
วันนี้วันพระ วันพุธที่ ๒๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๗
เรียนรู้ปฏิปทาพระเถระ
ผู้เสียสละเพื่อสังฆมณฑล
เพียรสร้างพระสงฆ์รุ่นใหม่
เพื่อรับใช้เพื่อนมนุษย์ได้มากที่สุด
ในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาบนผืนแผ่นดินไทย
สำหรับสองบทนี้เล่าย้อนถึงช่วงที่หลวงพ่อสมเด็จฯ สำเร็จการศึกษาเปรียญธรรม ๙ ประโยค ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะผู้ปกครอง แม้พระเถระผู้ใหญ่ในสมัยนั้น ต้องการให้เป็นเจ้าคณะผู้ปกครองในภาคกลาง แต่ท่านกลับเลือกที่จะไปเป็นผู้ปกครองทางภาคที่กันดาร และเดินทางไปยากที่สุด คือ ภาคอีสาน เนื่องจากท่านได้เล็งเห็นว่า หากจะพัฒนาประเทศชาติและพระศาสนา จะต้องพัฒนาจากภาคที่มีประชากรมากที่สุดก่อน โดยเน้นที่การให้การศึกษา ส่วนอีกบทหนึ่งเล่าถึงเบื้องหลังความแตกฉานทางพระไตรปิฎก ภาษาบาลี และภาษามคร จนได้รับนิมนต์เข้าร่วมสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๖ ที่ประเทศพม่า ต่อมาได้เป็นรองประธานสภาสงฆ์แห่งโลก ในปีพุทธศักราช ๒๔๒๔ และในปีต่อมาได้รับนิมนต์จากคณะสงฆ์ศรีลังกาให้เป็นผู้สาธิตการอุปสมบทแบบสยามวงศ์ดั้งเดิม จนกระทั่งนำมาสู่การจัดงานวิสาขบูชาโลกที่ประเทศไทยในเวลาต่อมา

วิถีแห่งผู้นำ
: สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ)
๔๓. ความพากเพียรก้าวสู่ความสำเร็จ
๔๔. ห้องสมุดส่วนตัว
เรียบเรียงโดย พระครูอมรโฆสิต (ปรีชา สาเส็ง)

๔๓. ความพากเพียรก้าวสู่ความสำเร็จ
จากวันที่สำเร็จการศึกษาเปรียญธรรม ๙ ประโยค เพราะความรักที่มีต่อพระพุทธศาสนาอย่างเปี่ยมล้น เมื่อก้าวขึ้นสู่การบริหารคณะสงฆ์ และได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะผู้ปกครอง แม้พระเถระผู้ใหญ่ในสมัยนั้น ต้องการให้เป็นเจ้าคณะผู้ปกครองในภาคกลาง แต่หลวงพ่อสมเด็จฯ กลับเลือกที่จะไปเป็นผู้ปกครองทางภาคที่กันดาร และเดินทางไปยากที่สุด คือ ภาคอีสาน
เนื่องจากหลวงพ่อสมเด็จฯ ได้เล็งเห็นว่า หากจะพัฒนาประเทศชาติและพระศาสนา จะต้องพัฒนาจากภาคที่มีประชากรมากที่สุดก่อน โดยเน้นที่การให้การศึกษา

