จาริกธรรมอเมริกา (ตอนที่ ๑๖)
“สัจธรรมแห่งการเจ็บไข้ คือนาทีทองของความรู้สึกตัว”
โดย พระครูสมุห์สุพัฒน์ อนาลโย
นับตั้งแต่เดือนมิถุนายนจนมาถึงเดือนนี้ประมาณ ๗ เดือน ก็ได้ปฏิบัติศาสนากิจมาตลอดมีงานทั้งในวัดและนอกวัด พักผ่อนบ้าง ทำงานสร้างเสริมเติมแต่งไปเรื่อยๆ ถึงฤดูร้อนเหงื่อไหลไคลย้อยจนอังสะเปียกราวกับสรงน้ำเลย
ฤดูฝนได้แต่ดูเม็ดน้ำฝนตกลงกระทบกับต้นหญ้า น้ำท่วมทุ่งหญ้า นกมาเล่นน้ำเสียงดังแจ๋วๆ ผ่านไป
ฤดูหนาวก้าวเข้ามา ต้นไม้ที่เคยสวยงาม เช่น ต้นกล้วย มะเขือพวง เหี่ยวแห้งตายไปกับความหนาวเย็น ที่รอดคือ ต้นสน และ ต้นโอ๊ก
อย่างไรก็ตาม ญาติโยมนำอาหารคาวหวานมาถวาย กลับกลายเป็นพละกำลังกาย และกำลังใจในการสร้างศาสนวัตถุวัดพุทธเมตตามหาบารมี ซึ่งเป็นวัดแรกในเมืองโกเซ รัฐมิสซิสซิปปี้้ เพื่อพระพุทธศาสนาไว้ให้เป็นสมบัติของชาวพุทธในอเมริกาสืบต่อไป
รถราบ้านเรือนใช้บ่อยก็ย่อมเก่าเสื่อมโทรมไปเป็นธรรมดาตามหลักเกณฑ์ของธรรมชาติ ความเจ็บไข้ได้ป่วยก็เป็นหนึ่งในนั้นเฉกเช่นเดียวกัน
เทวทูตทั้งสี่ คือ แก่ เจ็บ ตาย และ สมณะ ที่เจ้าชายสิทธัตถะได้เห็นโทษและหาทางแก้ไข ในที่สุดพระองค์ได้ค้นพบหนทางแก้ไขและดับทุกข์เหล่านี้ได้สำเสร็จตามความต้องการของพระองค์
ดั่งพระนามของพระองค์ “สิทธัตถะ”
แปลว่า “ผู้ยังความต้องการให้สำเร็จ”
ความเจ็บไข้มาเยือนกาย มีใครบ้างตั้งแต่เกิดมายังไม่เจ็บป่วยไข้เลย คำตอบคือ คงไม่มี ทุกคนน่าจะเจอหรือผ่านช่วงเวลานั้นมาแล้วไม่มากก็น้อย แล้วเราจะมีวิธีการรับมือกับความเจ็บป่วยไข้และไม่ทุกข์ได้อย่างไรบ้าง
การเจ็บป่วยไข้ ไม่มีใครปรารถนาที่จะเป็นมัน เพราะเป็นแล้วมันอึดอัดทรมาน หงุดหงิดง่าย กระวนกระวาย ร่างกายอ่อนแอ ใจอ่อนล้า ทำให้เสียเวลา เสียการงาน และอื่นๆ อีกมากมาย
ผู้เขียนเอง ช่วงฤดูหนาวนี้ หลังจากกลับมาจากไปฉันเพลที่บ้านโยม ได้ตากลมหนาวและละอองฝนนิดหนึ่ง ร่างกายสู้ความเย็นไม่ไหว ตกเย็นลงมาเริ่มหนาวขนลุกซ่านทั้งตัว มีอาการจามมาด้วย
วันที่สอง…เริ่มมีอาการเจ็บที่คอแล้วอาการของไอเริ่มเข้ามา คัดจมูกหายใจทางจมูกได้เพียงข้างเดียว น้ำมูกเริ่มไหลสีใสๆ ออกมา เสียงเริ่มเปลี่ยนไป ตาเริ่มร้อน มึนศีรษะ ลมหายใจก็ร้อน ร่างกายก็เริ่มร้อน เจ็บเนื้อเจ็บตัวไปหมด วันนี้ไม่ได้ฉันยาดูอาการมันก่อน
