พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล ขอขอบคุณ ภาพจาก หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล ขอขอบคุณ ภาพจาก หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ

โยมแม่ เขียนโดย พระไพศาล วิสาโล

แม่นั้นถือกันว่าเป็นพรหมและอรหันต์ของลูก แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่โยมแม่เป็นในความรู้สึกของข้าพเจ้า นั่นคือ แบบอย่างแห่งการสู้ชีวิต โยมแม่เป็นคนไม่ย่อท้อต่อโชคชะตา  ไม่ว่าจะลำบากอย่างไร ก็ถือคติพึ่งตน จนสามารถล่วงพ้นอุปสรรคได้ด้วยขันติ และความเพียรเสมอมา

ตั้งแต่เล็กอายุไม่ถึง ๘ ขวบดี โยมแม่ก็ต้องพลัดพรากจากมารดา  เดินทางมาอยู่กับบิดาที่เมืองไทย โยมแม่เคยเล่าว่า ร้องไห้คิดถึงแม่อยู่นาน

อันที่จริง ตาและยายนั้นเป็นคนร่ำรวย บ้านที่เมืองจีนก็ใหญ่โต  แต่ตาต้องการให้ยายซึ่งเป็นภรรยาหลวงอยู่เฝ้าบ้านและทรัพย์สินที่เมืองจีน   ส่วนโยมแม่นั้น ชะรอยตาคงต้องการเลี้ยงเองกระมัง จึงให้ยายส่งโยมแม่มาเมืองไทย โยมแม่ไม่มีโอกาสกลับไปเห็นหน้าแม่บังเกิดเกล้าอีกเลย   และกว่าจะได้กลับไปเยือนบ้านเกิดที่เกาะไหหลำก็ ๕๐ ปีให้หลัง

ตาเป็นคหบดีมีชื่อแห่งเมืองอยุธยา สมัยหนึ่งอาจจัดได้ว่าเป็นคนร่ำรวยที่สุดของจังหวัด  กิจการที่ทำเป็นล่ำเป็นสันคือโรงเลื่อย  บ้านของโยมแม่ที่อยุธยาเป็นตึกหลังใหญ่ ตั้งโดดเด่นเห็นได้ชัดเจน  จากสะพานธำรง-ปรีดี   พิจารณาภูมิหลังในด้านนี้แล้ว โยมแม่น่าจะมีชีวิตที่สุขสบายตั้งแต่เล็ก  แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่   ตาเป็นคนที่ไม่ใคร่สนใจลูกสาว ความเป็นอยู่ระหว่างลูกชายกับลูกสาวจึงต่างกันมาก   ทั้งๆ ที่ตามีลูกสาวเพียงแค่ ๔ คนจากจำนวนลูกทั้งหมด ๑๓ คนที่เกิดจากภรรยาทั้ง ๕   

โยมแม่ต้องทำงานหนักตั้งแต่เล็ก แม้โตเป็นสาวแล้ว โยมแม่กับพี่สาวต่างมารดาก็ยังมีหน้าที่แบกขนไม้ปลีกที่เหลือจากการแปรรูปในโรงเลื่อย  ไปเรียงเป็นกองเพื่อขายทำฟืน   สภาพคงไม่ต่างไปจากคนงานในโรงเลื่อยเท่าใดนัก   

ยังดีที่โยมแม่มีโอกาสเรียนหนังสือ  แม้จะไม่สูงเกิน ม.๓ (หรือ ป.๗) แต่ความรู้ที่ได้รับ  ก็มากพอที่จะใช้การได้  ส่วนภาษาจีนนั้นโยมแม่มีพื้นมาแต่เมืองจีน  ภายหลังได้มาเรียนเพิ่มเติมกับญาติผู้ใหญ่ในโรงเลื่อย จึงสามารถอ่านออกเขียนได้   ดังนั้น ในเวลาต่อมา   โยมแม่กับพี่สาวจึงได้เลื่อนมาทำงานธุรการ

ขอขอบคุณ ภาพถ่ายโดย พระมหาปฐมพงศ์ ญาณวํโส จริยธรรมแชนแนล สำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และความมั่นคงแห่งสถาบันชาติ พระศาสนา พระมหากษัตริย์ วัดสระเกศ
ขอขอบคุณ ภาพถ่ายโดย พระมหาปฐมพงศ์ ญาณวํโส จริยธรรมแชนแนล สำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และความมั่นคงแห่งสถาบันชาติ พระศาสนา พระมหากษัตริย์ วัดสระเกศ

โยมแม่มีพี่สาวร่วมอุทรอยู่คนหนึ่ง   แต่อายุห่างกันถึง ๑๖ ปี   เมื่อโยมแม่เข้ามาเมืองไทยนั้น   พี่สาวได้แต่งงานและแยกเรือนออกไปแล้ว   ความที่ต้องอยู่ห่างแม่และพี่   โยมแม่จึงต้องหัดช่วยตนเองตั้งแต่เล็ก  คงเพราะเหตุนี้  จึงมีนิสัยอดออมกระเหม็ดกระแหม่มาแต่เยาว์วัย 

เมื่อโตขึ้น นอกจากงานแบกหามภายในโรงเลื่อยแล้ว  โยมแม่ยังหารายได้พิเศษ  ด้วยการเก็บเศษไม้ที่โรงเลื่อยทิ้งแล้วไปขายตามท่าน้ำ

ตั้งแต่เล็กจนโตเป็นสาว   ชีวิตของโยมแม่วนเวียนอยู่ในโรงเลื่อยเป็นส่วนใหญ่   ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าจะลำบากเสียทีเดียวนัก   เพราะอย่างน้อยที่สุดก็มีพี่สาวต่างมารดาอยู่คนหนึ่งซึ่งเป็นเสมือนเพื่อนเพราะวัยห่างแค่ ๒ ปี   นอกจากทำงานด้วยกันแล้ว ยังเที่ยวเตร่ด้วยกินอยู่บ่อยๆ  (แม้เมื่อต่างแยกเรือนออกไป ก็ยังไปมาหาสู่กัน จนโยมแม่เป็นฝ่ายจากไป)

ขอขอบคุณ ภาพถ่ายโดย พระมหาปฐมพงศ์ ญาณวํโส จริยธรรมแชนแนล สำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และความมั่นคงแห่งสถาบันชาติ พระศาสนา พระมหากษัตริย์ วัดสระเกศ
ขอขอบคุณ ภาพถ่ายโดย พระมหาปฐมพงศ์ ญาณวํโส จริยธรรมแชนแนล สำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และความมั่นคงแห่งสถาบันชาติ พระศาสนา พระมหากษัตริย์ วัดสระเกศ

โยมแม่ออกจากโรงเลื่อยก็เมื่อมาได้กับโยมพ่อ   ซึ่งเป็นคนกรุงเทพฯ นอกจากทรัพย์สินของโยมแม่ที่สะสมมาแต่เล็กแล้ว   ก็ดูจะไม่มีสมบัติใดที่ตาให้ติดตัวมาเลย   แต่ลำพังฐานะและความสามารถของโยมพ่อ   ชีวิตครอบครัวก็น่าจะดำเนินไปได้อย่างราบรื่น เพราะโยมพ่อจัดได้ว่าเป็นคนที่มีวิชาความรู้สูงในสมัยนั้น  โดยได้คะแนนดีมาจากโรงเรียนอัสสัมชัญพานิชย์ (ACC) อันเป็นที่ต้องการอย่างยิ่งของห้างฝรั่งในเวลานั้น   นอกจากความเฉลียวฉลาดแล้ว  โยมพ่อยังเป็นคนขยันขันแข็ง   หลังจากเป็นลูกจ้างบริษัทฝรั่งได้ไม่นานก็ตั้งเนื้อตั้งตัว โดยมาเปิดกิจการส่งออกไม้ที่ถนนดำรงรักษ์  ใกล้ๆ กับวัดสระเกศ