ย้อนกลับไปกก่อนหน้านั้นอีก จากผลการเรียนจนสามารถสอบได้เปรียญธรรม ๕ ประโยคในขณะเป็นสามเณรได้สร้างความภาคภูมิใจให้แก่หลวงพ่อพริ้งผู้เป็นอาจารย์เป็นอย่างมาก แม้ญาติโยมชาวเกาะสมุยก็รู้สึกภาคภูมิใจและเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่สามเณรน้อยชาวเกาะผู้เมื่อแรกตั้งใจว่าจะบวชเพียง ๗ วัน แต่กลับอยู่ในร่มผ้ากาสาวพัสตร์จนสามารถสอบเปรียญธรรม ๕ ประโยคได้ ความภาคภูมิใจเช่นนี้ยังไม่เคยมีใครสามารถนำมาสู่ชาวเกาะสมุย ซึ่งเป็นชุมชนที่ตั้งสันโดษอยู่กลางทะเลอ่าวไทย ห่างไกลจากการรับรู้ของผู้คนบนแผ่นดินใหญ่ จนคนสมัยโน้น เข้าใจกันว่าเกาะสมุยอยู่นอกอาณาเขตการปกครองของไทย
ข่าวคราวการสอบได้เปรียญธรรม ๕ ประโยคของสามเณรเกี่ยว จึงเป็นเรื่องที่เล่าขานกันอย่างกว้างขวางของชาวเกาะสมุย ในเวลานั้น และยิ่งเรียนจบเปรียญธรรม ๙ ประโยคด้วยแล้วในเวลาต่อมา จึงเป็นที่ปลาบปลื้มของชาวสมุยเป็นที่สุด

วิสัยทัศน์พุทธบุตร
ผู้เกิดมาเพื่อต่อลมหายใจให้กับพระพุทธศาสนา
๔๔.
ห้องสมุดส่วนตัว

หลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านเป็นคนอ่านหนังสือมาก ชอบสะสมหนังสือเป็นชีวิตจิตใจ จนมีห้องสมุดส่วนตัว และหนังสือที่ท่านชอบสะสม คือ พระไตรปิฏก มีทั้งฉบับภาษาพม่า ศรีลังกาและอักษรโรมัน
เพราะท่านอ่านพระไตรปิฎกมาตั้งแต่เป็นสามเณร ตามคำแนะนำของเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช ผู้เป็นพระอาจารย์ ซึ่งพระองค์ทรงทราบถึงความสามารถของพระมหาเกี่ยวว่ามีความเชี่ยวชาญพระไตรปิฎกเป็นอย่างดีรูปหนึ่งของคณะสงฆ์ไทย โดยเฉพาะคัมภีร์พระวินัย ท่านแปลคัมภีร์สมันตปาสาทิกา ซึ่งเป็นอรรถกถาอธิบายพระวินัย ได้รับการยกย่องว่า เป็นสำนวนแปลที่งดงาม เป็นที่ต้องการของผู้เรียนบาลีเปรียญเอก

เห็นได้ว่าหลังจากสอบได้เปรียญธรรม ๙ ประโยคในปีเดียวกันนั้นเอง รัฐบาลพม่าขณะนั้น เป็นเจ้าภาพจัดให้มีประชุมฉัฏฐสังคีติ (เป็นการสังคายนาพระไตรปิฎกในพม่าเป็นครั้งที่ ๒ แต่พม่าถือว่าเป็นการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๖ นับจากหลังพุทธกาลเป็นต้นมา เรียกว่า ฉัฏฐสังคายนา โดยทำพิธีเปิดงานตามพุทธศักราชของพม่า เมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๘ จนถึงวันที่ ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๐ ซึ่งพม่านั้นพุทธศักราชเร็วกว่าไทย ๑ ปี จึงตรงกับ พ.ศ. ๒๔๙๗ – ๒๔๙๙ ของไทย) จึงได้มีหนังสืออาราธนานิมนต์ผ่านคณะสงฆ์ไทย ขอให้ส่งผู้แทนที่มีความเชี่ยวชาญในพระคัมภีร์สังคีติ และข้อปฏิบัติในพระกรรมฐานเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ พระมหาเกี่ยวเป็นอีกรูปหนึ่งที่ได้เข้าร่วมประชุมตามคำอาราธนานิมนต์ และได้บรรยายอรรถกถา คัมภีร์สังคีติเป็นภาษาบาลี และได้ให้โอกาสผู้ฟังได้สอบถามเป็นภาษาบาลีด้วย