ตอนกลางคืนนอนดูอาการ คือ นอนห่มผ้าแล้วตั้งจิตตั้งใจภาวนา ดูอาการการเคลื่อนไหวของลมหายใจเข้า-ออกเฉยๆ และสลับเปลี่ยนไปมา คลึงมือด้านขวามือเพื่อให้มีสติเกิดความรู้สึกตัวไปเรื่อยๆ พอทำความรู้สึกที่มือไม่ชัด ก็กลับมาดูที่ลมหายใจไปเรื่อยๆ เรื่องราวของอดีตเกิดขึ้นคิดถึงพ่อแม่ คิดว่าเราจะมาตายที่นี่หรือ พอรู้ความคิดแล้วก็เริ่มกลับมาดูที่ลมหายใจเข้าออกเหมือนเดิม แล้วก็เผลอหลับไป
วันที่สาม…ตอนเช้าก็มีอาการไอบ่อยครั้ง ร่างกายเริ่มอ่อนแอ น้ำมูกไหลเช็ดน้ำมูก ตัวร้อนหนาวๆ เย็นหน่อย ฉันน้ำขิงร้อนอุ่นๆ ให้ชุ่มคอ ใช้น้ำมันเหลืองทาจมูกทาใต้คอด้วย
หลังฉันเพลเสร็จก็ฉันยาแล้วมานอนพักผ่อน ช่วงเวลานี้ล่ะเป็นโอกาสทองที่เราได้มาดูจิตดูใจตน ฉันน้ำเปล่าสักครึ่งแก้วแล้วนอนห่มผ้า เป็นช่วงที่เราป่วยจะได้อยู่กับตนเองจริงๆ มีเพียงกายที่นอนนิ่งอยู่เอามือแนบไว้ข้างลำตัวทั้งสองข้าง มือขวาคลึงนิ้วมือไปเรื่อยๆ รู้สึกตัวที่นิ้วมือเคลื่อนไหว มันเกิดความคิดขึ้นมาก็ปล่อยความคิดนั้นเสีย เอาใจเรามาจับที่ความรู้สึกที่อาการเคลื่อนไหวของนิ้วมือ
เมื่อเมื่อยมือขวาก็เปลี่ยนข้างมาทางมือซ้ายก็คลึงนิ้วให้เกิดความรู้สึกตัว ไม่เผลอเพลิน ทำนองเดียวกับทางมือขวา หรือไม่ก็สลับมาดูอาการเคลื่อนไหวของลมหายใจ กายแน่นิ่งรู้สึกที่ขาแขนนิ่ง ร่างกายก็เริ่มร้อน เหงื่อเริ่มออก นี่ถือว่าดีแล้วร่างกายปรับอุณหภูมิ (ความคิดส่วนตัว เวลาฉันยาแล้วนอนห่มผ้าพักให้เหงื่อไหลออกมาหลังจากนั้นอาการจะดีขึ้น)
ถ้ากายเคลื่อนไหวใจก็รับรู้ มีความคิดที่เป็นอดีต อนาคตก็ให้รู้กลับมาที่การเคลื่อนไหวของหัวแม่มือหรือดูอาการเคลื่อนไหวที่ท้องก็ได้ หรือลมหายใจเข้าออกก็ได้ ทำไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหลับไปเอง หรือเผลอหลับก็ไม่เป็นไร
ในขณะนั้นก็ฟังเทศน์ของหลวงตาจับใจความว่า
“สัพเพ ธัมมา อนัตตา
ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา”