ข้าพเจ้าซึ่งเป็นลูกคนที่ ๔  เกิดเมื่อโยมพ่อโยมแม่ย้ายมาอยู่ถนนดำรงรักษ์ได้ ๒-๓ ปีแล้ว   เป็นช่วงที่กิจการค้าไม้ของโยมพ่อประสบความสำเร็จตามลำดับ   ยังจำได้ว่า   ตอนเล็กๆ อายุยังไม่ถึง ๔-๕ ขวบดี   โยมพ่อมักจะขับรถพาลูกๆ ทั้ง ๕ ไปกินไอศกรีม หรือก๋วยเตี๋ยวแถวสวนลุมพินีและราชวงศ์ตอนค่ำๆ อยู่บ่อยๆ   ยิ่งภาพยนตร์ด้วยแล้ว  พวกเราไปดูเป็นประจำ  ช่วงไหนที่บ้านไม่มีรถเก๋งก็นั่งแท็กซี่

แต่วิธีเลี้ยงลูกของโยมแม่นั้นต่างจากโยมพ่อ   เวลาโยมแม่พาลูกๆ ไปเที่ยว จะนั่งรถเมล์   อันที่จริงแล้ว ส่วนใหญ่สถานที่ที่โยมแม่พาลูกไปเที่ยวคือ บ้านญาติ หรือไม่ก็พาหุรัด สะพานหัน   ซึ่งโยมแม่ชอบซื้อผ้าไปตัดเสื้อ  

ตอนเด็กๆ  ข้าพเจ้ามักติดสอยห้อยตามโยมแม่ไปตามที่ต่างๆ เป็นประจำ  โดยเฉพาะในวันพฤหัสบดี  ซึ่งเป็นวันหยุดเรียนของข้าพเจ้านอกเหนือจากวันอาทิตย์   ด้วยเหตุนี้จึงรู้เส้นทางรถเมล์และถนนหนทางต่างๆ ในกรุงเทพฯ เป็นอย่างดี  ความรู้ดังกล่าวเป็นประโยชน์แก่ข้าพเจ้าเวลาเข้ากรุงเทพฯ จนทุกวันนี้  แม้เส้นทางรถเมล์จะเปลี่ยนไป   และกรุงเทพฯจะขยายตัวเติบใหญ่ไปมากแล้วก็ตาม

โยมแม่ชอบสอนลูกให้ประหยัด  แต่แทนที่จะพูด  โยมแม่ทำให้เราเห็นเป็นแบบอย่าง เสื้อผ้าของลูกๆ รวมทั้งของโยมแม่เองนั้น   ซื้อจากร้านน้อยมาก   ยกเว้นชุดไปเที่ยว  นอกนั้นโยมแม่ตัดเอง  แม้แรกๆ จะไม่มีความรู้พอ   แต่ก็ไปเรียนจนชำนาญ

  ข้าพเจ้ายังจำได้ว่าตอนเย็นๆ   เคยตามโยมแม่ไปโรงเรียนสอนตัดเสื้ออยู่ช่วงหนึ่ง  เสื้อผ้าเหล่านี้ลูกๆ จะใช้ไล่กันลงมา จากคนโตมายังคนเล็กลำดับถัดไป   มามีปัญหาก็เมื่อถึงลำดับของข้าพเจ้า   เพราะข้าพเจ้ากับน้องชายนั้นแม้ห่างกัน ๒ ปี แต่ตัวเท่ากัน   เลยมักมีปัญหาว่าต้องตัดหรือหาซื้อเสื้อให้ทั้ง ๒ คนพร้อมกัน   เมื่อเสื้อผ้าขาด หากยังไม่ยุ่ย  โยมแม่ก็เอามาตัดต่อกันเป็นผ้าห่ม ผ้าปูที่นอน หรือผ้ารองนั่ง  สุดท้ายก็ทำเป็นผ้าขี้ริ้ว

เวลาไปโรงเรียน   ลูกๆ ต้องรู้จักประหยัดค่าขนม   เพราะโยมแม่ให้เงินไม่มาก จำได้ว่าตอนอยู่ ป.๒   ข้าพเจ้าได้เงินค่าขนมแค่วันละ ๕๐ สตางค์ (สมัยนั้น ค่ารถเมล์เที่ยวละ ๕๐ สตางค์ ก๋วยเตี๋ยวจานละ ๒ บาท) เวลาหยุดพัก เพื่อนๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกคนรวยจะวิ่งไปซื้อขนมต่างๆ ได้ตามใจชอบ   แถมยังสามารถซื้อของเล่นราคาแพงได้ด้วย   แต่ข้าพเจ้าซื้อได้อย่างมากก็ไอศกรีมเพียงแท่งเดียวเท่านั้น  หากต้องการมากกว่านี้ ก็ต้องรอเวลาโยมแม่หรือพี่สาวมารับตอนเย็น   จึงจะได้กินขนมอื่นเพิ่มเติม   แต่จะว่าไปแล้ว ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะพวกเราเลือกกันเอง 

 ตอนนั้นโยมแม่ให้เราตัดสินใจว่า จะนั่งแท็กซี่ไปโรงเรียนหรือขึ้นรถเมล์ พวกเราเลือกอย่างแรก  ดังนั้นจึงถูกลดค่าขนมเพื่อเจียดไปจ้างแท็กซี่   อย่างไรก็ตาม  การที่โยมแม่ให้เงินใช้เพียงเล็กน้อย   ก็ได้ช่วยฝึกฝนให้ข้าพเจ้ารู้จักอดทนต่อความต้องการ   และไม่เรียกร้องจากชีวิตมากเกินจำเป็น   พลอยให้เกิดนิสัยสันโดษอยู่บ้างในเรื่องการกินและการเที่ยวเตร่สนุกสนาน   

แต่มีสิ่งหนึ่งที่โยมแม่ไม่สามารถสอนให้ข้าพเจ้าสันโดษได้ ก็คือเรื่องหนังสือหนังหา   โยมแม่มักถามข้าพเจ้าเสมอว่าซื้อหนังสือมากมากมายแล้วอ่านหมดหรือ   แม้จะรู้ว่าอ่านไม่มีวันหมดดอก  แต่ข้าพเจ้าก็ยังซื้อหามาได้ไม่หยุด

โยมแม่เลี้ยงลูกแบบไม่ตามใจ   แม้จะไม่ใช่คนเจ้าระเบียบ  แต่โยมแม่เคร่งครัดนักในเรื่องการกินการนอนและกิจวัตรอื่นๆ  ลูกๆ ต้องรู้เวลา จะไปเที่ยวเล่นที่ไหนก็ตาม ต้องกลับบ้านตามกำหนด  ยิ่งลูกสาวด้วยแล้ว  ไปค้างคืนที่ไหนลำบากมาก   แม้เมื่อข้าพเจ้าเรียนมหาวิทยาลัยแล้วก็ตาม   ใครฝ่าฝืนอาจิณเป็นต้องโดนไม้เรียว   

ดังนั้นเรื่องหนีเรียนจึงไม่ต้องพูดถึงเลย   เพราะไม่มีใครกล้าทำ   จะเป็นโชคดีหรือโชคร้ายของข้าพเจ้าไม่ทราบได้   ทั้งโรงเรียนและที่บ้านนิยมใช้ไม้เรียวในการสั่งสอน  พวกเราจึงต่อสู้ขับเคี่ยวกับไม้เรียวมาแต่เล็ก  

 เนื้อตัวของข้าพเจ้าปลอดพ้นจากรอยไม้เรียวและเข็มขัด   ทั้งจากโรงเรียนและที่บ้านอย่างสิ้นเชิง   ก็ต่อเมื่ออยู่ชั้น ม.ศ.๓ คืออายุ ๑๕ ปีแล้ว

การรู้จักประหยัดที่อดออมก็ดี   และการมีระเบียบวินัยไม่ตามใจตนเองก็ดี โดยเนื้อแท้แล้ว เข้าใจว่าโยมแม่คงมุ่งหมายอบรมบ่มเพาะเพื่อให้ลูกๆ รู้จักพึ่งตนเองเป็นสำคัญ   ตั้งแต่ข้าพเจ้าอยู่ชั้น ป.๓  พวกเราที่เป็นลูกผู้ชายทั้ง ๓ คน  ก็ต้องรู้จักขึ้นรถเมล์ไปโรงเรียนกันเองแล้ว   ทั้งๆ ที่บางรักอยู่ไกลจากวัดสระเกศไม่น้อยเลย  ต่อตอนเย็น โยมแม่หรือพี่สาวจึงมารับ   