ในการเดินทางครั้งนี้ นอกจากพระมหาเกี่ยวแล้ว ยังมีพระอาจารย์ใหญ่อีก ๒ รูป เข้าร่วมประชุมด้วย คือ พระอุดมวิชาญาณเถร (โชดก ญาณสิทฺธิ) สำนักปฏิบัติวิปัสสนา วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ศิษย์เก่าสำนักวิปัสสนากรรมฐาน วัดศาสนยิสสา เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า ซึ่งเป็นพระมหาเถระเชี่ยวชาญแตกฉานในพระไตรปิฎก และมีความทรงจำเป็นเลิศ สามารถบอกเรื่องราวต่างๆ ว่าอยู่ในเล่มใด และบางครั้งบอกหน้าหนังสือเล่มนั้นด้วย อีกทั้งท่านยังเป็นนักประพันธ์ที่นิพนธ์เรื่องศาสนาได้รวดเร็ว และได้นิพนธ์ไว้มากมายหลายเรื่อง
อีกท่านคือ พระอาจารย์ทอง หรือ “หลวงปู่ทอง สิริมังคโล” พระเถระชั้นผู้ใหญ่อีกรูปของเมืองเชียงใหม่ ได้รับการยกย่องว่าเป็นพระที่เคร่งครัดระเบียบวินัย ใส่ใจด้านการปฏิบัติกัมมัฏฐาน ได้รับการยกย่องเป็นพระเกจิอาจารย์ระดับแนวหน้าแห่งถิ่นล้านนา เข้าฝึกวิปัสสนากัมมัฏฐานจากสำนักวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ กรุงเทพฯ และสำนักมหาสีสยาดอสาสนยิสสา กรุงย่างกุ้ง ประเทศสหภาพพม่า (ปัจจุบัน สาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า หรือ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา)

หลวงพ่อสมเด็จฯ เล่าว่า
“เมื่อเดินทางไปถึงประเทศพม่า ก็ได้เดินทางไปลงทะเบียน และเข้าสู่ที่พัก เจ้าหน้าที่ได้จัดให้พักห้องละ ๒ รูป โดยหลวงพ่อเองได้พักกับอาจารย์ทอง ท่านชวนคุยเรื่องการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน โดยอาจารย์ทองท่านจะอธิบายการเจริญกรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔ ส่วนหลวงพ่ออธิบายพระอรรถกถาเทียบเคียง เป็นอยู่อย่างนี้ตลอดทั้งคืน อย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย เหมือนเป็นเรื่องสนุก”

วิสาขบูชา-วันสากลโลก
มีอยู่ครั้งหนึ่งผู้เขียนเองได้ประจักษ์กับตัวเอง
วันหนึ่ง พระจากประเทศศรีลังกาเดินทางมาประชุมวันวิสาขบูชา ซึ่งเป็นวันสำคัญสากลของโลก ที่ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ ล่ามมานัดไว้ และขอเข้ามากราบหลวงพ่อสมเด็จฯ เวลา ๐๙.๐๐ น. โดยประมาณ
แต่พระศรีลังกาท่านฉันเช้าเสร็จแล้ว ท่านก็เดินทางมาก่อนเวลา โดยมาพบที่คณะ ๕ ซึ่งเป็นกุฏิที่ท่านพัก ตามปกติแล้วถ้าเป็นแขกต่างประเทศ ท่านจะรับที่พระตำหนัก แต่ด้วยผู้ที่มาพบนั้น เป็นพระที่มีความคุ้นเคยกัน ตั้งแต่สมัยหลวงพ่อสมเด็จเดินทางไปประกอบพิธีสาธิตการบวชให้ครั้งแรก ถ้าจะว่าไปแล้วก็คือลูกศิษย์ที่ท่านบวชให้รุ่นแรกตอนที่คณะสงฆ์ศรีลังกานิมนต์ให้เป็นผู้สาธิต ทบทวนขั้นตอนการอุปสมบทแบบสยามวงศ์ดั้งเดิม

ขอเล่าเรื่องการไปสาธิตการบวชให้กับคณะสงฆ์ศรีลังกาเพิ่มเติม หลวงพ่อสมเด็จฯเล่าว่า ตอนนั้นคณะสงฆ์ศรีลังกาต้องการทบทวนว่า การบวชดั้งเดิมตามแบบสยามวงศ์นั้น คณะสงฆ์ศรีลังกายังปฏิบัติได้เหมือนเดิมหรือไม่ จึงขอให้คณะสงฆ์ไทยส่งพระไปสาธิต วิธีบวชให้ดู ซึ่งคณะสงฆ์ไทย ให้หลวงพ่อสมเด็จฯ เป็นคณะเดินทางไป และพระศรีลังกาที่มาพบท่าน จึงเป็นสัทธิวิหาริกที่ท่านบวชให้ในศรีลังกาคราวนั้น นั่นเอง