ความเจ็บไข้เกิดขึ้นแล้วหายไปขณะหนึ่ง เราไปยึดความเจ็บไข้เป็นตัวเราของเรา มันก็ทุกข์กับเจ็บไข้ไปด้วย ทำใจของเราให้ว่างจากความเจ็บไข้ ให้มารู้สึกตัว และไม่ยึดมั่นถือมั่นในความรู้สึกตัว ให้รู้เฉยๆ เป็นธรรมดาๆ ในเมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่นในความเจ็บไข้ มันก็ปล่อยวาง มาอยู่กับความรู้สึกตัว รู้เฉยๆ รู้ซื่อๆ รู้ธรรมดา ก็เป็นอนัตตา ไม่มีตัวไม่มีตน นั่นเอง รู้สึกตัวไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็หลับไป
ในวันที่สี่… อาการก็ดีขึ้นกายได้พักผ่อนได้ฉันยาบรรเทาอาการเจ็บไข้ทางกาย เสริมกำลังพลังทางใจด้วยการเจริญสติแบบเคลื่อนไหว ในทำนองที่ว่ากายเคลื่อนไหวใจรับรู้ เพื่อไม่ให้จิตใจคิดฟุ้งซ่าน ให้ใจได้มีที่ทำงานอยู่ในปัจจุบันธรรม อยู่กับความรู้สึกตัว หรือมีสติอยู่กับการเคลื่อนไหว ใจไม่ทุกข์กับกาย ใจดีเข้มแข็ง อิสระด้วยความบริสุทธิ์ใจของใจแล้วก็บรรเทาหายได้เร็วขึ้น
สุดท้าย กายเจ็บป่วยไข้ เพราะการทำงานของระบบของร่างกายไม่สมดุลกันหรือธาตุไม่สมดุลกันก็ทำให้บกพร่องก่อให้เจ็บไข้ได้ป่วย ทรุดโทรมเสื่อมเสียไปตามกาลเวลาและการใช้งาน เป็นธรรมดาตามธรรมชาติ
ใจได้เรียนรู้สัจธรรม ร่างกายตามความเป็นจริงของธรรมชาติ ได้รู้จักวิธีการรับมือกับความเจ็บป่วยไข้ในเบื้องต้น ต้องยอมรับความเป็นจริงเราเจ็บป่วยจริงๆ
นี่คือธรรมดาของธรรมชาติที่เป็นจริง กายมันป่วยไข้เพราะธาตุไม่สมดุลกัน ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม อันใดอันหนึ่งอาจจะทำหน้าที่มากเกินไป จึงทำให้ร่างกายมันไม่สบายหรือไม่ปกติ กายเป็นไข้ใจอย่าเป็นไข้ตาม ใจไม่เป็นไข้ตามกาย กายก็หายจากไข้ได้เช่นเดียวกัน
สรุปว่า กายเป็นไข้ ใจได้เรียนรู้สัจธรรมตามความเป็นจริง อย่าประมาทกับชีวิต ให้รีบเร่งทำความดี สร้างตัวสติความรู้สึกตัว อย่าลุ่มหลงไปกับวัตถุสิ่งของมากนัก ไม่ควรติดกับดักของสมมุติ จนลืมความจริงของธรรมธรรมชาติก่อนสิ้นลมหายใจนั้นก็คือ ความรู้สึกตัวตามความเป็นจริง สละสมมุติ เพื่อสร้างสั่งสมปรมัตถธรรม(ความรู้สึกตัว ปัจจุบันธรรม สติ)
กายป่วยคือทุกข์ของแท้ ใจได้เรียนรู้ทุกข์ตัวนี้ตามความเป็นจริง ไม่หลงไปเป็นทุกข์ เข้าใจทุกข์ ปล่อยวางทุกข์ที่ใจ ใจอิสระจากทุกข์ไม่เดือดร้อนไปตามความทุกข์นี้
ป่วยเพียงแค่กาย แต่ส่วนใจรับรู้ดูห่างๆ ไม่เป็นอะไรกับอะไรนั่นเอง
จาริกธรรมอเมริกา ตอนที่ ๑๖ “สัจธรรมแห่งการเจ็บไข้ คือนาทีทองของความรู้สึกตัว” โดย พระครูสมุห์สุพัฒน์ อนาลโย