ครั้นโตขึ้นอีกหน่อย  เราก็ต้องกลับบ้านกันเอง  เรื่องการบ้านก็เป็นอีกเรื่องที่พวกเราต้องเอาใจใส่กันเอง   มีบางครั้งที่ข้าพเจ้าลืมเอาสมุดการบ้านมาโรงเรียน หากเป็นคนอื่นพ่อหรือแม่คงกุลีกุจอหาทางเอามาส่งให้ที่โรงเรียน แต่โยมแม่ไม่เคยทำเช่นนั้นเลย  หากปล่อยให้ลูกรับผิดชอบกับการกระทำของตนเอง

  ทั้งๆ ที่รู้ว่าโทษที่ลูกอาจได้รับคือไม้เรียว   โยมแม่ทำเฉยไม่ได้นาน   เรื่องทำนองนี้ในที่สุดก็หมดไปเอง   เพราะลูกๆ ไม่กล้าสะเพร่าหลงลืมในเรื่องการบ้านอีกต่อไป

ชีวิตครอบครัวเราดูจะไปได้ดีในช่วง ๑๐ ปีแรก   หลังจากนั้นก็มีเหตุ  โยมแม่ประสบมรสุมชีวิตแต่งงาน  ที่บ้านมีปากเสียงกันเป็นประจำ   จนลุกลามเป็นความรุนแรงก็หลายครั้ง   อายุแค่ ๕-๖ ขวบ ข้าพเจ้าก็คุ้นกับภาพโยมแม่ร้องไห้ในห้อง  บางครั้งโยมแม่เคยถึงกับจะคิดสั้นด้วยซ้ำ  แต่เพราะความรักลูก โยมแม่จึงกล้ำกลืนฝืนทนมาได้  

มานึกย้อนหลัง ก็อดใจหายไม่ได้ว่า ชีวิตของพวกเราเมื่อเล็กๆ นั้น   ช่างหมิ่นเหม่ต่อความวิบัติเสียเหลือเกิน   หากว่าโยมแม่คิดเอาอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองเป็นสำคัญ   ตัดช่องน้อยแต่พอตัว   อนาคตของพวกเราคงจะมืดมนไปแล้ว   

การที่บ้านไม่แตกสามารถประคับประคองเป็นครอบครัวมาได้โดยตลอด   นับว่าเป็นเพราะความอดทนของโยมแม่โดยแท้ 

 หากทนไม่ได้จริงๆ โยมแม่ก็จะหนีไปบ้านญาติ   แต่ที่ไปบ่อยคือบ้านเดิมที่อยุธยา โยมแม่หายไปทีไร   บ้านก็ไม่เป็นบ้าน วุ่นวายกันไปหมด   ดังนั้น พอล่วงเลยไปได้ไม่กี่วัน พวกเราทั้ง ๕ คนก็แห่กันไปตามแม่กลับมาบ้าน   หรือไม่ก็ขอร้องวิงวอนให้พ่อไปชวนกลับมา เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นเป็นอาจิณ   จำได้ว่าจวบจนเมื่อข้าพเจ้าอายุได้ ๑๕ ปี   พวกเราก็ยังนั่งรถไฟไปอยุธยา   เพื่อขอร้องให้โยมแม่กลับมาอยู่พวกเราดังเดิม  หลังจากครั้งนั้นแล้ว   โยมแม่ก็ไม่ได้ประท้วงด้วยวิธีการนี้อีกเลย

ความไม่ราบรื่นในชีวิตครอบครัว   ทำให้โยมแม่ต้องกระเหม็ดกระแหม่และอดออมมากขึ้น

คนใช้ที่เคยมีก็งดเสีย โยมแม่รับทำงานบ้านเองหมด   พวกเรานอกจากเป็นลูกมือช่วยโยมแม่แล้ว  ยังต้องประหยัดเงินตามด้วย   จำได้ว่า ตอนอายุราวๆ ๑๑ หรือ ๑๒ ปี   ข้าพเจ้าเอาเงินที่อดออมได้ไปซื้อหน้ากากดำน้ำราคา ๔๐ บาท   กลับมาบ้านถูกพี่ต่อว่า ว่าไม่รู้จักประหยัด 

 อันที่จริงบ้านเราตอนนั้นใช่ว่าจะยากจน   โยมพ่อหาเงินได้แต่ละเดือนก็ไม่น้อยเมื่อเทียบกับคนทั่วไป แต่เงินถูกระบายออกไปทางอื่น โยมแม่จึงต้องทำหน้าที่รักษาผลประโยชน์ของครอบครัวอย่างเต็มที่   ทำทุกวิถีทางที่จะถ่ายเงินจากกระเป๋าพ่อมาสู่กระเป๋าโยมแม่ เพื่อว่าเงินจะได้ใช้ในทางที่เป็นประโยชน์แก่ลูกๆ   โดยเฉพาะในเรื่องการศึกษาเล่าเรียน ลูกผู้หญิงนั้นไม่สู้อะไร  แต่ลูกผู้ชายสิ   ค่าใช้จ่ายในเรื่องนี้สูงมาก เพราะอยู่โรงเรียนอัสสัมชัญทั้งสามคน โยมแม่เป็นกำลังสำคัญทีเดียวที่ผลักดันให้พวกเราได้เรียนที่อัสสัมชัญจนจบ  

โยมแม่ไม่ใช่คนที่มีการศึกษาสูง   แต่กลับเห็นคุณค่าของการศึกษาอย่างมาก

ไม่ว่าเงินจะกลายมาเป็นปัญหาในบ้านเพียงใด โยมแม่ก็ถือคติพึ่งตน ไม่เคยเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากใคร โยมแม่สอนลูกว่า อย่าไปเป็นหนี้ใคร มีน้อยก็ใช้น้อยและอดออมเอา วิถีชีวิตและคำสอนของโยมแม่ ทำให้ข้าพเจ้านึกคำโคลงโลกนิติที่ว่า

             ถึงจนทนสู้กัด          กินเกลือ

อย่าเที่ยวแล่เนื้อเถือ       พวกพ้อง

  อดอยากเยี่ยงอย่างเสือ       สงวนศักดิ์

 โซก็เสาะใส่ท้อง                  จับเนื้อกินเองฯ

            แต่ก็นับว่าเป็นโชคของพวกเราที่ไม่เคยลำบากถึงกับยากจน   ตัวข้าพเจ้าเอง   เทียบกับเพื่อนนักเรียนอัสสัมชัญหลายคน   ก็ยังนับว่าสบายกว่ามาก   เพราะอย่างน้อยที่สุด   ก็มีค่าเล่าเรียนส่งให้ไม่เคยขาดหรือล่าช้า   อุปกรณ์อำนวยความสะดวกในบ้าน   เราก็ใช่ว่าจะขาดแคลน   แต่ถ้าเทียบกับลูกๆ ของน้าแล้ว   เป็นอีกเรื่องหนึ่ง   กระนั้นพวกเราก็ไม่รู้สึกเดือดร้อนหรือเป็นทุกข์ที่มีกินมีใช้สะดวกสบายน้อยกว่าเขา 

 อันที่จริง เรื่องสนุกสนานเที่ยวเตร่ของลูกๆ นั้น   โยมพ่อใช้จ่ายอย่างเต็มที่ โยมแม่ต่างหากที่ระวังในเรื่องนี้มาก เงินแต่ละบาทใช้แต่ละทีต้องมีค่า   จนบางที กลายเป็นคนขี้เหนียวในสายตาของญาติๆ   แต่สำหรับลูกๆ โยมแม่เป็นคนเขียมที่รู้ค่าของเงิน   ว่าอะไรควรจ่าย ไม่ควรจ่าย อะไรควรจ่ายก่อนและจ่ายหลัง   ระหว่างการมีเงินเที่ยวเตร่สนุกสนาน   กับการมีบ้านเป็นหลักแหล่ง โยมแม่เห็นว่า   ประการหลังมีความสำคัญมากกว่า  