สาธิตห่มจีวร ประกอบด้วย
ธรรมเนียมการห่มจีวรในพระราชอาณาจักรสยาม
เดิมที่เดียว พระสงฆ์สมัยกรุงศรีอยุธยาคงจะห่มผ้าแบบเดียวกันกับพระพม่ารามัญ ลาว และเขมร เพราะทั้งพม่า ไทย ลาว เขมร ต่างก็ได้รับอิทธิพลพระพุทธศาสนามาจากประเทศศรีลังกา
แต่เนื่องจากปัจจัยด้านสงครามสมัยอยุธยาระหว่างพม่ากับไทย ทำให้พม่าชอบใช้กุศโลบาย โดยให้ทหารปลอมแปลงเป็นพระภิกษุเข้ามาแอบแฝงอยู่กับพระสงฆ์ไทย เพื่อสืบราชการข้างฝ่ายกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้พระสงฆ์ไทยสมัยอยุธยาต้องคิดแบบการครองจีวรที่ใช้เฉพาะพระสงฆ์ในพระนครกรุงศรีอยุธยาขึ้นมาใหม่ เพื่อให้เห็นความแตกต่างระหว่างพระสงฆ์ในราชอาณาจักร กับพระสงฆ์นอกราชอาณาจักร
เวลาห่มเฉียงอยู่ในวัดเปิดไหล่ขวา แทนที่จะบิดลูกบวบ(เกลียวผ้า)ไปทางด้านซ้ายมือแบบเดิม ก็บิดเกลียวผ้าไปด้านขวามือ
เวลาห่มคลุมออกนอกวัด แทนที่จะพาดลูกบวบ(เกลียวผ้า)บ่นไหลซ้าย ก็หนีบลูกบวบที่รักแร้ซ้ายแทน
อีกอย่างหนึ่ง ธรรมเนียมของพระสงฆ์ไทยที่เกิดขึ้นในสมัยอยุธยา คือ พระสงฆ์ต้องโกนคิ้วเพื่อให้มีความแตกต่างระหว่างพระสงฆ์ไทยกับพระสงฆ์พม่ารามัญ และใช้เป็นธรรมเนียมเฉพาะพระสงฆ์ไทย ปฏิบัติสืบต่อกันเรื่อยมาจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์
ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ ๔ พระองค์ทรงตั้งคณะธรรมยุติกนิกายขึ้นในประเทศไทย ได้นำวิธีครองจีวรแบบพระพม่ารามัญกลับมาใช้อีกครั้ง คณะสงฆ์ธรรมยุตคงรักษาธรรมเนียมพระสงฆ์สมัยอยุธยาไว้เฉพาะการโกนคิ้ว ดังที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ทรงปรารภเมื่อครั้งที่เจ้าฟ้ามงกุฎทรงผนวชเป็นภิกษุแล้วได้ตั้งธรรมยุตินิกายขึ้น และได้ตัดสินใจเปลี่ยนวิธีห่มจีวรใหม่ตามแบบพระพม่ารามัญที่ เรียกว่า “ห่มแหวก”
เมื่อพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎทรงเข้าไปสวดมนต์ในพระราชวัง เห็นสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทอดพระเนตรแล้วไม่ตรัสว่าอะไรก็คิดว่าพระเจ้าแผ่นดินทรงเห็นชอบกับวิธีการห่มแหวกแบบพระพม่ารามัญ จึงห่มแบบนี้เรื่อยมาและแพร่หลายในคณะสงฆ์ธรรมยุติ
การแสดงอาบัติ
กิจอีกอย่างหนึ่ง ที่พระสงฆ์ถือเป็นข้อปฏิบัติก่อน หรือหลังจากการทำวัตรสวดมนต์ คือ การแสดงอาบัติ
การแสดงอาบัติ คือ การบอกอาบัติที่พระภิกษุต้องเข้าแล้วให้พระภิกษุรูปอื่นได้รับทราบ เพื่อเป็นการเตือนสติตนเองว่าจะตั้งใจปฏิบัติให้ดียิ่งขึ้น โดยยืนยันว่าจะไม่ทำ ไม่พูด ไม่คิดอย่างนั้นอีก เป็นการดำเนินตามปฏิปทาของพระโสดาบัน คือ ผู้เป็นพระโสดาบันนั้น แม้จะยังมีข้อผิดพลาดทางกาย ทางวาจา หรือทางใจอยู่บ้างก็จริง แต่เมื่อทำแล้วท่านไม่ปกปิดข้อผิดพลาดของตนไว้ พร้อมที่จะยอมรับ และเปิดเผยสิ่งที่ได้กระทำตามความเป็นจริง โดยกระทำให้ถูกต้องตามวิธีการทางพระวินัยกำหนดไว้
การแสดงอาบัติของภิกษุเป็นการดำเนินตามปฏิปทาของพระโสดาบัน เมื่อพระภิกษุต้องอาบัติแล้วจึงต้องแสดงอาบัติทันที พระภิกษุสงฆ์ในปัจจุบัน จึงมีการแสดงอาบัติเช้า-เย็น เพื่อเป็นการเตือนสติให้มีจิตตั้งมั่นในการละบาปแม้เล็กน้อยและทำความดีต่อไป อันเป็นการเจริญรอยตามปฏิปทาของพระโสดาบัน



