
วันนี้วันพระ วันเสาร์ที่ ๓ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๑๐
ศึกษาปฏิปทาพระเถระแห่งยุคสมัยกึ่งพุทธกาล
ผู้มีคุณูปการต่อประเทศชาติ พระพุทธศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเอนกอนันต์

“ปูชา จ ปูชนียานํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ.
ขอนอบน้อมแด่ครู พระอุปัฌชาย์ อาจารย์
ผู้ให้ชีวิตในพระศาสนาของพระพุทธองค์ ด้วยเศียรเกล้าฯ”
ร่องรอยความทรงจำแห่งอดีต
บอกเล่าปฏิปทาในการครองตน ครองคน ครองงาน
เพื่อจรรโลงความดีงาม ตามครรลอง “วิถีแห่งผู้นำ”
สำหรับสามบทนี้ ผู้เขียนสรุปช่วงเวลาหนึ่งในประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) ด้วยความเสียสละเพื่อสังฆมณฑล และเพื่อสานสร้างพระสงฆ์และสามเณรเพื่อเป็นพุทธบุตรในการสืบทอดพระพุทธศาสนาด้วยความศรัทธาในพระรัตนตรัยยิ่งกว่าชีวิตและ วัตรปฏิบัติของเจ้าประคุณสมเด็จฯ ในการแสดงความภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ที่ทรงเป็นองค์อุปถัมภกพระพุทธศาสนามาโดยลำดับจนถึงพระองค์ปัจจุบัน

๖๖. ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช รูปที่สอง

วัดสระเกศฯ นั้น มีสมเด็จพระสังฆราชพระองค์แรก คือ เจ้าพระคุณสมเด็จพระสังราช (อยู่ ญาโณทยมหาเถร) เมื่อสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระอาการประชวร และประทับรักษาพระองค์ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ มาตั้งแต่ต้นปีพ.ศ. ๒๕๔๕ ทำให้ทรงงานพระศาสนาไม่สะดวก มหาเถรสมาคมจึงมีมติเห็นชอบแต่งตั้งให้เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ตามประกาศสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ ๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๗

เมื่อเวลาการแต่งตั้งได้สิ้นสุดลง ที่ประชุมมหาเถรสมาคมจึงมีมติให้มีคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เพื่อบริหารกิจการคณะสงฆ์ เจ้าประคุณสมเด็จฯ ในฐานะพระเถระที่มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ได้รับเลือกให้ เป็นประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช


๖๗. ประทานโอวาท
ในงานมอบพัดยศ หรือเกียรติบัตรยกย่องเจ้าประคุณสมเด็จฯ มักจะชี้แนะแนวทางปฏิบัติ ที่จะให้สอดคล้องกับความรับผิดชอบของคณะสงฆ์เสมอว่า มหาเถรสมาคมประกาศระเบียบว่าด้วยสำนักปฏิบัติธรรมเมื่อปีพ.ศ. ๒๕๔๓ นั้น บรรดาสำนักต่างๆ เข้าใจเป็นอันดีว่าเป็นเรื่องอันหนึ่งอันเดียวกันของพระสงฆ์ ซึ่งเป็นไปตาม “พุทธประสงค์ที่ต้องการให้พระอยู่กันอย่างพี่อย่างน้อง และอาศัยกันและกันโดยไม่แก่งแย่งกัน ดังที่สวดในท้ายปาฏิโมกข์ทุกวันพระ ๑๕ ค่ำนั่นเอง”

เจ้าประคุณสมเด็จฯ กล่าวว่า ประเทศไทยเรายังมีระเบียบแบบแผนต่างๆ ส่งเสริมพระศาสนา ยกย่องพระสงฆ์ให้ปรากฏในสังคมโดยสถาบันพระมหากษัตริย์ เช่น การโปรดเกล้าฯ พระราชทานสมณศักดิ์ ลำดับชั้นเจ้าคณะผู้ปกครองตามพระราชบัญญัติ โดยมิต้องการให้เหนือกว่า ดีกว่า หรือน้อยกว่า
“ถ้าดูตามประสงค์พื้นๆ ธรรมดา ก็กล่าวได้ว่าเพื่อยกย่อง มิใช่เพื่อแสดงความสูงต่ำจนกระทั่งเกิดอาการ (ไม่ดี) เข้ามาแทนที่ ซึ่งวันนี้พิสูจน์แล้ว เพราะพระเถระผู้ใหญ่ต่างมาประชุมที่เดียวกัน โดยไม่ถือชั้นนั้นชั้นนี้ แต่แสดงความเป็นสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าเหมือนกัน”
เจ้าประคุณสมเด็จฯ บอกว่า โดยความรู้สึกแล้ว ท่านดีใจเป็นอย่างยิ่งที่เห็นปรากฏการณ์อย่างนี้

๖๘ . เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์
ส่วนที่เป็นวัตรปฏิบัติของเจ้าประคุณสมเด็จฯ คือ การแสดงความภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ จะเห็นว่าทุกครั้งหลังจากจบโอวาทในงานคณะสงฆ์ เจ้าประคุณสมเด็จฯ ขอให้ที่ประชุมตั้งใจถวายพระราชกุศลแด่องค์พระมหากษัตริย์ โดยขอให้ที่ประชุมตั้งใจถวายเป็นพระราชกุศลแด่องค์พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ที่ทรงเป็นองค์อุปถัมภกพระพุทธศาสนามาโดยลำดับจนถึงพระองค์ปัจจุบัน และขอให้อธิษฐานใจร่วมกันถวายพระพรชัยมงคล ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงคุณอันประเสริฐในฐานะที่ทรงเป็นพุทธมามกะ ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ทรงมีพระราชประสงค์สิ่งใดขอให้สัมฤทธิ์โดยเร็วพลัน
ดังนั้น เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ จึงเป็นตัวอย่างแห่งความจงรักภักดีต่อพระพุทธองค์ พระธรรมวินัย พระสงฆ์ และสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่สาธุชน และพระสงฆ์สามเณรควรจะเจริญรอยตาม

วิถีแห่งผู้นำ : สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสณมหาเถร) ๖๖. ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช รูปที่สอง ๖๗. ประทานโอวาท ๖๘. เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ : เรียบเรียงโดย พระครูอมรโฆสิต (ปรีชา สาเส็ง)