 ในเมื่อเงินที่ใช้จ่ายภายในครอบครัวของเรามีจำกัด   โยมแม่จึงเลี้ยงลูกโดยถือคติ “อดเปรี้ยวกินหวาน”

คือให้ลำบากชั่วคราวเพื่อความสุขในภายภาคหน้า   ดังนั้นแทนที่จะใช้จ่ายเงินเพื่อความสุขชั่วครั้งชั่วคราวของลูกๆ   โยมแม่เลือกที่จะสะสมเงินไว้จนมากพอที่จะซื้อบ้านและที่ดินเป็นสมบัติของครอบครัวได้ 

 โยมแม่เป็นคนมองการณ์ไกล  

 และรู้ว่าการมีบ้านของตนเองเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับครอบครัว

โยมแม่รู้เรื่องนี้ดีเพราะนับแต่แต่งงาน พ่อแม่ลูกต้องย้ายบ้านครั้งแล้วครั้งเล่า จากถนนเดโช ไปวัดแขกสีลม แล้วก็ข้ามไปบางยี่ขัน อยู่นานที่สุดก็ที่ถนนดำรงรักษ์กว่า ๒๐ ปี   จากนั้นก็ต้องย้ายไปเชิงสะพานซังฮี้  ในซอยวัดภคินีนาถ และก่อนจะลงเอยที่บางโพ อันเป็นบ้านที่ ๗ ก็ต้องไปเช่าบ้านแถบนั้นอยู่แรมปี   

น่าแปลกตรงที่ โยมแม่เป็นเพียงแม่บ้านธรรมดา ไม่ได้มีอาชีพหรือทำธุรกิจใดๆ แต่กลับมีเงินเป็นก้อน สามารถซื้อบ้านและที่ดินหลายแปลง ไว้เป็นสมบัติของลูกๆ ทุกคนได้   เป็นอันว่าที่ลูกๆ ยอมลำบากตามที่แม่สอนนั้น ในที่สุดก็ได้รับรางวัลตอบแทนจากแม่แล้ว

โยมแม่เองก็ได้รับรางวัลจากความเพียรและความรักลูกเช่นกัน   คือได้เห็นลูกที่ยังมีชีวิตอยู่ทุกคน มีความเจริญก้าวหน้าในชีวิต มีหลักมีฐานมั่นคงตามสมควร ครอบครัวมีความสุข จะยกเว้นก็แต่ข้าพเจ้าเท่านั้นที่โยมแม่มีความห่วงใยเป็นพิเศษ เพราะมีวิถีชีวิตผิดแปลกจากใครๆ   ที่โยมแม่กังวลมากที่สุด คือกลัวว่าหากข้าพเจ้าแก่ตัวลงไป จะลำบาก

บางทีข้าพเจ้าก็ตะแบงตอบไปว่า ข้าพเจ้าอาจไม่มีโอกาสได้แก่ก็ได้   อย่างไรก็ตาม โยมแม่ไม่เคยขอร้องให้ข้าพเจ้าสึก   เพราะเห็นว่าข้าพเจ้ามีความสุขดีแล้วในเพศสมณ

นึกย้อนไปแล้ว คงไม่มีลูกคนใดที่ผิดจากความคาดหวังของโยมแม่เหมือนข้าพเจ้า

ตอนเด็กๆนั้น   ข้าพเจ้าเป็นความหวังของโยมพ่อโยมแม่มากทีเดียว   เพราะเป็นเด็กเรียนดี   โยมพ่อโยมแม่มักกล่าวชมให้ญาติพี่น้องฟังเสมอ   จัดได้ว่าเป็นคนโปรดทั้งของโยมพ่อและโยมแม่   เวลาโยมแม่ไปไหนมักพาข้าพเจ้าติดตามไปด้วยเสมอ   แม้กระทั่งเวลาไปหาลำไพ่พิเศษที่บ้านญาติ   ข้าพเจ้าก็ติดไปดูโยมแม่เล่นไพ่ด้วย (เงินของโยมแม่คงได้จากทางนี้ส่วนหนึ่งด้วย  แต่เมื่อลูกโต ก็งดเรื่องนี้หมด)

ข้าพเจ้าแต่เดิมก็เป็นเด็กว่านอนสอนง่าย มาเริ่มออกนอกลู่นอกทางที่โยมแม่หวัง ก็เมื่ออายุ ๑๕ ขณะเรียนชั้น ม.ศ. ๓  

 การที่ได้อ่านได้ฟังเรื่องราวต่างๆ นอกเหนือจากวิชาที่เรียนในห้อง  ทำให้เกิดความสนใจและห่วงใยในความเป็นไปของบ้านเมือง   ดังนั้นที่เคยคิดจะเรียนเพื่อมีอาชีพการงานมั่นคง   ก็เปลี่ยนไป  โดยคำนึงควบคู่ไปด้วยว่า จะเป็นประโยชน์แก่สังคมวงกว้างเพียงใด  

 ในระหว่างที่เรียน จึงทำกิจกรรมอาสาพัฒนาในโรงเรียนไปด้วย   ช่วงนี้เองที่ข้าพเจ้าเริ่มรู้จักกลับบ้านเย็น  และภายหลังก็ร่นมาเป็นดึก  วันแรกที่กลับบ้านค่ำโดยไม่ได้บอกล่วงหน้านั้น   ที่บ้านนึกเป็นห่วง  แต่ตอนหลังก็คุ้นและยอมให้ทำ   เพราะเชื่อใจว่าข้าพเจ้าคงไม่ไปทำอะไรไม่ดีไม่งาม 

 อย่างไรก็ตาม  เมื่อข้าพเจ้าทำกิจกรรมมากขึ้น โยมแม่ก็ชักจะไม่เห็นด้วย    มีคราวหนึ่งข้าพเจ้าขอไปค่ายยุวชนสยามที่ จังหวัดนครสวรรค์ หลังปิดเทอมชั้น ม.ศ. ๓ โยมแม่ไม่อยากให้ไป   เพราะเห็นว่าข้าพเจ้าเพิ่งกลับจากค่ายของโรงเรียนอัสสัมชัญมาได้ไม่กี่วัน   ข้าพเจ้าเกิดแข็งขืนขึ้นมา    เลยเกิดการโต้เถียงกัน   เรื่องนี้ภายหลังเพื่อนต้องมาเตือนข้าพเจ้าให้เพลาลงบ้าง

โยมพ่อโยมแม่อยากให้ข้าพเจ้าเรียนแพทย์   แต่ยิ่งนานวัน  ใจข้าพเจ้าก็โน้มไปทางสังคมศาสตร์   ยิ่งมาเกิดเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ขณะที่ข้าพเจ้าอยู่ชั้น ม.ศ.๔ ก็เลยคิดเบนเข็มไปเรียนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 

 เผอิญปีต่อมา พี่ชายของข้าพเจ้าเกิดสอบติดมหาวิทยาลัยมหิดล   มีโอกาสเรียนแพทย์ได้   ข้าพเจ้าซึ่งขึ้นชั้น ม.ศ. ๕ ได้ไม่ถึงเดือน จึงขออนุญาตที่บ้าน ย้ายจากห้องวิทย์มาห้องศิลป์กลางคัน   คงเพราะที่บ้านดีใจในผลสอบของพี่ชายกระมัง   จึงไม่มีใครคัดค้านข้าพเจ้า

หลังจากที่เข้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ในปี ๒๕๑๘   คงมีครั้งเดียวกระมังที่ข้าพเจ้าสร้างความภูมิใจให้แก่โยมพ่อโยมแม่  นั่นคือได้ทุนภูมิพลโดยรับพระราชทานรางวัลจากพระหัตถ์ในหลวง   นั่นเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับประวัติการเรียนดี 

 นับแต่นั้นข้าพเจ้าก็ไม่ต่างจากนักศึกษาทั่วไปในเรื่องผลสอบ   ถึงตอนนั้น ข้าพเจ้าคงมิได้เป็นความหวังของที่บ้านสักเท่าใดแล้ว   แต่สิ่งหนึ่งที่โยมแม่ยังมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมก็คือความห่วงใยในตัวข้าพเจ้า   ด้วยข้าพเจ้าไปคลุกคลีกับกิจกรรมมากขึ้นทุกที และกลับบ้านไม่เป็นเวลา แถมยังออกต่างจังหวัดเสมอๆ   ตอนนั้นข้าพเจ้าทำ ปาจารยสาร และช่วยงานกลุ่มกัลยาณมิตรเต็มตัวแล้ว 

 อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าโชคดีกว่านักกิจกรรมรุ่นเดียวกันตรงที่ ไม่ค่อยมีปัญหาจากทางบ้าน  โยมแม่แม้จะไม่สบายใจและไม่เข้าใจว่าทำไมข้าพเจ้าถึงวุ่นวายอย่างนั้น   แต่ก็ไม่ได้ขัดขวาง   เพราะลึกๆ ก็วางใจในข้าพเจ้าว่ารู้จักผิดชอบชั่วดี

แต่ไม่ว่าข้าพเจ้าจะระวังตัวเพียงใด  ในที่สุดก็ทำให้โยมแม่ทุกข์ร้อนจนได้   เมื่อเกิดเหตุการณ์ ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๙ ข้าพเจ้าหายไปไม่กลับบ้าน   โยมแม่ร้อนใจเป็นอย่างยิ่งเพราะกลัวว่าข้าพเจ้าอาจถูกฆ่าตายที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์   ทั้งๆ ที่โยมแม่เป็นคนกลัวศพ แต่วันนั้นโยมแม่ไปหาข้าพเจ้าตามโรงพยาบาลต่างๆ   และขอดูศพของผู้ที่ตายในเหตุการณ์   มาดีใจก็เมื่อพบชื่อข้าพเจ้าในรายชื่อผู้ถูกคุมขังที่โรงเรียนพลตำรวจชลบุรี เมื่อรับตัวข้าพเจ้ากลับมาบ้านแล้ว   โยมแม่อีกนั่นแหละ    ที่พาข้าพเจ้าไปให้หมอตรวจเช็คร่างกายว่า    ยุบสลายบอบช้ำหรือไม่  จากการฝ่าดงเท้าของเหล่าประชาชนผู้รักชาติที่สนามฟุตบอลธรรมศาสตร์

            หลังจากวันนั้น ข้าพเจ้าก็ถูกโยมแม่ขอร้องแกมควบคุมให้อยู่แต่ในบ้าน แม้จะไปดูหนัง โยมแม่ก็ตามไปด้วย   แต่ข้าพเจ้าก็ยังหาช่องหลบหลีกไปจนได้   ต่อเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย โยมแม่จึงเลิกจับตา กระนั้น ข้าพเจ้าก็ยังมีเรื่องให้โยมแม่เป็นห่วงอยู่เสมอ  

จำได้ว่าวันหนึ่งตอนปลายเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๕๒๐   โยมแม่พาข้าพเจ้าไปหาหมอที่ถนนราชดำเนิน ขากลับขณะรอรถเมล์ ข้าพเจ้าซื้อหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง  แต่ไม่ได้ ให้โยมแม่ดู   โยมแม่มารู้ภายหลังว่า ข้าพเจ้าเป็นข่าวหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์ฉบับนั้น   เนื่องจากก่อนหน้านั้นวันหนึ่งข้าพเจ้าได้ร่วมเป็นตัวแทนนักศึกษาประชาชนกว่า ๖๐๐ คน ยื่นจดหมายเปิดผนึกต่อคณะปฏิวัติให้นิรโทษกรรมนักโทษการเมืองทั้งหมด โยมแม่อ่านข่าวแล้วก็อดเป็นห่วงข้าพเจ้าไม่ได้

ดังได้กล่าวแล้วว่า ตอนเด็กๆ นั้นข้าพเจ้าใกล้ชิดกับโยมแม่ยิ่งกว่าลูกคนใด   ครั้นโตขึ้น มีโลกของตัวเอง ก็เหินห่างโยมแม่มากขึ้น   แต่ก็เบาใจที่ลูกคนสุดท้องมาใกล้ชิดกับโยมแม่แทน

  ถาวรเป็นคนที่ไม่วุ่นอย่างข้าพเจ้า   ทั้งยังอยู่ในโอวาท ช่วยงานบ้านแข็งขันกว่าข้าพเจ้ามากนัก   แถมยังเอาอกเอาใจโยมแม่เก่ง   ช่วงนั้นโยมแม่เริ่มมีชีวิตที่ผาสุก ส่วนหนึ่งก็เพราะ    นอกจากลูกจะโตเป็นหนุ่มเป็นสาว เริ่มทำงานทำการกันบ้างแล้ว โยมพ่อเองก็สามารถปลดเปลื้องพันธะจากที่อื่น   และหันมาอยู่ใกล้ชิดกับพวกเรามากขึ้น 

แต่ก็เป็นคราวเคราะห์ของพวกเราทุกคน ในปี ๒๕๒๑ ถาวรก็จากพวกเราไป   นับเป็นความสูญเสียครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตของโยมแม่   โยมแม่เฝ้าพยาบาลถาวรอยู่นานจนร่างกายผ่ายผอม แล้วในที่สุดก็ต้องมาจัดงานศพให้แก่ลูกของตน   ข้าพเจ้าสงสารโยมแม่จับใจ   เมื่อเห็นลูกที่โยมแม่เคยอุ้มชูและเลี้ยงดูแต่เล็กจนเติบใหญ่   บัดนี้คงเหลือแต่อัฐิ อยู่ในห่อผ้าขาวที่โยมแม่ถือ เพื่อนำไปโปรยที่ปากน้ำเจ้าพระยา    

ข้าพเจ้ารู้ดีว่า เราเรียกร้องอะไรไม่ได้จากมัจจุราช    แต่จากเหตุการณ์ครั้งนั้น ข้าพเจ้าอดไม่ได้ที่จะตั้งจิตอธิษฐานว่า หากถึงคราวที่ข้าพเจ้าจะต้องมีอันเป็นไป ก็ขอให้เกิดขึ้นหลังจากที่โยมแม่หาชีวิตไม่แล้วเถิด

ข้าพเจ้าเชื่อว่า ไม่ว่าลูกจะทุกข์เพราะการจากไปของโยมแม่เพียงใดก็ตาม ก็ไม่อาจเทียบได้กับ ความทุกข์ของโยมแม่ที่ต้องเห็นลูกคนหนึ่งตายจากไปอีก

            กว่าโยมแม่จะสร่างจากความเศร้าโศกก็เป็นเวลานาน ระหว่างนั้นได้อาศัยบุญกุศลเป็นที่พึ่ง โดยไปวัดมหาธาตุฯ เป็นประจำ หนึ่งปีหลังจากนั้น ครอบครัวของเราก็ย้ายมาที่ฝั่งตรงข้ามตลาดบางโพ ปักหลักบนที่ๆ เป็นของเราอย่างแท้จริง   จะเรียกว่าเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่หลังจากถาวรจากไปก็ได้   ยกเว้นช่วงที่ไปเมืองนอกแล้ว   ระยะนั้นข้าพเจ้าซึ่งลด (หรือเลื่อน) ฐานะมาเป็นลูกคนสุดท้อง  ได้มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดกับโยมแม่มากกว่าลูกคนอื่นๆ   เพราะพี่สาวไม่นานก็แต่งงานออกเรือนไป   ส่วนพี่ชายก็อยู่โรงพยาบาลต่างจังหวัด นานๆ จะเข้ามากรุงเทพฯ ที  

 ต่อเมื่อพี่ชายย้ายมาทำงานที่กระทรวงสาธารณสุข ข้าพเจ้าจึงสบโอกาสที่จะลาบวช   โยมแม่ออกจะดีใจที่ข้าพเจ้าตัดสินใจเช่นนั้นสาเหตุประการหนึ่งก็เพราะโยมแม่เชื่อว่าการบวชจะทำให้ข้าพเจ้าไม่ไปเกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางสังคมดังแต่ก่อน   

แต่โยมแม่คงไม่คิดมาก่อนว่า   ข้าพเจ้าจะบวชนานเป็นสิบปี   แถมยังยุ่งเกี่ยวกับกิจกรรมต่างๆ มากมายผิดกับพระทั่วไป