ดังนั้นเวลาแขกมาพบ หรือญาติโยมมาพบหลวงพ่อสมเด็จฯ ที่กุฏิ ก็จะให้พระเณรปฏิสันถารก่อนเป็นอันดับแรก ถือเป็นธรรมเนียมของวัดสระเกศฯ
วันนั้นผู้เขียนเองเป็นผู้คอยปฏิสันถารอยู่ หลังจากถวายน้ำแล้ว ก็ได้แต่นั่งมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ล่ามก็ยังมาไม่ถึง ผู้เขียนเองก็พูดภาษาอังกฤษไม่คล่อง… ไม่รู้จะทำอย่างไร
จึงเข้าไปกราบเรียนหลวงพ่อสมเด็จฯว่า ล่ามยังมาไม่ถึง…
จากนั้นท่านก็เดินออกมาพบแขกที่หน้าศาลาไทย ที่หน้าห้อง
เป็นครั้งแรกที่ผู้เขียนได้ยินหลวงพ่อสมเด็จฯ พูดคุยกับพระต่างประเทศ (ศรีลังกา) ด้วยภาษาบาลี(มคธ) ซึ่งเป็นภาษาที่พระพุทธองค์ทรงเคยใช้ตรัสสั่งสอนเหล่าพุทธสาวกให้บรรลุธรรม
การสนทนาเป็นไปด้วยความราบรื่น ใช้เวลาร่วมชั่วโมง พระต่างประเทศคณะนี้ จึงเดินทางกลับ ส่วนล่ามทราบภายหลังว่าไม่สบายจึงเดินทางมาไม่ได้

ฉะนั้นจึงไม่แปลกใจว่า ในโอกาสต่างๆ ที่เกี่ยวกับพระไตรปิฎก หลวงพ่อสมเด็จฯ ต้องเข้าไปร่วมด้วย เช่น เป็นกรรมการพิเศษแผนกตรวจสำนวนแปลวินัยปิฎก ฉบับปี ๒๕๐๐ ของคณะสงฆ์ไทย และไปร่วมประชุมอรรถกถาสังคายนา ณ ประเทศพม่า อีกครั้งหนึ่ง
เรื่องเหล่านี้ จึงเป็นที่มาของการรักการอ่าน ชอบสะสมหนังสือ จนเกิดเป็น “ห้องสมุดส่วนตัว” ไว้ค้นคว้า
