้สติตัว ให้ทำมากๆ จะเป็นการป้องกันจิตใจเราไม่ให้หลงตัวไปกับความคิดที่ฟุ้งซ่านแล้ว ใช้ชีวิตจะง่ายขึ้น
เวลาที่กำมือแบมือไปต่อเนื่องใจเราคิดเรื่องอื่นไหม… ไม่คิดค่ะ… เพราะใจมันมีที่ทำงานก็เลยไม่คิด มีสติอยู่กับการกำมือแบมือนั้นเอง นี่แหละคือ ตัวสติ หรือ ความรู้สึกตัว ทำให้มากๆ จะเป็นการป้องกันจิตใจเราไม่ให้หลงตัวไปกับความคิดที่ฟุ้งซ่านแล้ว ใช้ชีวิตจะง่ายขึ้นเพราะการเจริญสติเป็นประจำ รู้สึกตัวในขณะที่ทำ พูด คิด ร่วมไปถึงกิจกรรมอิริยาบถย่อยต่างๆ ในชีวิตประจำ ถ้าความรู้สึกตัวมากๆ สามารถตัดความคิดรู้เท่าทันความคิดได้ ก็ไม่ไปทุกข์กับความคิด ชีวิตก็จะมีความสุขเบาสบายใจใจโล่ง
โยมพอจะเห็นทางออกจากความคิดแล้ว มันทุกข์เกิดที่ใจให้มันดับที่ใจ เราต้องปล่อยวางความคิดบ้างแล้วล่ะ เพราะความคิดมันไม่เที่ยงไม่ยั่งยืน มันมีการเปลี่ยนแปลงตลอดความคิดนี่ก็ไม่อยู่กับเราตลอดเวลา เรื่องนี้จบ เรื่องใหม่ขึ้นมาอีกไปเรื่อยๆ เราไปยึดมันไว้ก็เลยทุกข์
“ อ๋อ.. โยมพอเข้าใจแล้ว รู้สึกดีขึ้นแล้ว จะไปเพิ่มสติให้มากขึ้นแล้วจะฝึกปล่อยวางความคิดทำใจให้เป็นกลาง ไม่ว่าสมหวังก็จะไม่ดีใจเกินไป หรือ ไม่สมหวังก็จะไม่เสียใจจนเกินไปต้องยอมความเป็นจริงที่เกิดขึ้นให้ได้”
พระว่า “สาธุอนุโมทนาบุญด้วย…”
![](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2019/06/62195851_304774243762376_4441936751837052928_n.jpg)
เรามีความทุกข์เพราะจิตใจมันไม่รู้เท่าทันความอยาก ความคิดฟุ้งซ่าน กิเลสที่เป็นอวิชชาความไม่รู้มืดมนหนักอกหนักใจ เมื่อเรามีสติ (ความรู้สึกตัว) เท่าทันความอยาก ความคิดฟุ้งซ่าน จากกิเลสที่เป็นอวิชชามาเป็นวิชชาคือผู้รู้ รู้สึกตัว รู้เนื้อรู้ตัว
ฉะนั้น การที่เราจะไขทุกข์เปิดใจได้ด้วยตัวสติ(ความรู้สึกตัว) ยาเม็ดเดียวรักษาได้ทุกโรค(จิตใจ) เมื่อทุกข์ที่กักขังความอิสระทางใจไว้เปรียบเสมือนแม่กุญแจ
![](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2019/06/62117002_466344127434078_1119781897728163840_n.jpg)
ตัวความรู้สึกตัวเอาไขทุกข์เปรียบเสมือนลูกกุญแจ เปิดใจคือ ใจที่ไม่ทุกข์ไม่สุข ใจเบาสบาย ใจโล่งๆ เพียงแค่นี้ชีวิตก็สุดยอดแล้ว
พระอาจารย์จ๊อดส์
๑๐ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๒
![](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2019/06/62174620_354069685462402_4838304195364782080_n-1024x768.jpg)
” มันทุกข์เกิดที่ใจให้มันดับที่ใจ
เราต้องปล่อยวางความคิดบ้างแล้วล่ะ เพราะความคิดมันไม่เที่ยงไม่ยั่งยืน
มันมีการเปลี่ยนแปลงตลอดความคิดนี่ก็ไม่อยู่กับเราตลอดเวลา
เรื่องนี้จบ เรื่องใหม่ขึ้นมาอีกไปเรื่อยๆ
เราไปยึดมันไว้ก็เลยทุกข์”
จากคอลัมน์ ธรรมลิขิต หน้าธรรมวิจัย นสพ.คมชัดลึก วันอังคารที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๒)
![](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2019/06/09KLE6S1_18062019-199-742x1024.jpg)
![](https://www.manasikul.com/wp-content/uploads/2019/06/09KLE6S1_18062019-1-1-671x1024.jpg)