            การบวชทำให้ข้าพเจ้าเหินห่างจากโยมแม่ยิ่งกว่าแต่ก่อน  เพราะข้าพเจ้าย้ายไปอยู่ที่วัดในชนบท ทำให้โยมแม่เป็นห่วงเป็นใยมากขึ้น   ทั้งในแง่สภาพความเป็นอยู่ในปัจจุบัน และความเป็นไปในอนาคต  

 มานึกย้อนดูแล้ว ข้าพเจ้าเป็นลูกที่มีเหตุให้โยมแม่เป็นห่วงตั้งแต่เล็กจนโต   คงเป็นเพราะชีวิตข้าพเจ้าโลดโผนกว่าลูกคนอื่นๆ ตั้งแต่สมัยเด็กก็มีเรื่องแปลกๆ มากมาย  เช่น ไหนจะตกจากรถแท็กซี่ขณะไปเที่ยว ไหนจะกินน้ำมันก๊าดเข้าไปเพราะพี่เลี้ยงสำคัญว่าเป็นน้ำเปล่า แถมยังขี้โรค เลี้ยงเท่าไรก็ไม่รู้จักโต ไม่รู้จักอ้วนเหมือนคนอื่นเขา นับเป็นลูกที่ผลาญเงินของพ่อแม่มากที่สุดในเรื่องการบำรุงร่างกาย และเมื่อโตแล้วก็ยังมีชีวิตไม่เหมือนใคร  นอกจากไม่รู้จักตั้งเนื้อตั้งตัวมีเหย้ามีเรือนเสียทีแล้วยังมีเรื่องให้ตื่นเต้นอยู่เรื่อย  

 คราวเกิดเหตุการณ์พฤษภาคมอำมหิต  โยมแม่เป็นห่วงข้าพเจ้าคงไม่น้อยกว่ากรณี ๖ ตุลาคม   ตามหาตัวข้าพเจ้าจ้าละหวั่น   จนในที่สุดได้เบอร์โทรศัพท์สามารถติดต่อกับข้าพเจ้าได้   จึงค่อยโล่งใจที่ข้าพเจ้าปกติสุขดี

            เวลาข้าพเจ้าเข้ากรุงเทพฯ ก็มักแวะไปเยี่ยมบ้านโยม   มีบางช่วงเข้ามาบ่อย จนโยมแม่สงสัยว่าข้าพเจ้ามีงานมากอะไรนักหนา   แต่มาทุกครั้ง โยมแม่ก็ดีใจ มาไต่ถามพูดคุยอยู่เสมอ   แต่ข้าพเจ้าก็มักจะมีเรื่องอื่นดึงความสนใจไปเสีย ทั้งที่เป็นสาระและไม่เป็นสาระ ไม่ได้ให้เวลากับโยมแม่เท่าที่ควร โยมแม่มารู้เรื่องราวของข้าพเจ้ามากที่สุดก็จากเพื่อนๆ  

 ดังนั้นเวลาเพื่อนๆ ข้าพเจ้าแวะมาเยี่ยมเยียนโยมแม่ที่บ้าน   โยมแม่จึงดีใจและกระตือรืนร้นที่จะได้ฟังข่าวคราวเกี่ยวกับข้าพเจ้า  ช่วยให้คลายความกังวลไปได้  นับว่าข้าพเจ้าเป็นหนี้บุญคุณเพื่อนๆ มาก   

ความห่างเหินของข้าพเจ้าต่อโยมแม่ ไม่ใช่เป็นเพราะความห่างไกลทางภูมิศาสตร์หรือเพราะระยะห่างอันเนื่องจากผ้ากาสาวพัสตร์   แต่เป็นเพราะข้าพเจ้ามีโลกส่วนตัวของตนเอง  ที่ทำให้เกิดช่องว่างในการสื่อสาร   เวลาพบโยมแม่ ข้าพเจ้าจึงประสงค์เป็นฝ่ายฟังมากกว่า   แต่โยมแม่กลับอยากฟังข้าพเจ้าพูด

            ชีวิตของโยมแม่เป็นชีวิตที่ลุ่มๆ ดอนๆ   บางครั้งทำท่าว่าจะมีความสุขกับเขาเสียที แต่แล้วก็ยังมีเหตุบันดาลให้ทุกข์อีก   เป็นเช่นนี้หลายครั้ง   

อย่างไรก็ตามในช่วง ๗-๘ ปีสุดท้าย ชีวิตของโยมแม่ก็เข้าสู่สมัยแห่งความสุข   บ้านกลับมีชีวิตชีวา   เพราะนอกจากจะมีลูกชายและลูกสาวอยู่ใกล้แล้ว ยังมีหลานแสนซนคอยตามติดยาย ส่วนโยมพ่อก็ได้มาเป็นเพื่อนโยมแม่ที่บ้าน ชีวิตไม่เหงาเงียบดังแต่ก่อน   

นอกจากนั้น เพื่อนบ้านในซอยก็ล้วนสนิทสนมเอื้อเฟื้อกันดี   ถึงวันหยุด ลูกๆที่แยกเรือนออกไป ก็มารับไปเที่ยวกินอาหารกลางวัน โยมแม่ยังติดนิสัยประหยัด ไม่อยากกินอาหารแพงๆ   ลูกๆต้องคะยั้นคะยอ  ไม่ให้เป็นห่วง บางทีก็เปลี่ยนบรรยากาศออกไปค้างแรมกับลูกๆ ในที่ไกลๆ ไม่ว่าจะเป็นชายทะเล  เกาะแก่งและภูเขาสูง โยมแม่ดูจะไม่ระย่อเลย โยมแม่เป็นคนชอบเดินทางท่องเที่ยวทั้งใกล้และไกล  

ตอนที่พวกเรายังเด็กๆ โยมแม่ชอบไปทอดกฐินต่างจังหวัด แล้วก็ร้างราไปนาน  ช่วงหลังนี้เอง กระเป๋าเดินทางของโยมแม่ได้ใช้งานอีก   บางคราวไปกับโยมพ่อไกลถึงประเทศจีน ได้เยือนบ้านเกิดที่ไหหลำอีก โยมแม่ไปเมืองจีนไม่น้อยกว่า ๓ ครั้ง   ครั้นลูกสาวขอเป็นเจ้ามือพาแม่ไปเที่ยวญี่ปุ่น โยมแม่กลับเสียดายเงิน แก้เกี้ยวไปว่า เมืองไทยยังเที่ยวไม่หมดจะไปเที่ยวเมืองนอกทำไม แต่ลูกๆ ก็รู้ว่า โยมแม่เตรียมจะไปเมืองจีนอีกคำรบหนึ่ง   โดยชวนข้าพเจ้าไปด้วย   แต่ข้าพเจ้าติดขัดเนื่องจากหนังสือเดินทางเพิ่งหมดอายุ   ครั้นจะทำใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ขอขอบคุณ ภาพจากเว็บไซต์ วัดป่าสุคะโต
ขอขอบคุณ ภาพจากเว็บไซต์ วัดป่าสุคะโต

โยมแม่เคยไปเยี่ยมข้าพเจ้าถึงวัดป่าสุคะโต   และเตรียมจะมาเยี่ยมที่วัดป่ามหาวันเมื่อเดือนธันวาคมที่แล้วกลับกลุ่มศึกษาและปฏิบัติธรรม   แต่ข้าพเจ้าได้ทัดทานไว้ว่าอากาศหนาวนัก  จึงงดเสีย   แต่ก่อนหน้านั้น ข้าพเจ้ากับพี่สาวก็ได้พาโยมแม่ไปเที่ยวนครวัด การเดินทางทุลักทุเลยิ่งนัก แต่โยมแม่ไม่ยี่หระ และดูไม่กระเทือนเลย เพราะเมื่อกลับมาบ้าน วันรุ่งขึ้นก็ลุกมาทำงานแต่เช้ามืด   ขณะที่ลูก ๆ ยังนอนเพลียไม่หาย   แถมเคล็ดขัดยอกอีกต่างหาก

เมื่อข้าพเจ้ากลับมาเยี่ยมบ้านครั้งหลังๆ   สิ่งหนึ่งที่เห็นอย่างโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของโยมแม่ ก็คือรอยยิ้ม  โยมแม่เริ่มใส่แว่นตาเป็นประจำตั้งแต่เมื่อไรข้าพเจ้าไม่ทันสังเกต   แต่ทุกครั้งที่มาบ้านจะเห็นรอยยิ้มของโยมแม่เด่นชัดกว่าอย่างอื่น 

 ยิ้มของโยมแม่เป็นยิ้มที่แจ่มใสอย่างคนอารมณ์ดีและมีความสุขกับชีวิต   เป็นยิ้มที่ลูกๆ ไม่สู้ได้เห็นจนกระทั่ง ๕-๖ ปีหลังนี้เอง 

 แม้ว่าโยมยังคงทำงานมาก   และเป็นหลักของบ้านเหมือนเดิม แถมยังต้องมีภาระเลี้ยงดูหลาน ๒ คน อีกด้วยก็ตาม   ก่อนหน้านั้น ข้าพเจ้าเคยติดต่อหาเด็กๆ จากหมู่บ้านใกล้วัดมาช่วยงานโยมแม่   แต่ระยะหลังก็เหลว   เพราะหาเด็กยาก ชาวบ้านสนใจเป็นกรรมกรโรงงานมากกว่าทำงานบ้าน ไปๆ มาๆ โยมแม่ก็ต้องทำเองอีก แต่คราวนี้โยมแม่ไม่ต้องเหนื่อยกับงานบ้านมาก   เพราะมีเครื่องทุ่นแรงหลายอย่าง รวมทั้งเครื่องซักผ้า

งานที่จะทำให้โยมแม่เหนื่อย เห็นจะได้แก่การเลี้ยงดูหลานนั่นเอง โยมแม่มักปรารภว่า เด็กสมัยนี้ซนกว่าสมัยก่อนมาก แต่การเลี้ยงหลานก็มีส่วนทำให้โยมแม่เพลินไม่น้อย    อดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่า ตอนที่เลี้ยงพวกเรา โยมแม่ก็คงจะเพลินเช่นกัน จะแตกต่างก็ตรงที่ โยมแม่ไม่เข้มงวดกับหลานอย่างที่เคยทำกับพวกเรา อยากจะกินอะไรโยมแม่ก็ไม่ขัด นับว่าอยู่สบายกว่าพวกเรามาก   ถึงอย่างไรก็ตาม หากหลายเฮี้ยวเกินไปเป็นต้องเจอไม้เรียวจนได้

ครั้งสุดท้ายที่ข้าพเจ้าพบโยมแม่ก็คือ ช่วงเทศกาลตรุษจีน  ข้าพเจ้าเพิ่งเสร็จจากการปฏิบัติธรรมเนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพหลวงพ่อชา สุภทฺโท จังหวัดอุบลราชธานี พอถึงกรุงเทพฯ เช้าตรู่ก็แวะมาที่บ้าน   ตั้งใจว่าจะกลับวัดป่ามหาวันคืนนั้นเลย   แต่ได้ตั๋วกำหนดเดินทางวันรุ่งขึ้น   คืนนั้นจึงพักที่บ้านโยม 

 วันนั้นโยมแม่ได้ปรารภว่า ระยะหลังนี้มีอาการวิตกกังวลอยู่บ่อยๆ จะทำอะไร ก็ให้วิตกไปหมด ตื่นขึ้นมาก็ฟุ้งซ่าน พลอยให้ไม่อยากจะทำอะไร

ข้าพเจ้าแนะว่า ให้ลองฝึกสมาธิดู   หรือไม่ก็ทำวัตรสวดมนต์ตามเสียงเทป โยมแม่ก็บอกว่า ห้ามความคิดไม่อยู่   สุดท้ายเลยแนะให้โยมแม่หางานทำเพลินๆ โดยไม่ต้องใช้ความคิดหรือใช้แรงมากไป   ข้าพเจ้ามีความคิดในภายหลังว่า   หากนำโยมแม่ทำสมาธิหรือทำวัตรสวดมนต์   คงจะดีกว่าให้โยมแม่ทำคนเดียวที่บ้าน  แต่โยมแม่ไม่คุ้นกับการอยู่วัดป่า   ข้าพเจ้าจึงตั้งใจที่จะชวนโยมแม่ไปค้างแรม   ที่สวนของเพื่อนรุ่นพี่ผู้หนึ่ง   ซึ่งคุ้นเคยกับโยมแม่ดี   แต่แล้วความคิดนี้ก็ต้องเป็นหมันไปในที่สุด

เช้าวันรุ่งขึ้น ๒๒ มกราคมเป็นวันไหว้ ที่บ้านทำการเซ่นไหว้เจ้าที่และบรรพบุรุษตามธรรมเนียม นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่บวชที่ข้าพเจ้าได้มาอยู่บ้านในช่วงเทศกาลตรุษจีน ชวนให้ย้อนระลึกถึงตอนเด็กๆ ที่เคยช่วยโยมแม่จัดเตรียมเครื่องเซ่นไหว้   แต่มาเวลานี้ได้แต่เฝ้าดูเท่านั้น   พอสาย  ข้าพเจ้าก็เดินทางกลับวัด  ไม่เฉลียวใจเลยว่า  นั่นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้พบและพูดคุยกับโยมแม่

วันที่โยมแม่เกิดอุบัตินั้น ข้าพเจ้ากำลังอยู่ที่ปราสาทพนมรุ้ง โดยเพิ่งเสร็จจากการไปบรรยายแก่พระเขมรที่จังหวัดสุรินทร์   และไปฟังการตัดสินคดีหลวงพ่อประจักษ์ คุตฺตจิตฺโต ที่ศาลจังหวัดบุรีรัมย์    คืนนั้นข้าพเจ้าได้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ โดยมีกำหนดแวะไปที่บ้านตอนกลางวัน   แต่เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นก็ได้ทราบข่าวร้ายจากเพื่อน   แทนที่จะได้พบโยมแม่ที่บ้าน ก็กลับเป็นที่ห้องไอซียูเสียแล้ว       

โยมแม่ได้รับความกระทบกระเทือนที่สมอง  อาการหนักมาก  หมดสติ   ไร้ความรู้สึกตัวตั้งแต่แรกเกิดเหตุ แม้จะปลอดภัยจากการผ่าตัดสมอง เอาเลือดคั่งออกมาได้ แต่อาการก็ไม่ดีขึ้นเลย การเต้นของหัวใจและความดันเลือดอ่อนลงเรื่อยๆ หมอทุกคนพยากรณ์โรคไปในทางลบหมด

  พวกเราได้ฟังแล้วก็ใจหาย ข้าพเจ้าแม้จะได้เจริญมรณสติ นึกถึงความตายที่จะบังเกิดแก่คนรู้จักอยู่เนืองๆ   แต่ก็ไม่คิดว่า โยมแม่จะเหลือเวลาอยู่กับเราเพียงน้อยนิด นึกแล้วก็สงสารโยมแม่  ที่มามีอันเป็นไปในช่วงที่กำลังจะมีความสุขหลังจากที่ทุกข์ยากมานาน   ความพากเพียรอุตสาหะและความอดทนของโยมแม่กำลังผลิดอกออกผลอย่างเต็มที่ในช่วงนี้   แต่โยมแม่เสวยผลได้ไม่นานก็กลับถูกตัดรอนเสียอีก

นึกดูก็มีเหตุผลอีกมากมายที่โยมแม่ไม่สมควรจากเราไปในช่วงนี้   แต่ความตายนั้นไม่เคยมีเหตุผลเลย   ป่วยการที่จะเรียกร้องเหตุผลหรือความถูกต้องจากความตาย  แง่หนึ่ง โยมแม่ก็ยังโชคดีกว่าคนอื่นๆ   ที่ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานเพราะโรคเรื้อรังอย่างมะเร็ง   และมิได้ประสบเหตุสยดสยอง  สะเทือนขวัญอย่างน่าสมเพชเวทนา   นอกไปจากนั้น กิจใดที่โยมแม่พึงกระทำ โดยเฉพาะในฐานะมารดา ก็ได้ทำจนแล้วเสร็จทุกประการ ไม่มีเรื่องใดที่คั่งค้าง หรือชวนให้กังวล ส่วนพวกเราเองก็ยังนับว่าโชคดี ที่โยมแม่ให้เวลาลูกๆค่อยๆ ทำใจทีละนิด   มิใช่ว่าจะไปอย่างปุบปับจนตั้งตัวไม่ทัน

ตลอดเวลาที่อยู่โรงพยาบาล   ระบบประสาทของโยมแม่ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ   แต่พวกเราเชื่อว่า จิตของโยมแม่ยังสามารถรับรู้บางสิ่งบางอย่างได้   แม้ไม่ครบถ้วนเต็มรูปอย่างคนปกติ   พวกเราจึงเปิดเทปธรรมะและทำวัตรสวดมนต์ให้โยมแม่ฟังตลอดจนสวดโพชฌงค์และทำสมาธิแผ่เมตตาไปให้   รวมทั้งพูดคุยกับโยมแม่เสมือนคนปกติ   จะเป็นเพราะสิ่งเหล่านี้หรือเปล่าไม่ทราบ ได้ช่วง ๓-๔ วันหลัง  โยมแม่จึงมีสีหน้าเหมือนคนนอนหลับปกติ

โยมแม่นอนอยู่โรงพยาบาลได้ ๗ วันแล้วก็จากไปอย่างสงบ   ๒๐ นาทีสุดท้ายนั้นข้าพเจ้าได้มีโอกาสอยู่กับโยมแม่   การเต้นของหัวใจขึ้นลงเร็วมาก   แล้วในที่สุด  เส้นกร๊าฟก็แบนราบเป็นเส้นตรง   วินาทีนั้นคือวินาทีที่เราไม่ต้องการให้เกิด   แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้   ข้าพเจ้าตั้งสติและบอกกับโยมแม่ในช่วงนั้นเองว่า   บัดนี้วิญญาณของโยมแม่ละสังขารแล้ว   ต่อนี้ไป  อย่าได้เป็นห่วงกังวลกับสังขาร   ทรัพย์สมบัติและลูกหลานอีกเลย   มีแต่บุญกุศลเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งของโยมแม่   และตามติดโยมแม่ไป   แล้วข้าพเจ้าก็ต้องประคองจิตไม่ให้ตก   เพื่อจะได้บอกข่าวร้ายแก่โยมพ่อและพี่ๆ ที่อยู่นอกห้อง

ข้าพเจ้ากลับเข้าไปยังห้องไอซียูอีกครั้ง   พยาบาลและลูกๆ ได้เปลี่ยนเครื่องแต่งตัวให้โยมแม่เสร็จแล้ว โยมพ่อรวมทั้งญาติพี่น้องและลูกๆอยู่รายรอบเตียง   เบื้องหน้าข้าพเจ้านั้นคือร่างที่นอนสงบนิ่ง   โยมแม่ในความรู้สึกของข้าพเจ้าตอนนั้น   เหมือนนักรบอาชาไนยที่กรำศึกในสมรภูมิชีวิตอย่างไม่ระย่อท้อถอยมาโดยตลอด  บัดนี้ได้สำเร็จเสร็จสิ้นภารกิจและทอดร่างลงอย่างสง่า  

 ในยามนี้  ลูกชายของโยมแม่จึงมีแต่รอยยิ้มด้วยน้ำตาคลอเบ้าเท่านั้นที่จะให้แก่โยมแม่   ยิ้มเพราะชื่นชมและภูมิใจในโยมแม่ ที่แม้ทุกข์จะย่ำยีเพียงใดแต่ก็ไม่เคยเป็นอื่น   นอกจากการอุทิศตนเพื่อความผาสุกของลูกๆ อย่างถูกทำนองคลองธรรม  

 ยิ้มเพราะดีใจที่โยมแม่ได้มีความสุขในชีวิตบั้นปลาย   หลังจากที่ลำเค็ญมาหลาบสิบปี   และได้เห็นลูกๆเจริญก้าวหน้าตามวิถีทางของตน 

 ข้าพเจ้ายิ้มด้วยความซาบซึ้ง   เพราะบุคคลเบื้องหน้านั้นให้แต่ความรักและความอบอุ่นมาตลอดชีวิต   เป็นผู้ที่ให้แต่คุณ ไม่มีโทษ   แต่แล้วน้ำตาก็ต้องคลอเบ้าด้วยความเศร้า ที่บัดนี้โยมแม่ได้จากพวกเราไปตลอดกาล

            เมื่อนึกย้อนถึงครั้งโยมแม่ยังอยู่กับพวกเรา ก็ให้อาลัยยิ่งนัก ได้แต่อาศัยธรรมะเป็นเครื่องกำกับใจให้รู้ว่า   ความตายนั้นก็ไม่ต่างกับการกลายสถานะจากดักแด้เป็นผีเสื้อ ไม่มีเหตุอันใดให้ควรเสียใจเศร้าโศก   เราเองอีกไม่นานก็จะเป็นเช่นนั้น   จึงควรขวนขวายทำความเพียรให้เกิดทั้งประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน  เพื่อว่าเมื่อถึงวันนั้น   จะได้โบยบินสู่อิสระเสรี   มีสุคติเป็นที่หมาย  โดยที่สัมปรายภพของโยมแม่ข้าพเจ้าก็เชื่อว่าอยู่ที่นั่นเช่นกัน

พระไพศาล วิสาโล

๑๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๖

พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล ขอขอบคุณ ภาพจาก หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล ขอขอบคุณ ภาพจาก หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ

ประวัติ

พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล

โดยสังเขป

จากเว็บไซต์ วัดป่าสุคะโต www.pasukato.org

เดิมชื่อ ไพศาล วงศ์วรวิสิทธิ์ เป็นชาวกรุงเทพฯ เกิดเมือปี พ.ศ. ๒๕๐๐ สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕ แผนกศิลปะ จากโรงเรียนอัสสัมชัญ และสำเร็จการศึกษาขั้นอุดมศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ สาขาวิชาประวัติศาสตร์ ระหว่างเรียนที่ธรรมศาสตร์ เคยเป็นสาราณียกรปาจารยสาร (๒๕๑๘-๒๕๑๙) และเป็นเจ้าหน้าที่กลุ่มประสานงานศาสนาเพื่อสังคมตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๙ (จนถึงปีพ.ศ. ๒๕๒๖) โดยมีบทบาทร่วมในแนวทางอหิงสาต่อเหตุการณ์ ๖ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๙ จนเป็นเหตุให้ถูกล้อมปราบภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และถูกคุมขังในเรือนจำเป็นเวลา ๓ วัน

ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๒๖ อุปสมบท ณ วัดทองนพคุณ กรุงเทพมหานคร เรียนกรรมฐานจากหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ วัดสนามใน ก่อนไปจำพรรษาแรก ณ วัดป่าสุคะโต อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ โดยศึกษาธรรมกับหลวงพ่อคำเขียน สุวณฺโณจนถึงปัจจุบัน

ปัจจุบันเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต แต่ส่วนใหญ่พำนักอยู่ที่วัดป่ามหาวัน อำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ โดยจำพรรษาสลับระหว่างวัดป่าสุคะโตกับวัดป่ามหาวัน

นอกจากการจัดอบรมปฏิบัติธรรมและการพัฒนาจริยธรรมแล้ว พระไพศาลยังเป็นประธานเครือข่ายพุทธิกา กรรมการมูลนิธิโกมลคีมทอง กรรมการมูลนิธิสุขภาพไทย กรรมการมูลนิธิสันติวิถี กรรมการสถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น คณะกรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยขอนแก่น และกรรมการสภาสถาบันอาศรมศิลป์

ทุกวันนี้พระไพศาลยังเขียนหนังสือและบทความอยู่เป็นประจำ ผลงานมีหลากหลายประเภท ได้แก่ งานบรรยาย งานเขียนและงานเขียนร่วม งานแปลและงานแปลร่วม งานบรรณาธิกรณ์และบรรณาธิกรณ์ร่วม ค้นหาได้ที่www.visalo.org

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here